ตอนที่แล้วตอนที่ 1336 ผู้เฒ่า ท่านเป็นใคร?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1338 ทูตซ้ายจื้อไจ้เทียน

ตอนที่ 1337 บัลลังก์เทพ


ชายชราก้าวกระโดดสั้นๆ

นั่งในตำแหน่งที่เหนือกว่า

ราวกับต้องการกำกับพื้นที่และอธิบายเรื่องบัลลังก์เทพให้เย่ว์หยางฟัง

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีใครสอนเจ้าจริงๆ?  ไม่รู้เรื่องง่ายๆ แบบนี้ น่าสมเพชเสียเหลือเกินเด็กที่ไม่มีใครสอนสั่งใครควบคุมก็เหมือนวัชพืชในถิ่นรกร้างนั่นแหละ  แบบนี้ไม่ดีเลยถ้าข้าไม่รู้เรื่องนี้ก็คงเป็นตัวตลก!”   ผู้เฒ่าส่ายหน้าถอนหายใจ  ความโกรธของเย่ว์หยางยังคงสะสมเหมือนภูเขาไฟบัดซบ ไม่มีใครสอน ไม่มีใครควบคุมจะต้องไปสนใจทำไม?  ไม่ใช่ปีศาจเฒ่าอย่างท่านที่เอาแต่ซ่อนตัวไม่พบเห็นผู้คนท่านเอาแต่ปลีกตัวไม่พบคนรุ่นหลัง หอทงเทียนถูกข่มเหงรังแกทุกวันนี้ก็เพราะผู้ใหญ่ไร้สติอย่างพวกท่านนั่นแหละ

ถ้าปีศาจเฒ่าของหอทงเทียนอยู่ที่นั่นกันหมดจักรพรรดิอวี้ก็คงจะไม่ตาย

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีคงไม่ต้องถูกผนึก

เป็นเพราะตัวพวกท่าน

ไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างมากเพื่ออธิบายเรื่องบัลลังก์เทพก็ได้เป็นตัวตลกที่นี่ต่อไปเถอะ

เย่ว์หยางยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เขาอยากจะแปรพักตร์และลงมือซัดผู้อาวุโสให้ปลิวไปจนถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้านัก  จากนั้นค่อยสู้เสี่ยงตายกับเทียนอี้

“ไม่มีใครบอกเจ้า เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะไม่รู้  เพราะถ้าเจ้าไม่มีคุณสมบัติคนทั่วไปจะไม่บอกกับเจ้า นี่คือความลับฟ้าเป็นความลับในความลับยิ่งกว่านั้นเด็กน้อยเจ้าค่อนข้างเป็นคนพิเศษ เติบโตมาเร็วมากเกินไปไม่สมเหตุผลเสียเลยเราไม่ได้นึกเลยว่าเจ้าจะมาได้ถึงนี่ อาจบางทีอาจารย์ของเจ้าไม่มีเวลาบอกเจ้า” เมื่อชายชราเห็นท่าไม่ดี เจ้าเด็กน้อยนี่กำลังโกรธ เขารีบปลอบใจทันที

“ความลับในความลับหรือ?” เย่ว์หยางได้ยินแล้วค่อยหายโกรธลงบ้าง

“ถ้ามันง่ายนัก อย่างนั้นข้าไม่จำเป็นต้องรู้แจ้งก็ได้อาจารย์ผู้สอนเจ้าคือ....” ผู้เฒ่ายินดีพอใจขณะลูบเคราสีขาว

“นี่, ข้าไม่มีอาจารย์ ข้าฝึกฝนด้วยตนเอง!” เย่ว์หยางไม่ใช่ว่าไม่มีครูบาอาจารย์ แต่เขารู้ว่า ที่ผู้เฒ่าพูดถึงนี้ไม่ได้หมายถึงสุ่ยตงหลิวและเฟ่ยเหวินหลี แต่เป็นปีศาจเฒ่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเขา

“เป็นไปไม่ได้” ผู้เฒ่าส่ายหน้าและเขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าในโลกนี้จะมีคนที่ฝึกฝนมาด้วยตนเอง

“ท่านไม่เชื่อก็ช่างเถอะ” มีประกายความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเขาหรือว่าตาเฒ่านี้จะพูดถึงนักพรตเฒ่าที่เตะก้นเขากระเด็นข้ามมิติ? ไม่!  ถ้านักพรตเต๋าคุ้มกันเขาอยู่เบื้องหลังแล้วทำไมถึงต้องมีเทพธิดากระบี่ฟ้า? และผู้เฒ่านี้มาจากหอทงเทียน ส่วนนักพรตเต๋าน่าจะเป็นเผ่าบูรพาไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย!

มองผิวเผินเย่ว์หยางสงบอยู่ได้  แต่ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เขาคาดว่าอาจารย์ที่ผู้เฒ่านี้กล่าวถึงก็คือนักรบของหอทงเทียนซึ่งซ่อนตัวอยู่ลึกและเป็นคนร่วมสมัยกับเขา

มิฉะนั้นเขาจะไม่ตั้งใจขนาดนั้น  เขาบอกว่าเขามีอาจารย์สอน และขณะเดียวกันเขาไม่สงสัยว่าเขาไม่รู้ความลับเรื่องบัลลังก์เทพได้อย่างไร

ชายชราเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่เมื่อมองดูสีหน้าของเย่ว์หยางไม่เหมือนล้อเล่นและปฏิเสธว่าไม่มีอาจารย์และเขาไม่มีอาจารย์ให้เคารพ รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี้คงไม่ซุกซนขนาดนี้เขาอดตกใจไม่ได้  “เจ้าไม่มีอาจารย์จริงๆ หรือ?ฝึกฝนด้วยตนเอง?  เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

เย่ว์หยางลูบผมอย่างเยือกเย็น  “โปรดอย่าแปลกใจนักเลย ท่านก็รู้ท่านกำลังคุยกับอัจฉริยะไม่มีใครเทียบซึ่งไม่เคยมีมาก่อน”

หลังจากอึ้งอยู่สักพักชายชรากระโดดด้วยความตื่นเต้นทันทีและคว้าแขนเย่ว์หยาง “เด็กน้อยข้าเห็นว่าเจ้ามีส่วนดี ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าดีกว่า   ตราบเท่าที่เราผู้เฒ่าสอนเจ้าไม่กี่ท่าเจ้าจะเอาตัวรอดได้ตลอดชีวิต แม้ว่าเราผู้เฒ่าจะไม่ให้ความสนใจพิธีรีตองมากนักแต่เจ้าก็ต้องคุกเข่าคำนับสามครั้ง เด็กน้อย เจ้าต้องมาเป็นศิษย์ข้าด้วยความจริงใจเราผู้เฒ่านอกจากจะรอเล่าเรื่องบัลลังก์เทพเท่านั้นแต่ยังรู้เรื่องความลับฟ้าอื่นๆ ด้วย แม้แต่วิชาตกปลา ข้าก็จะสอนเจ้าได้เจ้าจะกลายเป็นยอดพรานเบ็ดที่มีชื่อเสียง!”

เขาไม่พูดถึงเรื่องตกปลาก็แล้วไปแต่เมื่อเขาพูดกับเย่ว์หยางๆ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ตกปลาบ้าอะไร!

สิ่งที่เขาอยากจับที่สุดไม่ใช่ปลา แต่เป็นสาวๆ   เจ้าต้องสอนเรื่องตกสาวๆ ให้กับข้า

“ขออภัย, ข้ายอมให้แต่สาวงามเท่านั้นเป็นอาจารย์! ต่อให้ผู้อาวุโสจะหล่อแสนกำยำก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่สาวงาม ข้าขอโทษด้วย” เย่ว์หยางปฏิเสธโดยไม่ลังเล ไม่ว่ายังไงก็ตาม เรื่องของเทพธิดากระบี่ฟ้าก็ต้องปกปิดไว้เขาคงต้องตามหานักพรตเต๋าที่เตะเขาข้ามโลก เขาเป็นผู้ทรงพลังมากกว่าอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องหาอาจารย์ใหม่

“เจ้าไม่เทิดทูนคนแก่หน้าตาหล่อเหลาหรือ?น่าเสียดายยิ่งนัก” ชายชรารู้สึกอึดอัดใจอย่างหนัก เป็นเรื่องยากที่คิดจะรับศิษย์สักคนหนึ่ง  เด็กคนนี้ไม่ทราบปฏิเสธเขาได้อย่างไรแต่ยังนับว่าโชคดีที่มีวิสัยทัศน์มองออกว่าเขาหล่อ.....

“ผู้อาวุโสมีคุณธรรมเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ปรุโปร่งก็ควรจะสนับสนุนอุดมการณ์ของข้า จริงไหม?” เย่ว์หยางคำนับจรดพื้น

“แน่นอน แน่นอน!”  ชายชราได้ยินแล้วยิ้มด้วยความยินดี

“ผู้อาวุโสมีความรู้และคงแก่เรียน แน่นอนว่าย่อมรู้จักเรื่องบัลลังก์เทพความลับในความลับที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้แน่นอน” คุณชายสามทำการโน้มน้าวสะกดจิตเลียนแบบเจ้าอ้วนไห่ทันที

“ความลับฟ้าเรื่องบัลลังก์เทพเป็นความลับสำหรับคนธรรมดา  แต่สำหรับเราผู้เฒ่ามันเป็นเรื่องแสนง่าย!”  ท่าทีของชายชราอ่อนลงเล็กน้อย

“ถ้าข้าและผู้เยาว์คนอื่นๆสามารถได้ฟังคำสั่งสอนของผู้อาวุโสอย่างจริงจังได้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเรียกผู้อาวุโสว่าอาจารย์ได้เพราะอุดมการณ์ส่วนตัว แต่เชื่อได้ว่าในใจลึกๆของข้าแล้วนับถือท่านเหนือกว่าผู้อาวุโสคนใดๆ ทั้งหมด” คุณชายสามถอนหายใจดูเหมือนว่ากับว่าทำไมเขาต้องทำตามคำสาบานตัวเองเรื่องรับแต่เฉพาะสาวสวยเป็นอาจารย์เท่านั้น

“เรื่องเล็ก อุดมการณ์ของเด็กๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล ที่สำคัญข้าเข้าใจว่าเจ้ายังดูอายุเยาว์มาก” ชายชราใจอ่อนลงทันที

“ผู้อาวุโสยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่จริงๆ...”  คุณชายสามชูหัวแม่มือ

“ฮ่าฮ่า!”  ผู้เฒ่าหัวเราะด้วยความลำพองใจ

“นอกจากชื่นชมแล้วข้าไม่สามารถหาคำอธิบายที่สองมาอธิบายอะไรได้ในตอนนี้”  คำเยินยอของคุณชายสามสามารถยอจนคนตายฟื้นได้นับประสาอะไรกับชายชราที่สติไม่สมบูรณ์นี้ แต่นักปราชญ์ผู้มีสติสัมปชัญญะจะไม่ยอมรับระเบิดเคลือบด้วยน้ำตาลลูกนี้ไว้เด็ดขาด

“ดี ดีมาก ได้เห็นเด็กน้อยอย่างเจ้ายิ่งมองเราผู้เฒ่าก็ยิ่งยินดี ในวันนี้ข้าจะบอกความลับของบัลลังก์เทพให้เจ้า!”  ชายชราดีใจจนหาทิศทางไม่พบเจอ

เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็รีบรับฟังด้วยความเคารพ

ประจบสอพลอทันที

แต่ชายชราก็มีพรสวรรค์และการเรียนรู้ที่แท้จริง  ถ้าไม่ใช่เพราะบุคลิกที่น่าสนใจเช่นนี้เกรงว่าเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้แห่งภูเขากวงหมิงก็ไม่สามารถแก้นิสัยนี้ได้ ตอนนี้เย่ว์หยางสงสัยว่าทำไมเทียนอี้ถึงได้บ้าฝึกฝนยิ่งนัก?  เขาเกรงว่าชายชรานี้จะตื่นเต้นยิ่งนักมีคู่แข่งที่น่ากลัววิ่งอยู่ในพื้นที่ นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวเช่นกัน!

ชายชรากระแอมเสียงลูบเครา

เขาก้าวเดินไปตามบันไดเก่าแก่จนมาถึงหน้าเย่ว์หยาง เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเด็กผู้นี้มีสมาธิเต็มร้อยจึงเริ่มเล่าเรื่อง “บัลลังก์เทพ ก็คือสถานะของเทพนั่นเอง!”

“สถานะของเทพ?” เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็รู้สึกสับสน มันคล้ายกันได้อยางไร

“ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะเรียกว่าสถานะเทพเพราะบัลลังก์เทพมีสถานะที่เหนือกว่าทั่วไป” ชายชราชี้มือชี้ไม้ประกอบ “ในความเป็นจริงบัลลังก์เทพใช้เพื่อกำหนดสถานะของเทพเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเจ้ามีบัลลังก์เทพเจ้าก็ถือได้ว่าเป็นเทพที่แท้จริง ไม่สิ ขอโทษที งั้นเจ้าก็ไม่ทราบมาแต่ต้นสินะ”

“ไม่เข้าใจเลย” เย่ว์หยางยิ่งสับสนมากกว่าเดิม

“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เจ้าไม่รู้เรื่องบนนี้เลยสักนิด!”  ชายชราแสดงอาการสงสารเย่ว์หยางอยู่สามวินาทีด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วอึดอัด การกระทำเช่นนี้แทบทำให้เด็กหนุ่มข้ามโลกอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย  โธ่เอ๊ย ใครจะไปรู้เรื่องราวของเทพ ตาเฒ่าเองก็มาจากบ้านนอกหอทงเทียนเหมือนกัน

“เทพนั้น ไม่ได้แบ่งเป็นเทพแท้ เทพเทียมหรอกหรือ?”  เย่ว์หยางพบว่าหนังสือประวัติศาสตร์เขียนไว้อย่างนี้ไม่มีการพูดถึงบัลลังก์เทพ

“เทพเทียมยังนับว่าเป็น‘เทพ’ด้วยหรือ?” ชายชราได้ยินแล้วมีความสุข “เทพแท้ยังไม่ถือว่าเป็นเทพที่มีคุณสมบัติพอได้บัลลังก์เทพพวกนี้เรียกกันเป็นเทพแท้เพราะความเข้าใจคลาดเคลื่อนของพวกในดินแดนชั้นล่างๆที่ถูกต้องมีแต่เทพที่ได้สถานะบัลลังก์เทพเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับจากเบื้องบน  หากไม่มีการรับรู้เบื้องบนไม่ได้รับการบันทึกจากเบื้องบน เด็กอย่างเจ้าใครๆ ก็รู้ว่าเป็นพวกมาจากบ้านนอก  ไม่มีใครยอมรับ ไม่มีอาจารย์ดังนั้นเจ้าจะถูกรังแกที่นี่ โดยไม่มีใครสนใจ...”

“มิน่าเล่าเบื้องหลังพวกอสูรที่เดินทางร่วมกับพระถังซัมจั๋งถึงมักถูกเล่นงานรังแก!”  ในที่สุดเย่ว์หยางก็ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทันที

บ้าจริงๆ

ความจริงก็คือจากเบื้องลึกแล้ว

คนที่ไม่มีใครคอยหนุนหลัง ล้วนเป็นบุคคลที่น่าอนาถ

เย่ว์หยางไม่ค่อยมีความคิดเรื่องนี้เขาไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ เขาต้องรีบเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว ดังนั้นเขารีบถามทันที “อย่างนั้นทำอย่างไรข้าจึงจะได้บัลลังก์เทพ?”

เขาเริ่มคิดว่าเขาควรจะจ่ายค่าธรรมเนียมอะไรก่อนหรือไม่มอบสิ่งของ ใส่ชื่อลงทะเบียน หรือว่าใบรับรองจากองค์กรที่มีชื่อในสังคมใครจะรู้กันว่าพอตาเฒ่าเอ่ยปากก็ทำให้เขาผิดหวัง

ชายชราส่ายศีรษะและโบกมือ “บัลลังก์เทพ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะได้มาเองตามต้องการจะต้องมีเงื่อนไขสามประการคือ ประการแรกเจ้าต้องมีพื้นฐานการฝึกฝนมาอย่างเพียงพอหากไม่มีสิ่งนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ประการที่สองเจ้าต้องมีอาจารย์เพื่อประกันความสำเร็จบัลลังก์เทพให้เจ้า เจ้าไม่สามารถประกันด้วยตนเองได้แม้ว่าเจ้าจะมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองแต่เจ้าจะไม่มีทางเข้าถึงบัลลังก์เทพได้ด้วยตนเอง หากไม่มีประสบการณ์แสนแปดหมื่นปีเป็นอย่างต่ำเจ้าไม่มีทางได้บัลลังก์เทพแม้เป็นอันดับที่ต่ำที่สุด  ประการที่สาม เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและก็เป็นจุดลำบากที่สุด เจ้าจะต้องตั้งจิตปณิธานที่สำคัญมากนั่นคือด้วยพลังเทพทั้งหมดของเจ้า ทักษะแฝงเร้น กฎสวรรค์และส่วนประกอบอื่นๆเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จเป็นบัลลังก์เทพในปัจจุบันกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือหลังจากบรรลุสถานะบัลลังก์เทพเจ้าจะถูกจำกัดว่าเจ้าอยู่ในระดับใดตำแหน่งใดซึ่งแทบจะคงที่ถาวรแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ   ไม่เข้าใจอีกหรือ?กล่าวอีกอย่างหนึ่งการฝึกฝนของเจ้าใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และบัลลังก์เทพนี้คือจุดสิ้นสุดของการฝึกฝน”

“หลังจากสำเร็จบัลลังก์เทพแล้วข้าจะไม่สามารถฝึกฝนได้อีกหรือ?” เย่ว์หยางตกใจ

“ใช่แล้ว, แต่ในทางทฤษฎีเป็นเช่นนี้แต่คนที่มีความกระตือรือร้นยังคงฝึกฝนต่อไปก็มี แต่จะมีความก้าวหน้าช้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศักยภาพของพวกเขาหมดลง และไม่มีพลังจะเปลี่ยนแปลงได้มากพอคาดว่าในช่วงเวลาหมื่นปีพวกเขาจะฝึกฝนได้ก้าวหน้าไม่เท่าใด” ชายชราพูดเห็นด้วย

“ในเมื่อข้าไม่สามารถก้าวหน้าในอนาคตได้แล้วทำไมข้าจึงต้องสนใจบัลลังก์เทพนี้ด้วยหลังจากฝึกฝนสำเร็จแล้วค่อยมาสนใจบัลลังก์เทพก็ยังไม่สายเกินไป” เย่ว์หยางเมื่อได้ยินว่าจะไม่สามารถฝึกฝนได้อีกต่อไปเขาอดรู้สึกต่อต้านเล็กน้อยไม่ได้

“บัลลังก์เทพไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการเจ้านึกว่าบัลลังก์เทพเป็นหัวไชเท้าหรือ?” ชายชราไม่พอใจ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเย่ว์หยางไม่มีความต้องการในตอนนี้

“ถ้าข้าสามารถทำได้ในตอนนี้แล้วทำไมจึงไม่ใช่เรื่องดีเล่า?” เย่ว์หยางยิ่งมึนงงสงสัย

“ตอนนี้ เพราะเจ้าเพิ่งได้รับการฝึกฝนเป็นเหมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ยังเป็นเรื่องง่ายที่อาจารย์จะช่วยให้เจ้าได้บัลลังก์เทพ  รอจนกระทั่งต่อจากนั้นเจ้าค่อยทำการแก้ไขในทุกๆด้านทั้งด้านดีด้านเลวรวมเข้าด้วยกัน บางทีเจ้าอาจไม่บรรลุแม้ว่าเจ้าจะทำได้ก็ตาม แต่ตอนนี้เจ้ายังทำได้ไม่ดีเท่า นอกจากนี้หลังจากที่เจ้าได้บัลลังก์เทพแล้วพลังยิ่งใหญ่จะปรากฏขึ้นกับเจ้าเป็นอันมาก มันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านสะเทือนโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตามเป็นเรื่องยากมากที่จะตัดสินใจในระยะหนึ่งหากเจ้าทำอะไรที่ผิดเจตจำนงและกฎสวรรค์ เทพโบราณจะลงโทษเจ้า ดังนั้นการจะได้บัลลังก์เทพก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก”  ในที่สุดเย่ว์หยางก็เข้าใจในคำพูดของชายชราตอนนี้บัลลังก์เทพก็คือขอบเขตขีดจำกัดของนักสู้ระดับเทพนั่นเอง

ความสำเร็จของการมาถึงจุดสิ้นสุดของการฝึกฝนวิธีการรับรองของเทพและการแสดงพลัง

ไม่มีสิ่งนี้

อย่างนั้นพวกแดนสวรรค์เหล่านี้ก็จะไม่ยอมรับ

และการได้มาซึ่งบัลลังก์เทพนี้ยากมากไม่ใช่หัวไชเท้าที่มีวางขายกันทั่วไป ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้  เย่ว์หยางลอบบ่นอยู่ในใจ  เบื้องหลังของเขาไม่มีใครอยู่เลย นักพรตเต๋าก็ไม่รู้ว่าเป็นเทพตนใดหายไปไหนไม่รู้แต่ยังโชคดีที่มีเทพธิดากระบี่ฟ้า มิฉะนั้นเขาคงอยู่ในสถานะที่น่าอนาถ

“ตอนนี้ท่านคิดว่าข้าจะได้บัลลังก์เทพแบบไหน?”  เย่ว์หยางถามอย่างไม่แน่ใจ  หากไม่สามารถได้บัลลังก์เทพระดับต่ำสุดได้อย่างนั้นก็เลิกพูดได้เลย เขาจะฝึกฝนอีกสักหมื่นปี!

“ข้าไม่รู้ นั่นขึ้นอยู่กับจุดดีด้านต่างๆ ที่เจ้ามีอย่างเช่นคัมภีร์อัญเชิญ พลังเทพและประกายเทพ ทักษะแฝงเร้นและกฎสวรรค์ เมื่อเจ้าใช้ผสมและคละกันแล้วเจ้าทำได้ดีมากขึ้นสถานะบัลลังก์เทพเจ้าจะสูงขึ้นแน่นอน บัลลังก์เทพของเจ้ายิ่งเจิดจ้าสว่างไสว  โอวใช่แล้ว ยิ่งเจ้าทำสิ่งต่างๆมากขึ้นในระหว่างฝึกฝน ความก้าวหน้าผลตอบแทนทั้งหมดของเจ้าก็จะมีมากยิ่งขึ้นยิ่งเจ้าทุ่มเทสละออกไปมากเท่าไหร่ทั้งที่ดีหรือไม่ดีทั้งหมดจะส่งผลต่อมาถึงบัลลังก์เทพของเจ้า”  ชายชราแนะนำอย่างไม่หยุดหย่อน

“ต้องทำเรื่องราวดีๆ ตอบแทนหรือ?”  เย่ว์หยางสะดุ้ง

“แน่นอน ถ้าเจ้าทำเรื่องดีๆ ไว้นั่นคือการเปลี่ยนชะตาให้คนอื่น อย่างนั้นเจ้าจะได้รับสนองในที่สุดเว้นแต่เจ้าสามารถควบคุมชะตาฝ่ายตรงข้ามได้ หรือปล่อยให้ชะตาของพวกเขารวมเข้ากับชะตาของเจ้าและปล่อยให้พวกเขาอยู่ในโลกของเจ้าถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทำอะไรเลย!  มิฉะนั้นใครๆ ก็ไม่ต้องมาทำอะไรให้เจ้า! ถ้าเจ้าเป็นคนธรรมดาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร  แต่ถ้าเจ้าเป็นเทพ เจ้าไม่มีทางเฉยอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่พวกเขากลายเป็นผู้ติดตามบริวารของเจ้าเพื่อแสดงความนับถือเทิดทูน นอกจากนี้ยังสามารถให้พลังศรัทธาตอบแทนกับเจ้าช่วยเพิ่มสง่าราศีให้กับบัลลังก์เทพของเจ้า การเลื่อนระดับในอนาคตขึ้นอยู่กับพวกเขาดังนั้นหากไม่มีพวกนี้ก็ไม่สามารถทำได้” คำพูดอธิบายของชายชราทำให้เย่ว์หยางพูดไม่ออก

โชคดี ที่เขาไม่ใช่คนตระหนี่ ไม่อย่างนั้นคงน่าปวดหัว

มิน่าเล่าที่ปีศาจเฒ่านี้ถึงได้ซ่อนตัวจากโลกและพวกเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่สนใจช่วยเหลือ พวกเขาไม่สนใจเรื่องราวต่างๆ เลยไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจผู้เยาว์รุ่นหลังและพวกเขากลัวจะมีปัญหาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเต็มเวลา

เย่ว์หยางครุ่นคิดสักพักก็คิดจะกลับไปถามเทพธิดากระบี่ฟ้า!

นอกจากนี้ยังเร็วเกินไปที่เขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อเขาเข้าใจระดับเทพราชันย์เขาไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในบัลลังก์เทพ!

หลังจากคิดดูอีกครั้งเย่ว์หยางสงสัยจริงๆว่าเทพธิดากระบี่ฟ้าแอบทำอะไรกับตัวเขาเองหรือไม่ อาจเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการนำไปสู่ความสำเร็จบัลลังก์เทพ  มิฉะนั้นนางคงจะไม่แทรกแซงการฝึกฝนหลายครั้งเมื่อใดที่เป็นช่วงสำคัญที่สุดนางจะยืมมือช่วยเหลือลับๆ ....เมื่อคิดได้เช่นนั้นเย่ว์หยางค่อยรู้สึกเบาใจใช่แล้วฟ้าดินจะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนเขาไม่ต้องกังวลถึงเรื่องอื่นเลยแค่ฝึกฝนตามที่นางเตรียมไว้ให้

ทุกอย่างต้องมีนาง

ขณะที่บัลลังก์เทพก็ขาดไม่ได้เช่นกัน!

*** *** ***

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด