ตอนที่แล้วตอนที่ 43: ดักปล้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 45: ไข่โลหะ

ตอนที่ 44: ฝูงแมงป่อง


ตอนที่ 44: ฝูงแมงป่อง

ประเทศออสเตรเลียอยู่ในบริเวณซีกโลกทางตอนใต้และในตอนนี้ก็เป็นช่วงฤดูร้อนทำให้ในช่วงเวลากลางวันมีอุณหภูมิมากกว่า 40 องศาเซลเซียส

ด้วยอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้มันก็ไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้กับมนุษย์เท่านั้น แต่มันยังสร้างปัญหาให้กับสัตว์หลากหลายชนิดอีกด้วย

พื้นที่เงาฝนเป็นที่อยู่ของแมงป่องดำขนาดใหญ่ โดยแมงป่องสายพันธุ์นี้มีลำตัวยาวกว่า 20 เซนติเมตร, มีกระดองห่อหุ้มสีดำสนิทและมีหางแหลมชูขึ้นไปในอากาศ

พิษของแมงป่องดำเป็นพิษที่มีความรุนแรงมาก เพราะพิษเพียงแค่ 0.1 มิลลิลิตรก็สามารถที่จะฆ่าวัวตัวเต็มวัยได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวมากยิ่งกว่าพิษนั่นก็คือพวกมันเป็นสัตว์สังคม พวกมันจึงมักจะรวมตัวกันอยู่เป็นฝูงหลายพันตัวและเข้าจู่โจมเหยื่อพร้อม ๆ กัน

ด้วยฝูงแมงป่องจำนวนมหาศาลเช่นนี้มันจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงสัตว์ขนาดเล็กอย่างหนูหรือแมลง เพราะแม้แต่สัตว์ขนาดใหญ่อย่างจิงโจ้และนกกระจอกเทศก็กลายเป็นเหยื่อของพวกมันด้วยเช่นกัน ด้วยความสามารถในการจู่โจมที่รุนแรงเช่นนี้นี่เอง มันจึงทำให้แม้แต่ชาวพื้นเมืองในออสเตรเลียก็ยังรักษาระยะห่างกับพวกมันด้วยความเคารพ

โดยปกติพวกแมงป่องดำจะหลบอยู่ใต้พื้นดินในช่วงเวลากลางวันและเริ่มออกล่าเหยื่อในช่วงเวลากลางคืน แต่สิ่งที่เลวร้ายมากที่สุดสำหรับเซี่ยเฟยในปัจจุบันนั่นก็คือ รอยแยกที่เขากับเซียวรั่วหยูได้ใช้ในการซ่อนตัวกลับกลายเป็นรังของแมงป่องพวกนี้!!

หลังพระอาทิตย์ตกดินพวกแมงป่องดำก็เริ่มคลานขึ้นมาจากพื้นดินและทำให้พื้นที่บริเวณนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกระดองสีดำเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

เมื่อแมงป่องดำพุ่งเข้าหาเซี่ยเฟยและเซียวรั่วหยู พวกมันก็ชูหางของพวกมันขึ้นไปบนฟ้า ขณะที่เหล็กในที่ปลายหางกำลังสั่นไปมาและส่งเสียงคล้ายกับงูหางกระดิ่ง

เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยเหงื่อออกจนท่วมทั้งใบหน้าและเขาก็ไม่มีเวลาคิดพิจารณาสถานการณ์อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรีบคว้าตัวของเด็กสาวเอาไว้และกระโดดขึ้นไปจากหลุมลึก

พริบตาต่อมาร่างของเขาก็เคลื่อนที่ห่างออกไปไกลจากจุดเดิมมากกว่า 100 เมตร

ในเวลาเดียวกันกับที่เซี่ยเฟยได้เคลื่อนไหว ฝูงแมงป่องก็เริ่มจู่โจมเข้าใส่จุดที่เขาได้เคยยืนอยู่ ถ้าหากว่าปฏิกิริยาของชายหนุ่มช้ากว่านี้อีกเพียงแค่นิดเดียวพวกเขาก็คงจะกลายเป็นอาหารของพวกแมงป่องไปแล้ว

เมื่อพวกแมงป่องไม่สามารถจัดการกับเหยื่อของพวกมันได้ พวกมันจึงรีบปีนออกไปจากรอยแยกและกระโจนเข้าใส่พวกเซี่ยเฟยอีกครั้ง

การเคลื่อนไหวของพวกมันดูก้าวร้าวมากคล้ายกับว่าพวกมันจะไม่ยอมแพ้จนกว่าพวกมันจะสามารถจัดการกับชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้ได้

เซี่ยเฟยไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปพัวพันกับแมงป่องพวกนี้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย มันก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะมีโอกาสได้ทดสอบพลังของวิชามนตราอสูร

ชายหนุ่มเพิ่งจะฝึกวิชามนตราอสูรได้ขั้นเดียวเท่านั้นและเขายังไม่เคยมีโอกาสได้ทำการทดสอบพลังของมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ขั้นแรกของวิชามนตราอสูรจะทำให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารแบบเบื้องต้นกับพวกสัตว์ชนิดต่าง ๆ ได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือสั่งการสัตว์เหล่านั้นได้อย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยการสื่อสารในรูปแบบนี้ก็ยังพอช่วยไม่ให้ผู้ฝึกวิชาถูกจู่โจมจากสรรพสัตว์ที่อ่อนแอ

“รีบหนีไปก่อนเร็วเข้า! แล้วอย่าหันหลังกลับมา!!” เซี่ยเฟยส่งเสียงตะโกนพร้อมกับผลักเด็กสาวออกไป

ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าเซียวรั่วหยูผู้ซึ่งเคยอยู่อาศัยกับคุณย่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับสัตว์มีพิษมาแล้วทุกชนิด แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับฝูงแมงป่องขนาดใหญ่และมันก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเซี่ยเฟย เด็กสาวก็ได้สติกลับคืนมา ดังนั้นเธอจึงรีบหันหลังวิ่งออกไปอย่างเชื่อฟังและเนื่องมาจากเธอได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ความคล่องแคล่วของเธอจึงเหนือกว่าเพื่อน ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ในระหว่างที่เธอวิ่งออกไปนั้น เธอก็ยังคงหันกลับไปมองเซี่ยเฟยด้วยความกังวล

เมื่อเซี่ยเฟยใช้มนตราอสูร ดวงตาของเขาก็เปล่งแสงออกมาอย่างเจิดจ้า พร้อมกับสายตาของเขาที่เริ่มเปลี่ยนไปคล้ายกับว่ามันกำลังส่งข้อความอะไรบางอย่างออกมา

วิชามนตราอสูรเป็นการส่งผ่านความรู้สึกออกไปได้ทั้งสิ้น 2 ช่องทาง คือการส่งผ่านทางสายตาและส่งผ่านกระแสจิต โดยในตอนนี้เขากำลังส่งผ่านความรู้สึกออกไปทางสายตา ให้พวกแมงป่องดำถอยห่างออกจากพวกเขาไป

เมื่อสายตาอันเฉียบคมของเซี่ยเฟยจ้องมองฝูงแมงป่อง มันก็ก่อให้เกิดเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์

แมงป่องเหล่านี้เริ่มเกิดอาการลังเล ไม่รู้ว่าพวกมันสมควรจะต้องทำอะไร แล้วมันก็มีแมงป่องบางตัวที่ดูเหมือนกับมีอาการมึนเมาเดินวนไปวนมาเหมือนไม่สามารถระบุทิศทางของมันได้

เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพลังของมนตราอสูรจะมีความรุนแรงถึงขนาดนี้ เขาจึงตัดสินใจว่าในอนาคตเขาจะทุ่มเทฝึกฝนวิชานี้มากยิ่งขึ้น

ถ้าหากว่าเขาสามารถฝึกฝนมนตราอสูรได้จนถึงขั้นที่ 3 มันก็จะทำให้เขาสามารถส่งเจตนารมณ์ผ่านกระแสจิตได้ ซึ่งในเวลานั้นไม่เพียงแต่เขาจะสามารถจัดการกับสรรพสัตว์ระดับต่ำได้เท่านั้น แต่เขาจะมีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับสัตว์อสูรที่อยู่ในจักรวาลได้อีกด้วย

การส่งพลังผ่านทางสายตาจำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาล มันจึงไม่ควรที่จะใช้วิชานี้เป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อเซี่ยเฟยสามารถหยุดแมงป่องพวกนี้เอาไว้ได้ เขาก็ทำการถอนสายตาก่อนที่จะหันหลังกลับและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันพวกแมงป่องก็จำเป็นจะต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะฟื้นคืนสติของพวกมันกลับมาได้ แต่พวกเซี่ยเฟยได้เคลื่อนที่หนีออกไปไกลมากแล้ว พวกมันจึงไม่สามารถไล่ตามชายหนุ่มกับเด็กสาวคู่นั้นได้อีกต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ทำให้เซี่ยเฟยมีความเข้าใจพื้นที่เงาฝนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนที่อ้อมแมงป่องก่อนที่จะไปหยุดอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ที่มีหญ้าและมีพุ่มไม้สูงอยู่รอบ ๆ

หญ้าแต่ละกออยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตรและมันก็ยังมีวัชพืชสีเหลืองปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่หลายสิบตารางกิโลเมตรรอบ ๆ นี้

วัชพืชที่ขึ้นในพื้นที่เงาฝนถือได้ว่าเป็นต้นพืชที่มีความทรหดมาก เพราะไม่เพียงแต่พวกมันจะสามารถเติบโตในพื้นที่อันแห้งแล้งได้เท่านั้นแต่มันยังเติบโตจนมีขนาดความสูงพอ ๆ กับมนุษย์โตเต็มวัยได้อีกด้วย

เซี่ยเฟยได้รับบทเรียนจากพวกแมงป่องดำมาครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นก่อนที่เขาจะหาที่พักเขาจะทำการสำรวจสภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดเสียก่อน ซึ่งหลังจากที่เขาได้ทำการไล่งูและหนูที่อยู่ใกล้ ๆ ออกไปแล้ว เขาก็วางเซียวรั่วหยูลงไว้ตรงพื้นที่ที่ค่อนข้างจะรกชัน

ต่อมาชายหนุ่มก็วางกับดักและอุปกรณ์รอบ ๆ พืชพรรณเหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถพักผ่อนได้อย่างปลอดภัย

เซี่ยเฟยได้ใช้เวลาเกือบทั้งคืนในการติดตั้งกับดักทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่เขาได้รับประทานอาหารเช้า เขาก็ซ่อนตัวอยู่ในกอหญ้าเพื่อรอคอยให้เหยื่อมาติดกับ

ปัจจุบันการแข่งขันในรอบแรกได้ผ่านพ้นไปเป็นเวลากว่าหนึ่งวันแล้วและถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้มแต่หยาดฝนที่เซี่ยเฟยรอคอยก็ยังคงไม่มาถึง

—--

ณ สำนักงานใหญ่ของค่ายฝึกจัสทิสลีก ภายในดาวเฮกสตาร์ ภูมิภาคเอ็นดาโร่

การประเมินระดับวิกฤตที่จัดขึ้นในดาวโลกครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วทั้งภูมิภาคดาวและแน่นอนว่าแม้แต่ผู้คนในค่ายฝึกจัสทิสลีกก็ไม่มีข้อยกเว้น

ปัจจุบัน ‘เย่จิ่งชาน’ กำลังนั่งอยู่ภายในห้องทำงานอันกว้างขวางของเขาและเฝ้าดูถ่ายทอดสดการแข่งขันจากบนโลก

นอกเหนือจากผู้สมัครทุกคนจะถูกบันทึกการเคลื่อนไหวผ่านทางนาฬิกาที่พวกเขาได้สวมใส่แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาทำในระหว่างการประเมินยังจะถูกบันทึกและถูกเก็บเอาไว้ในไฟล์ลับของค่ายฝึกจัสทิสลีกอีกด้วย

ในปีนี้เย่จิ่งชานมีอายุ 59 ปีแต่เขายังคงดูแข็งแรงและมีความสง่างามเช่นเคย ขณะเดียวกันบุคลิกของเขานั้นก็เย็นชาไร้อารมณ์ไม่ต่างไปจากบุตรสาวอย่างเย่เสี่ยวหานเลย

หากว่าความเย็นชาของเย่เสี่ยวหานเปรียบเสมือนกับทะเลสาบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ความรู้สึกของชายชราคนนี้ก็คงจะเปรียบเสมือนกับภูเขาน้ำแข็งอายุหลายหมื่นปี

เย่จิ่งชานถือได้ว่าเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตของภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่เพราะในครั้งหนึ่งเขาเคยดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าแผนกในสำนักงานใหญ่ของจัสทิสมาก่อนและในปัจจุบันเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ใน 100 อันดับแรกของเหล่าบรรดาจัสทิสทั้งหมดอีกด้วย

น่าเสียดายที่เย่จิ่งชานลาออกมาจากสำนักงานใหญ่โดยไม่รู้สาเหตุ ก่อนที่เขาจะมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพันของค่ายฝึกจัสทิสลีกในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ที่อยู่ห่างไกล

แม้ว่าในขณะนี้เขาจะไม่ได้ตำรงตำแหน่งที่สำคัญของสมาพันจัสทิสอีกแล้ว แต่อำนาจบารมีของเขายังคงอยู่ หากวัดตามหลักการและเหตุผลแล้ว อำนาจของเขาก็อยู่ในระดับเดียวกันกับผู้อำนวยการโรเบิร์ตเลยทีเดียว

แต่ถึงกระนั้นทุกครั้งที่พวกเขาได้พบกัน เย่จิ่งชานก็ยังคงให้ความเคารพโรเบิร์ตอยู่เสมอ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานทุกคนภายในค่ายก็ไม่มีใครกล้าที่จะมีความคิดดูถูกเขาเลยแม้แต่น้อย

ขณะเดียวกันในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของค่ายฝึกจัสทิสลีกภายใต้การดูแลของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันชื่อเสียงของค่ายฝึกจัสทิสลีกของภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ก็มีชื่อเสียงใกล้เคียงกับค่ายฝึกบางแห่งในภูมิภาคที่เจริญของพันธมิตรแล้ว

ภาพต่าง ๆ บนหน้าจอถ่ายทอดสดถูกเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยฉากภาพที่ฉายอยู่บนจอต่างก็เต็มไปด้วยการต่อสู้และการฆ่าฟัน

เหตุการณ์นี้ทำให้เย่จิ่งชานส่ายหัวไปมาไม่หยุดราวกับว่าเขารู้สึกไม่พอใจกับผู้เข้าร่วมการประเมินในครั้งนี้เลย

เมื่อชายชราเอานิ้วไปแตะที่หน้าจอเบา ๆ สองครั้ง ภาพบนหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นแผนที่สองมิติและในทันใดนั้นเองดวงตาของเย่จิ่งชานก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างสับสน

บนหน้าจอได้มีการแสดงจุดสีแดงขึ้นมาหลายจุด โดยจุดสีแดงเหล่านี้แต่ละจุดเป็นตัวแทนของผู้สมัครแต่ละคน ถ้าหากว่าจุดสีแดงจุดใดได้หายไป มันก็จะหมายความว่าผู้สมัครคนนั้นได้เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จุดสีแดงโดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่รอบ ๆ พื้นที่ที่แผ่นป้ายถูกทิ้งเอาไว้ แต่มันมีจุดสีแดง 2 จุดที่อยู่ห่างออกไปคล้ายกับว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปแย่งชิงแผ่นป้ายเพื่อผ่านไปยังรอบต่อไปเลย

แน่นอนว่าจุดสีแดงสองจุดนี้ย่อมไม่ใช่จุดสีแดงซึ่งเป็นตัวแทนผู้สมัครคนใดที่ไหนเพราะมันเป็นจุดสีแดงที่เป็นตัวแทนของเซี่ยเฟยและเซียวรั่วหยูนั่นเอง

“ผู้สมัครสองคนนี้ไม่ต้องการผ่านรอบแรกอย่างนั้นหรอ? ทำไมพวกเขาถึงต้องไปหลบซ่อนตัวอยู่ไกลขนาดนั้นด้วย” เย่จิ่งชานอุทานออกมาด้วยความอยากรู้ จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าจออีกครั้งเพื่อเริ่มดูบันทึกการเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟยตั้งแต่เริ่มต้นการประเมิน

เมื่อภาพบนหน้าจอได้ดำเนินต่อไปเย่จิ่งชานก็เผยรอยยิ้มที่หาได้ยากของเขาออกมา แต่ทันทีที่เขาเห็นเซี่ยเฟยวางกับดักเอาไว้ตามพื้นใบหน้าของชายชราก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอีกครั้ง

ชายชราไม่เคยเห็นอุปกรณ์ที่เซี่ยเฟยเอาไปวางกับดักเอาไว้ตามพื้นดินเลย หรือบางทีอุปกรณ์พวกนั้นอาจจะเป็นอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่เขาไม่รู้จัก

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้นำรูปอุปกรณ์พวกนั้นไปค้นหาในคอมพิวเตอร์ คำตอบที่เขาได้รับกลับมาก็ทำให้เขาไม่รู้ว่าเขาจะส่งเสียงหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี

“เด็กคนนี้น่าสนใจมาก ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะใช้ของพวกนั้นในการวางกับดักถือได้ว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากพอสมควร”

หลังจากเย่จิ่งชานครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็เผลอร้องอุทานออกมาว่า

“มันช่างเป็นแผนการที่ดีจริง ๆ!”

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

แต่ในทันใดนั้นมันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นชุด โดยมันเป็นการเคาะช้า ๆ และมีความสงบมาก

“เข้ามา!” เย่จิ่งชานกล่าวออกไปอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับกลับมาแสดงท่าทางเป็นคนเย็นชาตามปกติ

ในเวลาต่อมาชายผู้มีอายุประมาณ 60 ปีก็เดินผ่านประตูเข้ามาด้วยรอยยิ้ม โดยชายชราคนนี้มีรูปร่างอ้วนเหมือนกับลูกบอล, มีผิวขาวบริสุทธิ์ราวกับผู้หญิงและเขาก็มีรอยยิ้มอันเจิดจ้าที่แสดงออกว่าเขาเข้ามาอย่างเป็นมิตร

แน่นอนว่าชายคนนี้ยอมไม่ใช่ใครอื่นใดเลยนอกเสียจาก ‘ชิวเชียงจี่’ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกกลยุทธ์ของค่ายฝึกจัสทิสลีก

แผนกกลยุทธ์ได้ฝึกอบรมจัสทิสที่มีความสามารถออกไปสู่ตลาดแรงงานอย่างมากมาย ซึ่งผู้นำในดาวเคราะห์ต่าง ๆ หลายดวงก็เคยอยู่ภายในแผนกนี้ของค่ายฝึกจัสทิสลีกมาก่อนเช่นเดียวกัน มันจึงทำให้แผนกกลยุทธ์เป็นหนึ่งในแผนกที่มีความสำคัญและพวกเขาก็เป็นรองเพียงแค่แผนกภายในซึ่งเป็นแผนกที่มีเอาไว้สำหรับการผลิตนักสู้ชั้นยอดเท่านั้น

เมื่อชิวเชียงจี่เดินเข้ามาเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเย่จิ่งชานด้วยความตื่นเต้น ซึ่งชายชราเจ้าของห้องก็พยักหน้ารับ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายนั่งลง

“ผู้บัญชาการเย่ ผมได้พบกับผู้สมัครที่น่าสนใจมากและผมก็ตั้งใจที่จะรับเขาเข้ามาในแผนกกลยุทธ์โดยใช้โควต้าพิเศษ” ชิวเชียงจี่กล่าวอย่างตื่นเต้น

“ผู้สมัครคนนั้นเป็นใคร? เขาคงจะไม่ใช่ทายาทจากตระกูลที่มีอิทธิพลใช่ไหม?” เย่จิ่งชานกล่าวถามด้วยท่าทางที่ยังคงนิ่งเฉย

ชิวเชียงจี่ส่ายหัวไปมาก่อนที่เขาจะเล่าต่อไปว่า

“เด็กพวกนั้นรู้จักแต่วิธีอวดรวยและสามารถเอาชนะผู้สมัครคนอื่น ๆ ได้เพราะพวกเขามีอุปกรณ์ที่ทรงพลัง เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าคนจำพวกนี้สักเท่าไหร่”

“ผู้สมัครที่ผมสนใจคือคนที่วิ่งออกไปทางทิศตะวันตกที่แทบจะไม่มีใครเลยและทำการติดตั้งกับดักเตรียมการเอาไว้ โดยตั้งใจรอให้ผู้สมัครที่มีแผ่นป้ายวิ่งหนีผ่านมาแล้วทำการดักปล้นพวกเขา”

“พื้นที่ทางทิศตะวันตกเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการซุ่มโจมตี ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์และการตัดสินใจของเขามีความโดดเด่นกว่าผู้สมัครทั้งหมด นอกจากนี้เขายังมีอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น ผมเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมกับแผนกกลยุทธ์”

“ผู้บัญชาการเย่คุณรู้ไหมว่ากับดักที่ผู้สมัครคนนั้นเอาไปใช้คืออะไร? ตอนที่ผมทำการตรวจสอบกับดักพวกนั้นด้วยตัวเองมันทำเอาผมหัวเราะเกือบตาย”

หลังจากกล่าวจบชิวเชียงจี่ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้ให้ความสนใจเลยว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเย่จิ่งชานที่เย็นชาและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งภูมิภาคดาว

อย่างไรก็ตามเย่จิ่งชานก็ไม่ได้คิดที่จะตำหนิชายชราคนนี้ เพราะท้ายที่สุดเขาก็รู้จักนิสัยของชิวเชียงจี่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะทำใจโกรธชายชราผู้ซึ่งอารมณ์ดีตลอดเวลาคนนี้ได้จริง ๆ

“คุณกำลังหมายถึงผู้สมัครคนนี้ใช่ไหม” เย่จิ่งชานกล่าวถามพร้อมกับกดนิ้วเพื่อให้ภาพฉายขึ้นมาบนหน้าจอ

“อ๋อ! ที่แท้เขาชื่อเซี่ยเฟย เป็นผู้สมัครจากดาวโลกสินะ” ชิวเชียงจี่เหลือบไปมองหน้าจอพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ความสามารถในการวิเคราะห์และการตัดสินใจของผู้สมัครคนนี้เหมาะสมกับแผนกกลยุทธ์มาก ความจริงแล้วผมก็ค่อนข้างสนใจเขาอยู่เหมือนกัน การส่งเขาไปที่แผนกกลยุทธ์ของคุณก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากว่าคุณตัดสินใจแล้วคุณก็ส่งเอกสารเรื่องนี้มาได้เลย” เย่จิ่งชานกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

ถึงแม้ว่ามันจะมีการระบุเอาไว้ว่าทางสมาพันธ์จัสทิสจะรับสมัครผู้เข้าแข่งขัน 3 อันดับแรกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงหากใครสามารถแสดงความสามารถออกมาได้อย่างโดดเด่นจนไปเตะตาผู้บังคับบัญชาของแผนกต่าง ๆ พวกเขาก็อาจจะได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ค่ายฝึกจัสทิสลีกด้วยโควต้าพิเศษ

ในทุก ๆ ปีหัวหน้าแผนกทุกคนจะมีโควต้าสำหรับการลงทะเบียนเป็นกรณีพิเศษเช่นนี้อยู่แล้วและใครก็ตามที่ได้รับคัดเลือกจะสามารถผ่านเข้าไปยังค่ายฝึกจัสทิสลีกได้ทันที

อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้มีผู้ผ่านการคัดเลือกในกรณีพิเศษมากเกินไป ทางค่ายฝึกจึงได้ตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ว่า หากผู้ผ่านการคัดเลือกในกรณีพิเศษไม่สามารถจบการศึกษาได้ในเวลา 5 ปี หัวหน้าแผนกที่รับสมัครพวกเขาเข้าไปก็จะต้องถูกลงโทษและพวกเขายังจะต้องเสียโควต้าสำหรับการคัดเลือกในกรณีพิเศษไปเป็นเวลาอีก 3 ปี

ด้วยเหตุนี้เองการที่ชิวเชียงจี่เต็มใจจะรับเซี่ยเฟยเป็นกรณีพิเศษมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเขาชื่นชมการกระทำของเซี่ยเฟยมากแค่ไหน เพราะท้ายที่สุดการรับสมัครในกรณีพิเศษแบบนี้ก็ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของเขาเท่านั้น แต่มันยังมีความเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของเขาด้วย

มันคงไม่มีหัวหน้าแผนกคนไหนอยากจะถูกคนอื่นวิจารณ์ว่าพวกเขาเป็นคนขาดวิสัยทัศน์และรับเด็กเส้นเข้ามาในโควต้าของตัวเอง

“ไม่มีปัญหา ผมจะรีบกลับไปเขียนรายงานเดี๋ยวนี้! มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีถ้าหากว่ามันได้มีใครมาทำร้ายเขาซะก่อน ท้ายที่สุดสมาชิกจากแผนกกลยุทธ์ของพวกเราก็มุ่งเน้นไปที่การใช้สมองมากกว่าการต่อสู้และการฆ่าฟันอยู่แล้ว” ชิวเชียงจี่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างพอใจ

แต่ในระหว่างที่ชายอ้วนกำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความลำบาก มันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างเร่งด่วน

เหตุการณ์นี้ทำให้เย่จิ่งชานต้องขมวดคิ้ว เพราะเมื่อพิจารณาจากเสียงเคาะประตูแล้วเขาก็สามารถรู้ได้เลยว่าผู้ที่อยู่หลังประตูจะต้องเป็น ‘หม่าเจี้ยน’ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกสัตว์อสูร

หม่าเจี้ยนเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่โดดเด่นและเขาก็เป็นคนมีบุคลิกตรงไปตรงมา ดังนั้นเขาจึงมักจะทำทุกอย่างด้วยความเร่งรีบและมีนิสัยที่ตรงกันข้ามกับชิวเชียงจี่อย่างสิ้นเชิง

ในความเป็นจริงหัวหน้าแผนกทั้งสองคนนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ทำให้เย่จิ่งชานรู้สึกปวดหัวมาก เพราะคนหนึ่งก็เป็นคนสบาย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่อีกคนหนึ่งก็เป็นคนที่ไม่เคยสนใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

“เข้ามา!” เย่จิ่งชานตะโกนไปที่ประตู

ทันทีที่เย่จิ่งชานกล่าวจบลง หม่าเจี้ยนก็พุ่งเข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบพร้อมกับส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างฉับพลันว่า

“ผู้บัญชาการเย่! ผมได้พบกับผู้สมัครที่มีพรสวรรค์! ผมต้องการให้เขาลงทะเบียนเข้าสู่แผนกของผมเป็นกรณีพิเศษ!”

หม่าเจี้ยนเป็นคนสูงที่ชอบพูดเสียงดังและถึงแม้ว่าเขาจะพยายามเบาเสียงต่อหน้าเย่จิ่งชานแล้ว แต่ชายชราก็รู้สึกราวกับว่าผู้มาใหม่กำลังตะโกนใส่หน้าของเขาอยู่ดี

“ตาเฒ่าหม่าคราวนี้ผู้สมัครคนไหนมาเตะตาคุณเข้าล่ะ เขาคงไม่ใช่ทายาทจากตระกูลที่มีอิทธิพลใช่ไหม?” ชิวเชียงจี่ตบไหล่หม่าเจี้ยนพร้อมกับพูดเลียนแบบเย่จิ่งชาน

“แผนกสัตว์อสูรของพวกเราต้องการคนที่มีความอดทน, มุมานะและเต็มใจที่จะดูแลสัตว์อสูรอย่างจริงใจ ไอ้เด็กพวกนั้นมีแต่พวกหยิ่งยโส, ขี้เกียจตัวเป็นขน พวกมันไม่คู่ควรกับแผนกสัตว์อสูรของฉันหรอก คนที่เตะตาฉันมาจากดาวเคราะห์ที่มีระดับอารยธรรมที่ต่ำมาก ดังนั้นเขาจะต้องภาคภูมิใจกับโอกาสที่ฉันได้หยิบยื่นให้” หม่าเจี้ยนกล่าว

อย่างไรก็ตามเมื่อหม่าเจี้ยนได้เงยหน้าและพบข้อมูลของเซี่ยเฟยบนหน้าจอ เขาก็โพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจว่า

“ที่แท้ผู้บัญชาการเย่ก็กำลังให้ความสนใจเซี่ยเฟยเหมือนกันสินะ ถ้าอย่างนั้นผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาบรรยายสรรพคุณของเขา ถ้าหากว่าคุณตกลง ผมจะรีบกลับไปเขียนรายงานมายื่นให้กับคุณทันที”

เหตุการณ์นี้ทำให้หน้าผากของเย่จิ่งชานย่นลงมาเล็กน้อย เพราะเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าหม่าเจี้ยนจะกำลังให้ความสนใจกับเซี่ยเฟยเช่นกัน

ทั้งหม่าเจี้ยนและชิวเชียงจี่ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหัวหน้าแผนกในค่ายฝึกจัสทิสลีก แต่เนื่องมาจากบุคลิกของพวกเขาที่แตกต่างกัน มันจึงทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างพวกเขาไม่ค่อยจะดีมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ยังเล็งไปที่ผู้สมัครคนเดียวกัน ซึ่งมันจะต้องจบลงด้วยความขัดแย้งอย่างแน่นอน

เมื่อชิวเชียงจี่ได้ยินว่าหม่าเจี้ยนต้องการที่จะรับสมัครเซี่ยเฟยด้วยเช่นกัน มันก็ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด

“เฮ้ตาเฒ่าหม่า! ฉันเป็นคนมาพูดเรื่องเซี่ยเฟยก่อน นายเคยได้ยินคำว่า 'มาก่อนได้ก่อน' ไหม เซี่ยเฟยจะต้องเข้าร่วมกับแผนกกลยุทธ์ของฉัน ไม่ใช่เสียเวลาไปเล่นตลกกับแผนกของคุณ” ชิวเชียงจี่กล่าวเยาะเย้ย

ชิวเชียงจี่มีความเชื่อมาโดยตลอดว่าการใช้สมองวางกลยุทธ์ทำให้การต่อสู้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งเหล่าบรรดานักรบเลือดร้อนที่อยู่แนวหน้าและผู้ฝึกสัตว์อสูรก็ไม่เคยดึงดูดความสนใจจากเขาได้เลย

อันที่จริงนอกเหนือจากแผนกภายในซึ่งเป็นแผนกที่มีอำนาจมากที่สุดภายในค่ายแล้ว ชิวเชียงจี่ก็ไม่เคยเห็นแผนกไหนอยู่ในสายตา

แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาได้ละเว้นแผนกภายในก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาชื่นชม แต่มันเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรแผนกภายในได้

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเขาได้ยินว่าหม่าเจี้ยนต้องการที่จะรับสมัครเซี่ยเฟย มันจึงทำให้เขารู้สึกโกรธมาก เพราะในความคิดของเขาการเอาเซี่ยเฟยไปไว้ในแผนกสัตว์อสูรถือได้ว่าเป็นการใช้ผู้มีพรสวรรค์ไปอย่างเสียของ

คำพูดของชิวเชียงจี่ทำให้หม่าเจี้ยนรู้สึกหงุดหงิดมากโดยเฉพาะกับการที่ชายอ้วนคนนี้ตั้งใจพูดจาดูถูกแผนกของเขา

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจาโต้ตอบกลับไปมันกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง

เสียงเคาะประตูของแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีลักษณะพิเศษของตัวเอง มันจึงทำให้เพียงแค่การฟังเสียงเคาะประตูแต่ละครั้งก็สามารถที่จะคาดเดาบุคลิกของผู้เคาะและระดับความเร่งด่วนของเรื่องที่ผู้เคาะประตูจะนำมารายงานได้

การเคาะในครั้งนี้ไม่ดัง, ไม่เบา, ไม่ช้า, ไม่เร็วมากจนเกินไปและทุกคนก็สามารถได้ยินเสียงเคาะประตูแต่ละครั้งได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าผู้เคาะประตูคำนวณน้ำหนักในการเคาะแต่ละครั้งเป็นอย่างดี

เพียงแค่การที่หม่าเจี้ยนและชิวเชียงจี่ทะเลาะกันก็ทำให้เย่จิ่งชานรู้สึกปวดหัวมากพออยู่แล้ว ถ้าหากว่ามันได้มีบุคคลที่ 4 เข้ามาภายในห้อง มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับพวกเขา

ท้ายที่สุดชายชราทั้งสองคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหัวหน้าแผนกของค่ายฝึกจัสทิสลีกเช่นเดียวกัน ดังนั้นเรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันก็ไม่สมควรที่จะแพร่งพรายออกไป โดยเฉพาะกับการที่ชายชราทั้งสองคนนี้กำลังทะเลาะกันต่อหน้าผู้บังคับบัญชาของตัวเอง

"เข้ามา!" เย่จิ่งชานรีบกล่าวออกมา

ทุกคนต่างก็มองดูชายผู้มีรูปร่างผอมบางเปิดประตูเข้ามาอย่างระมัดระวังก่อนที่เขาจะปิดประตูกลับไปยังตำแหน่งเดิมอย่างนุ่มนวล

ชายคนนี้คือหัวหน้าแผนกลาดตระเวนผู้ซึ่งมีชื่อว่า ‘โฮ่วไป๋ชาน’ และเนื่องมาจากหน้าที่การงานที่เขาทำมันจึงทำให้เขามักที่จะรักษาความเงียบเอาไว้อยู่เสมอ

ตั้งแต่เสียงเคาะไปจนถึงท่าทางที่เขาทำหลังจากเปิดประตู มันก็ทำให้ทุกคนต้องยอมรับว่าชายคนนี้คือหน่วยสอดแนมที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่จริง ๆ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสำนักงานแต่เขาก็ยังคงมีฝีเท้าที่เบาบางอยู่เช่นเดิม

เมื่อโฮ่วไป๋ชานเห็นหม่าเจี้ยนเผชิญหน้ากับชิวเชียงจี่ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าชายชราทั้งสองคนนี้ต้องกำลังทะเลาะกันอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะรีบออกไปในทันทีที่เขาได้พูดเรื่องของเขาจนจบลง เพราะมันคงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของคนอื่น

“ผู้บัญชาการเย่แผนกลาดตระเวนของพวกเราตั้งใจจะรับสมัครผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ” โฮ่วไป๋ชานกล่าว

เมื่อเย่จิ่งชานได้ยินคำว่า ‘รับสมัครเป็นกรณีพิเศษ’ มันก็ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีพร้อมกับลางสังหรณ์ที่กำลังกรีดร้องขึ้นมาภายในใจ

“อย่าบอกนะว่าคุณก็มาที่นี่เพื่อตั้งใจจะรับสมัครเซี่ยเฟยเข้าไปด้วยเหมือนกัน?” ทั้งหม่าเจี้ยนและชิวเชียงจี่ต่างก็ตะโกนใส่โฮ่วไป๋ชานอย่างพร้อมเพรียงกัน

***************

เนื้อหอมจริง ๆ พี่เฟยเนี่ย ว่าแต่ตอนนี้มันจะยาวไปไหน!!!!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด