ตอนที่แล้วตอนที่ 1327 ฆ่าทันที? ข้าต้องการพูดเหมือนกัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1329 ผนึกดับสุริยาและจันทรานิรันดร

ตอนที่ 1328 ไม่มีอะไร ภาพลวงตา หลอกลวง


ประตูแดนสวรรค์

บนสนามรบแสงเทพสาดกระจายไปทั่วทุกทิศเหมือนดวงอาทิตย์ที่ใดก็ตามที่สัมผัสแสงอาทิตย์นี้จะแตกสลายและพังทลายไปทั้งหมด

ขณะนั้นเงาร่างสองเงาหลุดออกไปจากกระแสวังวนประตูแดนสวรรค์อย่างเงียบๆดูเหมือนพวกเขาจะอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับเงาร่างก่อนหน้านั้นแต่เงาร่างทั้งสองไม่ได้ลงมือทันที พวกเขาเลือกที่จะมองดูมองดูการต่อสู้ในพื้นที่สนามรบอย่างสบายใจ...

“เจ้าเดาได้ไหมต้วนหลิวจะจบการต่อสู้ภายในกี่วินาที?” เงาร่างด้านซ้ายถาม

“ก็คงร้อยวินาที หรืออาจมากกว่านั้น” เงาร่างทางขวาคาดเดา

“ข้าคิดว่าสามสิบวินาทีขึ้นไป”เงาร่างด้านซ้ายเดา

“เป็นไปได้หรือ?”  เงาร่างทางขวาคัดค้าน

“พนันกันไหมเล่า?”

“พนันกันก็ได้....”

เงาร่างทั้งสองกำลังเดิมพันกันอย่างสบายๆและในสนามรบดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถได้ยินการเดิมพันหรือสัมผัสได้ของเพื่อนฝ่ายเดียวกันและเงาที่กำลังต่อสู้ก็มีการโจมตีรอบใหม่อย่างดุเดือด ความสยดสยองราวกับมีไฟในท้องฟ้าทำลายพื้นฟ้าและแผ่นดินด้วยแสงแห่งเทพ  มิติเหมือนถูกดาบตัด หากไม่ใช่เพราะเงาร่างทั้งสองควบคุมพลังเทพอยู่ที่ประตูสวรรค์  เกรงว่าประตูสวรรค์ซึ่งมีมาแต่โบราณคงได้รับผลกระทบจากการต่อสู้นี้และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนมิอาจแก้ไขได้

คลื่นสุดท้ายของกระแสวังวนพลังเทพดูดกลืนพื้นที่ต่อสู้ทั้งหมดหายไป

แม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเล็ดรอดออกมา

และค่อยๆหดหายไปในกระแสวังวนหลุมดำ

มีแต่แสงที่ส่องสว่างเป็นเป็นเวลานานเงาร่างที่ชมดูการต่อสู้ต้องใช้มือป้องตา แม้ด้วยพลังเทพช่วยเหลือพวกเขาแทบไม่สามารถป้องกันแสงเทพแสบตานี้

“เสร็จสิ้นในยี่สิบวินาที  ข้าชนะ” เงาร่างซ้ายเห็นผลการต่อสู้เช่นนั้นรู้สึกมีความสุขมาก

“น่าเกลียดน่าชังนักนักสู้จากหอทงเทียนอ่อนแอเกินไป!  ไหนบอกว่าได้รับมรดกจากเทพธิดาปัญญาใครจะรู้ว่าแค่ศึกนี้ก็ยังผ่านไม่ได้” เงาร่างทางขวาไม่พอใจ เขารู้สึกว่าเขาถูกหลอกโดยข้อมูลของตงฟาง อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจผิด  นักรบหอทงเทียนไม่ได้มีพลังอย่างที่คิดไม่ว่าจะได้รับมรดกความรู้จากเทพธิดาปัญญา หรือรู้แจ้งเอง

แสงเทพในสนามรบค่อยๆอ่อนลง เมื่อพวกเขาสามารถใช้ตาปกติได้ร่างเงาทั้งสองพบว่าสหายศึกกำลังเดินเข้ามาหา

เงาร่างที่ยืนอยู่ทางซ้ายหัวเราะอารมณ์ดี  “เป็นไงเล่า? ฆ่าเสวี่ยอู๋เสียเป้าหมายที่ทำให้ตงฟางรู้สึกกลัว ได้สำเร็จหรือไม่?”

เงาร่างด้านขวาแค่นเสียงอึดอัด  “เอาอะไรกับการฆ่าผู้เยาว์ที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมารดาคนหนึ่ง! ข้าไม่รู้ว่าตงฟางกำลังทำอะไรอยู่ มันน่าเบื่อจริงๆ ที่ให้เราเชือดเป็ดเชือดไก่แบบนี้ เขาหาเป้าหมายที่ทรงคุณค่าให้เราไม่ได้หรืออย่างไร?  ข้ารู้สึกคันไม้คันมือเบื่อรอไม่มีใครแสดงฝีมือได้เลยสักนิด!   แม้แต่เย่ว์ไตตันที่พวกเขาอวดอ้างก็รับมือแค่สองกลอุบายไม่ได้หนีไปแล้ว ทำไมที่พิเศษอย่างหอทงเทียนถึงได้สร้างแต่คนอ่อนแอ?”

เงาร่างทางซ้ายหัวเราะ  “ไม่, ข้าชอบงานง่าย ยิ่งง่ายก็ยิ่งดีท้าทายนักสู้แข็งแกร่งมันน่าเบื่อ ฆ่ามือใหม่น่าตื่นเต้นกว่า

เงาร่างที่ต่อสู้ยังไม่เงียบไม่พูดอะไร

ค่อยๆเดินตามมา

บางทีสถานการณ์คงน่าอึดอัดอยู่บ้างเงาร่างทั้งสองเปลี่ยนจากสภาพสบายๆ เป็นประหลาดใจ

“เฮ้,ต้วนหลิว เจ้าคงไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?” เด็กหญิงผู้นั้นทำร้ายเจ้าได้จริงๆ หรือ? นี่ล้อเล่นกันหรือเปล่า?”

“เลิกล้อเล่นได้แล้วเจ้าคงไม่แกล้งให้เราตกใจใช่ไหม? ข้าเห็นก่อนแล้ว  เราต้องคุยกันต้วนหลิว เจ้าช่างกลั่นแกล้งนัก ข้าเกือบเชื่อแล้วเชียว เจ้าคิดว่าข้าจะถูกหลอกหรือ? ไม่มีทาง”

ร่างเงาที่เพิ่งผ่านการต่อสู้นั้นเดินเข้ามาเรื่อยๆแต่ฝีเท้าค่อยๆ ช้าลง

เหมือนกับนักรบที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เพียงแต่ยังมีเรื่องค้างคาใจ

ยืนยันที่จะกลับมาให้ได้

สำหรับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้เงาร่างทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยความประหลาดใจเป็นครั้งแรก  จากนั้นก็หัวเราะลั่นจนน้ำตาไหล  “แกล้งกันอย่างนี้ไม่ดีเลย  ข้าหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว  ข้าขอบอกเลยต้วนหลิว!  เจ้ามีพรสวรรค์ในการแสดงมาก  ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้จักเจ้าดีบางทีเราอาจจะถูกหลอกไปแล้ว  เอาเถอะไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว เรามองเห็นแล้วว่าเจ้ามีพลังแบบไหน จะเสแสร้งอีกทำไม”

เงาร่างที่ออกไปต่อสู้นั้นเดินเข้ามาทีละก้าวโดยไม่พูดอะไรสักคำ

จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าสหายทั้งสอง

ทันใดนั้น

ร่างนั้นมิอาจทนได้ต่อไป

ล้มลงบนพื้นหินดังปังพลังเทพแตกสลายกลายเป็นฝุ่นควัน

เงาร่างทั้งสองไม่สามารถสงบได้อีกต่อไปรีบกางม่านพลังป้องกันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการลอบโจมตีที่เป็นไปได้ทั้งหมดและตื่นตัวป้องกันอย่างดี  เงาร่างทางด้านซ้ายก้าวเข้ามาสองก้าวและตะโกนบอกสหายที่ทำฝุ่นฟุ้ง “ต้วนหลิว!  เราเห็นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าแล้วไม่ต้องมาหลอกเราอีก ลุกขึ้นมา!”

“ดูไม่เหมือนเสแสร้ง  ต้วนหลิวคงไม่แพ้จริงๆ ใช่ไหม?”  เงาร่างทางขวาสงสัยเล็กน้อย

“เป็นไปได้ยังไง!  เราสามคนมีพลังระดับเทพ เป็นอมตะโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้วนหลิวเขามีประกายเทพ สามารถคืนสภาพได้ทุกอย่างไม่ว่าอาการบาดเจ็บหนักเบาแค่ไหน ก็สามารถฟื้นฟูคืนสภาพได้ทันที!”  เงาร่างซ้ายไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด

“อย่างนั้นนี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? เห็นอยู่ชัดๆ ว่า เสวี่ยอู๋เสียพ่ายแพ้ไปแล้วไม่ใช่หรือ?”  เงาร่างด้านขวาสงสัย

“ถูกแล้วเมื่อครู่นี้เองข้าเห็นต้วนหลิวส่ง ‘เรือนสังหาร’ ออกไปฆ่าศัตรู...” เงาร่างซ้ายก็สับสนเช่นกัน

“ต้วนหลิวบาดเจ็บหนักขนาดนี้ได้อย่างไร?”  เงาทางด้านขวาตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นข้างหน้าแทบคลั่ง ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตนเองเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นเรื่องจริง  หรือเขายังสงสัยว่านี่เป็นสหายของเขากำลังล้อเล่นกับตัวเองและหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเจ้าผู้นี้พอถูกสบถด่าก็จะคืนสภาพกลับเป็นเหมือนเดิม

“ให้ข้าเฉลยคำตอบพวกเจ้าเองเถอะ!”

เสียงไพเราะดังขึ้น

มีเสียงลอยลมดังมาแต่ไกลดังเข้าโสตประสาทของทั้งสองคน

ในท้องฟ้าห่างไกลไม่รู้ว่ามีร่างเงาหุ่นรูปร่างงดงามสมส่วนจนสุดจะพรรณนาปรากฏออกมาอย่างเงียบงันภายใต้แสงรัศมี

พวกเขาเห็นนางก้าวเดินอย่างสง่างามไม่มีใครขวางอยู่ข้างหน้า แสงแห่งเทพปัญญาส่องประกายเต็มพื้นโลกและท้องฟ้า

สหายที่ล้มลงกับพื้นที่นี่กับศัตรูที่ค่อยๆลอยร่างลงมาพร้อมกับมือที่ถือคัมภีร์อัญเชิญเป็นภาพที่ตัดกัน ความตกใจของพวกเขาไม่น้อยไปกว่าแผ่นดินไหวสร้างความตกใจที่ยากจะสงบได้ยิ่งกว่าแผ่นดินถล่มทลาย... ไม่รอให้เสวี่ยอู๋เสียพูดอีกครั้งเงาร่างทางซ้ายร้องลั่น“นี่เป็นเรื่องไม่จริง เป็นไปไม่ได้!   เป็นไปไม่ได้ที่ต้วนหลิวจะพลาดท่าพ่ายแพ้!  เขามีประกายเทพ อาการบาดเจ็บใดๆการโจมตีใดๆ จะไม่คงอยู่กับเขาเกินหนึ่งนาที อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นเทพโบราณที่แข็งแกร่งมากกว่าร้อยเท่าพันเท่าหรือหมื่นเท่า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าต้วนหลิว สิ่งเดียวที่ทำให้เขากลัวก็คือผนึกอมฤตของเทพชั้นสูงเท่านั้นแต่อย่างเจ้าจะกำจัดเขาด้วยพลังเทพตอนนี้ ไม่ ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้! นี่ต้องเป็นภาพลวงตาที่เจ้าสร้างขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะฆ่าเขาได้!”

นิ้วดุจหยกของเสวี่ยอู๋เสียลูบคัมภีร์เทพแผ่วเบาดูเหมือนจะตัดสินใจเรื่องที่สำคัญ

ดวงตานางไม่ได้มองดูศัตรู

ดูเหมือนศัตรูที่น่าเกรงขามทั้งสองไม่ได้อยู่ในสายตานาง

ศัตรูที่ทรงพลังทั้งสองนี้เหมือนกับไม่มีตัวตนอยู่

ไม่นานนักนางถอนหายใจเบาๆ  “บางทีคำตอบอาจจะดูโหดร้ายสำหรับพวกท่าน  แต่ข้าก็ต้องบอกความจริง  ในความเป็นจริงไม่ใช่เขาเท่านั้น แต่พวกท่านทุกคนเป็นเพียงภาพลวงตาของวงกตมิติเวลาแห่งนี้... หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกท่านไม่มีตัวตนอยู่ที่นั่นแล้ว!”

“เจ้าพูดอะไรกัน?” เงาร่างทั้งสองราวกับได้ยินเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในโลก และสั่นไปทั้งร่าง

“ไม่ว่าจะเป็นต้วนหลิวหรือพวกท่านล้วนตายไปนานแล้ว ที่น่าสนใจก็คือการตายนี้เป็นการสูญสลายอย่างสิ้นเชิงเบ็ดเสร็จไม่ใช่ถูกผนึกด้วยผนึกอมฤตกักขังอยู่ในมิติหลุมดำ บางทีอาจจะเป็นผู้สร้างวงกตมิติเวลาหรืออาจเป็นคนอื่นข้าไม่รู้ว่าเทพองค์ใดทำ แต่พวกท่านถูกฆ่าตายไปนานแล้วนี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเถียงได้ ด้วยเหตุผลพิเศษของวงกตมิติเวลา สถานะความมั่นคงของท่านก่อนตายจึงถูกคัดลอกออกมาทั้งหมดและรูปคัดลอกของพวกท่านเปลี่ยนไปเป็นเซียนอุปถัมภ์ในวงกตมิติเวลานี้โดยไม่รู้ตัว  ข้าเชื่อว่าพวกท่านไม่เคยไปที่นั่นซึ่งจะทำให้รู้สาเหตุที่พวกท่านติดอยู่ที่นี่ตลอดไป!” คำพูดของเสวี่ยอู๋เสียทำให้เจตจำนงของทั้งสองหายไป พวกเขาบ้าคลั่งและสับสน

“ไม่!  เจ้ากำลังโกหกเราเราเดินทางไปในมิติเวลาที่แตกต่างกันทุกวันโลกที่แตกต่างกันและผู้คนที่แตกต่างกันที่อาศัยอยู่กับเรา  เราใช้ชีวิตอย่างน่าทึ่งทุกวันๆเราเป็นนักรบระดับเทพ  ไม่, เรายังไม่ตายเรายังมีชีวิตอยู่  เรายังไม่ตาย!” เงาร่างด้านขวากำลังจะบ้า

“ทุกชีวิตในโลกแม้กระทั่งชีวิตที่ต่ำต้อยก็มีทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต” เสวี่ยอู๋เสียยิ้ม“ตอนนี้พวกท่านเท่านั้นที่ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ในแดนสวรรค์เราไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ของพวกท่านและไม่มีตำนานใดๆ ในสวรรค์  เพราะประวัติศาสตร์ที่เป็นของพวกท่านถูกทำลายไปนานแล้ว พวกท่านเป็นผู้มีพลังที่ได้รับการจัดอันดับจากเทพเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและยังอยู่ห่างไกลมากขึ้นในแดนสวรรค์ คนในยุคปัจจุบันลืมท่านไปนานแล้วดังนั้นพวกท่านจึงไม่มีอดีต  และในคัมภีร์แห่งสัจจะของข้าบ่งบอกว่า  พวกท่านไม่มีอนาคตเลยแม้แต่วินาทีเดียวพวกท่านมีแค่ตัวตนในตอนนี้ ร่างกายที่ถูกคัดลอกความทรงจำที่ถูกพลังเทพคัดลอกมา... บางทีผู้สร้างวงกตมิติเวลาจงใจทำหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น  กล่าวโดยสรุปก็คือพวกท่านเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงภาพจริงในวงกตมิติเวลาทั้งหมดไม่ใช่สิ่งมีชีวิต”

“โอวไม่นะ!” เงาร่างทั้งสองสิ้นหวัง

แม้ว่าพวกเขาต้องการหักล้างเหตุผลเสวี่ยอู๋เสียแต่จิตใจของพวกเขาเริ่มพังทลาย

ถ้านางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้พวกเขาคงไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้ แต่หลังจากตื่นรู้ขึ้นมาภาพที่น่ากลัวมากมายก็ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขาและจากนั้นโลกแห่งความคิดก็เริ่มพังทลาย

เสวี่ยอู๋เสียเดินผ่านร่างเงาที่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง

ดูเหมือนนางจะถอนหายใจเบาๆ

ถ้าใช่เล่าถ้าใช่เล่า

เงาร่างทั้งสองหัวใจสลาย

“ตงฟาง! เจ้าโกหกเรา! ตงฟาง, ทำไม? ทำไมเจ้าไม่บอกความจริงกับเรา?  เราเชื่อเจ้า!  เหมือนพี่น้อง ทำไมเจ้าหลอกลวงเรา?   และเทียนอี้ก็หลอกด้วยหรือ!  ไม่มีญาติ ไม่มีสหายไม่มีทุกอย่าง ในชีวิตของเราทุกอย่างเป็นของปลอม ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกและความว่างเปล่า!  ตงฟาง เทียนอี้ ทำไมพวกเจ้าทำอย่างนี้? หลายปีที่ผ่านมาเราทุกคนหลงเชื่อคำโกหกของพวกเจ้ามากเกินไปทำไมพวกเจ้าทำเช่นนี้? ทำไมต้องใช้พวกเราที่ตายไปในสนามรบแล้ว? ทำไมไม่ให้เรานอนหลับพักอย่างสงบชั่วนิรันดร  ทำไมต้องเอาเรามาใช้งาน?  ทำไม?”

“ไม่มีอดีตและไม่มีอนาคต..เจ้าใช้ความหลงลืมของเรา มันมากเกินไป เราอยู่มานานกว่าหมื่นปี และไม่มีอะไรที่เป็นจริงเป็นจัง!”

ในท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของเงาทั้งสอง

ขณะนี้ร่างเงาที่ล้มกับพื้นอย่างต้วนหลิวลุกขึ้นยืนโดยไม่มีอะไรเสียหาย

เขามองสหายทั้งสองด้วยสีหน้าประหลาดใจ  “จื่อฟง ซีฮัว เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า?  ทำไมพวกเจ้าทำเหมือนกับแพ้?สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือทำภารกิจที่ตงฟางมอบหมายให้เสร็จสิ้นสังหารเสวี่ยอู๋เสียที่ได้รับมรดกพลังจากเทพธิดาปัญญา!  เฮ้,ทำไมพวกเจ้าทำสีหน้าเช่นนั้น? คำพูดของตงฟางมีปัญหาตรงไหน?”

ทันใดนั้นเงาร่างทางซ้ายก็หลั่งน้ำตาและกอดเขาไว้แน่น  “เข้าใจแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจ!  เราไม่ใช่พี่น้องกัน  เราไม่ใช่พี่น้องฝาแฝด แต่เราคือคนๆเดียวกัน... เจ้าจะไม่กลับมามีพรสวรรค์และข้าจะไม่เกิดใหม่..สาเหตุที่เราไม่มีวันแก่และตาย เพราะเราเป็นเพียงภาพลวงตาหลอนๆทันทีที่เราล้มตายลงเราจะกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยอัตโนมัติมันน่าเศร้าที่เราไม่มีวันสงบสุขแม้ว่าเราจะตายไปแล้ว และเราต้องกลายเป็นหุ่นเชิด!”

เงาร่างทางขวาพุ่งเข้ามาอ้าแขนและสวมกอดเงาทั้งสอง  “ใช่ข้าจำได้ว่าทักษะแฝงเร้นของเราควรจะอยู่เบื้องหลัง ภาพเราไม่ใช่ของจริงตัวจริงข้าตายไปนานแล้ว เราเป็นเพียงสามภาพที่ยังเหลือจากทักษะแฝงเร้น!”

“ชื่อ,ชื่อของ ‘ข้า’ อา ดูเหมือนข้าจะจำได้แล้ว ชื่อของข้าคือ...”

“ข้าจำได้ว่าข้าถูกฆ่าในปีเดียวกันนั้น!”

“เจ้าบัดซบเทียนอี้เจ้ามันเลวทรามต่ำช้า!”

ขณะที่เงาร่างทั้งสามส่งเสียงสบถด่าประตูสวรรค์โลกนี้ก็พังทลายลงเงียบๆ

ระหว่างฟ้าและดินทุกอย่างหลอมละลายเหมือนทรายแล้วหายไปเหมือนหมอกควัน เงาร่างทั้งสามที่เจ็บปวดหลังจากสบถด่าและรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยมีมาก่อนพวกเขาค่อยๆ สลายกลายเป็นความว่างเปล่า

การดำรงคงอยู่ของพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับโลกนี้เมื่อเจตจำนงของพวกเขาล่มสลายและพลังเทพของพวกเขาไม่ได้รับการค้ำจุนอีกต่อไปโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป

ไม่มีความคงอยู่อีกต่อไป

โลกทั้งสิบทิศถูกทำลายและแม้แต่ประตูสวรรค์ก็เหมือนกับเงาจันทร์สะท้อนในน้ำและดอกไม้ในกระจกก็เปล่งประกายออกมา

เหลือเพียงประตูล่องหนของเย่ว์หยางที่เหลืออยู่

เป็นหอคอยนิรันดร

****** ***

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด