ตอนที่แล้วตอนที่ 69: แรงกดดัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 71: แทรกซึม

ตอนที่ 70: ศิษย์อาจารย์และหมาแก่


ตอนที่ 70: ศิษย์อาจารย์และหมาแก่

หลังจากวางสายเซี่ยเฟยก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่บุคลิกของเขาดูเหมือนจะเงียบขรึมผิดปกติ

เซี่ยเฟยรู้ดีว่าในตอนนี้มันมีคนของเฒ่าเคกำลังเฝ้าติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิดและถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกหงุดหงิดมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะแสดงอารมณ์ออกมาได้

ปัจจุบันเซี่ยเฟยและโบเดนกำลังทำงานในเวิร์กช็อปอย่างหนัก ขณะที่พอตเตอร์และลีน่าก็พูดคุยกันอยู่ภายในห้องทำงาน

ความคืบหน้าในการทำงานของพวกเขายังคงรวดเร็วดังเดิมคล้ายกับไม่ได้รับผลกระทบแม้ว่าจำนวนของคนงานจะลดลง

ในอดีตเมื่อพวกเขา 9 คนได้ทำงานร่วมกันเซี่ยเฟยก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการซ่อมแซมยานอวกาศลำนี้เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเขายังมีเวลาแม้กระทั่งมานั่งคุยสัพเพเหระเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของกันและกันอีกด้วย

แต่เมื่อมันได้เหลือเพียงแค่เขากับโบเดน 2 คน มันก็ทำให้เขาตระหนักว่าการซ่อมแซมยานอวกาศเป็นงานที่เหนื่อยล้าและต้องใช้พลังกายมากแค่ไหน ซึ่งในตอนนี้แขนขาของเขาก็เริ่มเจ็บและชาไปจนหมดแล้ว

เซี่ยเฟยได้ใช้มือแตะไปยังแหวนมิติที่นิ้วมือของเขาเบา ๆ พร้อมกับหยิบผลน้ำค้างขาว 2 ผลออกมา โดยเขาได้ยื่นผลไม้ไปให้โบเดน 1 ผลและโยนเข้าปากตัวเองอีก 1 ผล

ถึงแม้ว่าโบเดนจะรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อยแต่เขาก็เลือกที่จะรับผลน้ำค้างขาวจากเซี่ยเฟยและกลืนมันลงไปโดยไม่ได้ถามอะไร ซึ่งมันก็ทำให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจกับประสิทธิภาพในการฟื้นฟูพลังงานของผลไม้ชนิดนี้

นับตั้งแต่การต่อสู้กับเฉินตง เซี่ยเฟยก็เลือกที่จะพกผลน้ำค้างขาวและเนตรนาคาติดตัวเอาไว้อยู่เสมอ เพราะพวกมันเป็นผลไม้ที่ช่วยฟื้นฟูพลังงานได้อย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นมันก็มียานอวกาศลำหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หลังจากนั้นยานดังกล่าวก็ลงจอดในพื้นที่โล่งบริเวณด้านข้างอู่ ก่อนที่จะมีชายผิวดำร่างอ้วนสูงเดินลงมา

หากมองจากระยะไกลชายคนนี้ก็มีรูปร่างที่เหมือนกับพอตเตอร์ เพียงแต่เขาน่าจะมีอายุประมาณ 40 ปีและมีความสูงกว่า 2 เมตร นอกจากนี้ตาของเขาก็ยังมีครบทั้งสองข้างไม่เหมือนกับพอตเตอร์ที่เหลือตาเพียงข้างเดียว

เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเซี่ยเฟยก็เลือกที่จะหยุดงานของเขาพร้อมกับเทน้ำดื่ม 2 แก้วและเดินไปทางโบเดน

เซี่ยเฟยสะกิดโบเดนด้วยข้อศอกเบา ๆ พร้อมกับหันหน้าไปยังชายผิวดำที่กำลังเดินเข้ามาเพื่อสอบถามถึงตัวตนของผู้มาใหม่

โบเดนเหลือบมองชายร่างอ้วนด้วยความรังเกียจขณะที่รับแก้วน้ำไปดื่มและเทน้ำที่เหลือลงบนหัว

“เขาชื่อ ‘มู่เหลย’ เป็นลูกศิษย์คนโตของอาจารย์” โบเดนตอบด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

เซี่ยเฟยเคยได้ยินมานานแล้วว่าพอตเตอร์มีลูกศิษย์ทั้งหมด 4 คน แต่ลูกศิษย์ของเขา 3 คนเลือกที่จะจากไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมในตอนนี้มู่เหลยถึงกลับมาที่นี่

เมื่อมู่เหลยได้เดินมาถึงเซี่ยเฟยกับโบเดนเขาก็ถูมือที่กางเกงของเขาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าเขากำลังรู้สึกประหม่า

ตึก!

โบเดนวางแก้วน้ำลงบนแผ่นเหล็กอย่างรุนแรงพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเย็นชา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าต่อไปโดยไม่สนใจการมีตัวตนของมู่เหลยเลย

เมื่อมู่เหลยเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรของโบเดน มันก็ทำให้เขาแสดงสีหน้าออกมาอย่างน่าเกลียด

“สวัสดีครับ ผมชื่อเซี่ยเฟยเป็นเด็กใหม่” เซี่ยเฟยเอ่ยแนะนำตัวกับมู่เหลยด้วยรอยยิ้ม

สาเหตุที่เซี่ยเฟยตัดสินใจแบบนี้นั่นก็เพราะถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าในอดีตพวกเขามีปัญหาอะไรกัน แต่เมื่อชายอ้วนคนนี้เลือกที่จะกลับมายังอู่ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังพบเจอกับปัญหา มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าชายคนนี้ยังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ของเขากับพอตเตอร์อยู่

“สวัสดีฉันชื่อมู่เหลย ฉันเป็น…เอ่อ..เป็น...” มู่เหลยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก

“ลุงพอตเตอร์อยู่ในห้องทำงานกับลูน่าครับ” เซี่ยเฟยยิ้มพร้อมกับชี้นิ้วไปยังห้องทำงาน

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเฟยมู่เหลยก็ยืนลังเลอยู่สักพัก ก่อนเขาที่จะหยิบคีมอเนกประสงค์ขึ้นมาจากพื้นแล้วเดินเข้าไปซ่อมยานตรงหน้า

ถึงแม้ว่ามู่เหลยจะเข้าร่วมการซ่อมยานลำนี้เป็นครั้งแรกและต้องรับช่วงต่อจากงานของคนอื่น แต่เขาก็สามารถที่จะมองเห็นปัญหาของตัวยานและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ถึงความเป็นมืออาชีพของเขาได้อย่างชัดเจน

ในระหว่างการทำงานมู่เหลยถือได้ว่าเป็นช่างฝีมือที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้แต่สกรูนิรภัยแกนยาวที่แต่เดิมต้องใช้เวลาขันให้แน่นค่อนข้างนาน แต่เมื่อมู่เหลยเป็นคนจัดการมันก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานเท่านั้น

ลักษณะการทำงานของโบเดนกับมู่เหลยถือว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โบเดนจะเป็นคนที่ละเอียดปราณีตเพราะไม่ว่าจะเป็นงานอะไรเขามักที่จะใช้เวลาจัดการมันอย่างช้า ๆ และพิถีพิถัน ในขณะที่มู่เหลยจะจัดการกับปัญหาด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ด้วยความช่วยเหลือของมู่เหลย มันก็ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของเซี่ยเฟยและโบเดนได้มาก

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พอตเตอร์ได้มาปรากฏตัวในเวิร์กช็อป ขณะที่เขาจ้องมองไปยังมู่เหลยที่กำลังทำงานอย่างหนักด้วยความซาบซึ้งและดูเหมือนว่าเขาจะมีหยาดน้ำตาปรากฏอยู่ที่หางตาเล็กน้อย

เมื่อมู่เหลยได้หันไปเจอพอตเตอร์ เขาก็รีบหยุดงาน ยืนตรงพร้อมกับแอบซ่อนคีมอเนกประสงค์ไว้ข้างหลัง

“ผม… เอ่อ… คือผม…” มู่เหลยพูดตะกุกตะกักอยู่นานแต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจกล่าวไปว่า

“ผมฝากภรรยาและลูก ๆ ไว้ที่บ้านพ่อแม่ของผมแล้วครับ”

เมื่อพอตเตอร์ได้ยินคำอธิบายของมู่เหลยเขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พยักหน้ารับแล้วเดินหันหลังกลับไปยังห้องทำงาน

โบเดนตัดสินใจวางเครื่องมือภายในมือพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ และถามมู่เหลยว่า

“พี่สะใภ้สบายดีไหม?”

สีหน้าของมู่เหลยเปลี่ยนไปเป็นตื่นเต้น, ดีใจและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับโบเดนพร้อมกับพูดออกไปเบา ๆ ว่า

“เธอกำลังจะคลอดแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้นโบเดนก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและก้มหน้าก้มตาทำงานของเขาต่อไป ขณะที่มู่เหลยก็แอบซับน้ำตาแล้วเข้าทำงานอีกครั้ง

สถานการณ์นี้มันแสดงได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่มู่เหลยได้รู้เรื่องปัญหาของอู่ เขาก็รีบจัดการเรื่องครอบครัวอย่างรวดเร็วแล้วมุ่งหน้ามาที่นี่โดยไม่ลังเล

แต่สิ่งที่เซี่ยเฟยไม่เคยคาดคิดนั่นก็คือ หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงต่อมามันก็มีรถรับส่งอีกคันมาจอดบริเวณด้านหน้าอู่และมันก็ปรากฏชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง สวมหมวกเบสบอลและไว้หนวดเดินเข้ามา

นี่คือลูกศิษย์คนที่ 3 ของพอตเตอร์ที่มีชื่อว่า ‘คอลลินส์’

ทันที่ทีที่มาถึงลูกศิษย์คนนี้ก็ถอดเสื้อนอกของเขาแล้วพุ่งเข้าไปซ่อมยานทันทีเช่นเดียวกับศิษย์พี่ของเขา

ประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันของคนสี่คนนั้นสูงกว่าการทำงานเพียงแค่สองคนอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งมู่เหลยและคอลลินส์ต่างก็ทำงานได้อย่างเชี่ยวชาญทำให้ความคืบหน้าในการซ่อมยานมีความคืบหน้าใกล้เคียงแผนเดิมแล้ว

ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน มันก็มีย่านลำหนึ่งเข้ามาจอดในพื้นที่ด้านข้างอู่และมีเด็กหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีที่มีคิ้วหนาตาโตเดินเข้ามา

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกเสียจากเซียวเทียนลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของพอตเตอร์และเป็นคนเดียวกันกับที่เซี่ยเฟยเคยเจอในตลาดมืดนั่นเอง

เซียวเทียนได้ละทิ้งการทำงานด้านการซ่อมบำรุงไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังคงเก็บชุดทำงานที่เขาเคยใช้เอาไว้เป็นอย่างดี

เมื่อสวมชุดทำงานเรียบร้อยแล้วเซียวเทียนก็เหมือนกับพี่น้องคนอื่นที่มุ่งหน้าตรงไปซ่อมยานทันที

ภายในหนึ่งวันที่อู่ของพอตเตอร์ได้เจอวิกฤต มันก็ทำให้ลูกศิษย์ทั้งสี่ของเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าในอดีตพวกเขาจะเลือกเดินออกไปจากอู่แห่งนี้ แต่เหตุการณ์ในวันนี้มันก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ถึงแม้พวกเขาจะจากไปแต่หัวใจพวกเขายังอยู่ที่นี่เสมอ

เซี่ยเฟยและโบเดนนั่งลงบนพื้นพร้อมกับแก้วน้ำในมือขณะที่จ้องมองไปยังมู่เหลย, คอลลินส์และเซียวเทียนที่กำลังทำงานอย่างแข็งขัน

โบเดนได้เผยรอยยิ้มที่หายากบนใบหน้าของเขาออกมาและท่าทางของเขาก็ดูมีความสุขมาก

แม้แต่สุนัขเฒ่าประจำอู่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากที่นอนไปยังประตูเวิร์กช็อปและนอนลงบนพื้น พร้อมกับใช้ดวงตาที่ฝ้าฟางของมันจ้องมองไปยัง 4 พี่น้องอย่างพึงพอใจ

เมื่อหลายปีก่อนชิงชิงได้เฝ้ามอง 4 พี่น้องทำงานร่วมกันแบบนี้ในทุก ๆ วัน สำหรับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตภาพตรงหน้าก็ทำให้มันหวนคิดกลับไปถึงฉากเก่า ๆ ในวันวานอีกครั้ง

ขณะเดียวกันซ่งซานชายชราคนพิการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำอาหารก็นำหม้อใบใหญ่ที่บรรจุซุปกลิ่นหอมฉุยออกมาเสิร์ฟด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยเฟยเคยได้ชิมรสชาติของซุปชนิดนี้มาก่อน ซึ่งมันก็คือซุปหวานประจำท้องถิ่นที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว

จากนั้นซ่งซานก็วางถ้วยน้ำซุปใบเล็กให้ชิงชิง ซึ่งก่อนหน้านี้ 2-3 วันสุนัขเฒ่ามักจะปฏิเสธอาหารทุกชนิดและเลือกที่จะนอนอยู่เฉย ๆ เท่านั้น แต่ในวันนี้มันกลับเลือกที่จะกินซุปหมดจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

“มา ๆ พวกเรามาทานซุปหวานด้วยกันเถอะ!” ซ่งซานกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม

มู่เหลยและเซียวเทียนเผยรอยยิ้มกล่าวทักทายซ่งซานอย่างสนิทสนม ซึ่งมันก็ทำให้ชายชราไม่อาจซ่อนความสุขที่เผยออกมาจากใบหน้าของเขาได้ เขาจึงเล่าเรื่องในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่นานหลังจากที่พระอาทิตย์ได้ตกดิน ด้วยการที่ 4 พี่น้องได้กลับมาร่วมมือร่วมแรงกันอย่างใกล้ชิด ทำให้งานของวันนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ถ้าหากมันมีเพียงแต่เซี่ยเฟยและโบเดนแค่สองคน แม้ว่าพวกเขาจะทำงานกันข้ามวันข้ามคืน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำงานได้คืบหน้าขนาดนี้

พอตเตอร์เดินออกมาจากห้องทำงานและยืนมองดูใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ทุกคนพักที่นี่แล้วคืนนี้เรามาดื่มด้วยกันเถอะ!”

เหล่า 4 พี่น้องเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้ากันอย่างรวดเร็ว

แต่จู่ ๆ ชิงชิงก็ยืนขึ้นและส่งเสียงเห่าอย่างดุร้ายไปทางทิศเหนือของอู่ แต่ด้วยการที่มันเป็นเพียงแค่หมาแก่ เสียงคำรามของมันจึงฟังดูคล้ายกับเสียงครางเบา ๆ

จากนั้นมันก็วิ่งไปทางทิศเหนือด้วยความว่องไวพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามไปด้วย

ท่าทีของชิงชิงทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจเพราะพวกเขาไม่พบความผิดปกติอะไรแม้แต่นิดเดียว แต่สุนัขตัวนี้กลับทำท่าทางราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันโกรธมาก

ตู้ม!

ทันใดนั้นมันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากทางทิศเหนือ ก่อนที่เปลวไฟจะลุกโชนขึ้นไปบนท้องฟ้า

เรือรบที่จอดอยู่ทางด้านเหนือของอู่ระเบิด!

การระเบิดครั้งนี้ได้ทำลายกระจกของอู่ทันทีและทำให้ยานอวกาศหลายลำตกลงพื้นเนื่องจากคลื่นกระแทกที่รุนแรง

ทุกคนรีบวิ่งออกไปพร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิง โชคดีที่ไฟยังไม่ได้ลามไปมากนัก พวกเขาจึงใช้เวลาดับไฟแค่เพียงไม่นาน ซึ่งมันก็หลงเหลือเพียงกลิ่นไหม้เกรียมที่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณ

“ฝีมือไอ้แก่เคแน่ ๆ ฉันจะไปจัดการมันเอง!” เซียวเทียนตะโกนออกมาด้วยความโกรธพร้อมกับเขวี้ยงเครื่องดับเพลิงในมือลงไปบนพื้นและรีบวิ่งไปที่ยานอวกาศของเขา

“ฉันไปด้วย!” คอลลินส์คำรามออกมาเสียงดังแล้วเดินตามเซียวเทียนออกไป

“จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น!” พอตเตอร์กล่าวออกมาอย่างเย็นชา

เซียวเทียนและคอลลินส์ถึงกับหยุดชะงักอยู่กับที่หลังจากได้ยินคำพูดของพอตเตอร์ ซึ่งภายในแววตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“พวกเราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว วันนี้พักผ่อนซะแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน” พอตเตอร์กล่าวหลังจากที่เงียบไปสักพัก

เซี่ยเฟยไม่ได้ให้ความสนใจกับการกระทำของคนเหล่านี้มากนัก เพราะเขาได้สังเกตเห็นว่าชิงชิงกำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงเดินเข้าไปหาสุนัขเฒ่าและเอามือแตะจมูกของมัน ก่อนจะพบว่ามันได้จากโลกนี้ไปแล้ว

การระเบิดเมื่อสักครู่ทำให้มีชิ้นส่วนของยานอวกาศกระเด็นพุ่งเข้าใส่หัวใจของมันและท้ายที่สุดหมาแก่ผู้น่าสงสารตัวนี้ก็ได้ตายภายใต้ความจงรักภักดี

“แกอ่อนแอขนาดนี้แล้วจะรีบวิ่งมาทำไม…” เซี่ยเฟยพูดออกมาเบา ๆ ขณะที่ลูบหัวของชิงชิงไปด้วย

เหล่าฝูงชนเดินเข้ามาล้อมรอบชิงชิงอย่างเงียบ ๆ และแม้แต่มู่เหลยที่พยายามเก็บความรู้สึกก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้

ทุกคนช่วยกันขุดหลุมฝังศพให้มันในบริเวณด้านหน้าของอู่เนื่องจากมันเป็นสถานที่โปรดที่หมาเฒ่าตัวนี้มักที่จะมานอนเล่นเป็นประจำ

หลังจากจัดการเรื่องศพของชิงชิงเรียบร้อยแล้วพอตเตอร์ก็เดินเข้ามาตบไหล่เซี่ยเฟยเบา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า

“มาเถอะ มาคุยกันที่ห้องทำงานฉันหน่อย”

“ลุงพอตเตอร์วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะพักไวหน่อยได้ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้า

“วันนี้นายทำงานหนักจริง ๆ งั้นนายไปพักเถอะ” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับพยักหน้า

เมื่อเซี่ยเฟยกลับมายังที่พักเขาก็รีบอาบน้ำและสวมชุดต่อสู้วินด์ชาโดว์พร้อมกับผูกเชสซิ่งไลท์ไว้ที่แขนขวาอย่างแน่นหนา

ในตอนนี้มันยังเหลืออีก 2 ชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดกับซันนี่ เซี่ยเฟยจึงนอนรออยู่บนเตียงขณะที่เงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดานและพูดกับตัวเองว่า

“ไอ้แก่เค! แม้แต่หมาเฒ่าใกล้ตายแกก็ไม่คิดที่จะปล่อยมันไปใช่ไหม?”

***************

ใครฆ่าหมากู…มึงตาย!!!

โทษๆๆ อินบทไปหน่อย

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด