ตอนที่แล้วบทที่ 367-368
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 371-372

บทที่ 369-370


บทที่ 369

พี่ชาย เยี่ยมมากค่า!

ทันทีที่หลินอี้ปินเดินออกจากประตู เขาพบว่าประตูหลายบานของห้องทางซ้ายและขวาเปิดอยู่ และแต่ละห้องก็มีคนโผล่หัวออกมาดูด้วยความสงสัย

แม้แต่ดาราสาวหลายคนที่พักอยู่บนชั้นอื่น ๆ ก็ต่างวิ่งขึ้นมาที่ชั้นห้าเช่นกัน โดยซ่อนตัวอยู่ในห้องของดาราคนอื่น ๆ แล้วคอยดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ

ดาราสาวคนหนึ่งที่แอบฟังอย่างใจจดใจจ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้หญิงคนนั้นคบผู้ชายสองคนแล้วถูกจับได้”

น่าตื่นเต้นจริง ๆ

เมื่อเธอเห็นหลินอี้ปินเดินออกมา ทั้งเธอและคนอื่น ๆ ก็ปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วินาทีบรรยากาศบนทางเดินชั้นห้ากลับสู่สภาวะเงียบกริบในทันที ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงเล็ก ๆ ดังมาจากด้านหลังประตูที่ปิดอยู่ข้าง ๆ ว่า

“ปรากฏว่าซ่งเนี่ยนหยานมีชู้ขณะที่ยังคบหากับแฟนเก่าอยู่ ช่างเข้ากับนิสัยตัวละครของเธอจริง ๆ”

“ทั้งที่ผู้ชายคนนี้ก็ดูรวยและสามารถเลี้ยงดูเธอได้ แต่ก็หาผู้ชายรวย ๆ คนใหม่และแอบคบชู้เนี่ยนะ? เป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอายมากเลย”

“ถ้าพูดให้ถูก เฉินซานอะไรนั่นหน้าตาแย่มาก แต่เธอก็คบหากับเขาได้ลง ไม่ธรรมดาจริง ๆ ผู้ชายข้างนอกน่ะ หล่อกว่าเฉินซานตั้งร้อยเท่า แต่ก็ยังถูกทิ้ง โลกนี้มันน่ากลัวจังเลยเนอะ”

“ดูท่าซ่งเนี่ยนหยานคงเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน หล่ออย่างเดียวมันกินไม่ได้ ว่าไหม? ถ้าเป็นฉัน ฉันเองก็คงเลือกคนหล่อแน่นอน แต่ต้องมีฐานะการเงินที่ใกล้เคียงกับฉันด้วย”

“ผู้หญิงที่พึ่งพาตนเองส่วนใหญ่ก็คิดแบบนี้แหละ เพราะอย่างนั้นความสัมพันธ์ถึงอยู่กันได้นาน”

หลินอี้ปินยืนฟังจนจบ ไม่นานหน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไป เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

เมื่อหันหน้ามาอีกทาง เขาก็เห็นถังซือซือยืนอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอ

หลินอี้ปินก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนหยิบกล่องของขวัญที่ห่อมาอย่างสวยงาม ซึ่งของที่บรรจุอยู่ข้างในคือกระเป๋าแบรนด์เนมและเครื่องประดับราคาแพงที่ซ่งเนี่ยนหยานอยากได้ ก่อนยื่นให้ถังซือซือ

“พี่สะใภ้ยินดีจะรับของพวกนี้แทนไหมครับ?” หลินอี้ปินยื่นกล่องของขวัญให้ถังซือซือด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนล้า

ตอนนี้กล่องของขวัญได้สูญเสียความหมายไปซะแล้ว ซึ่งเขาไม่ได้สนใจอีกต่อไป จึงคิดว่ามอบให้คนรู้จักก็ยังดี

ถังซือซือก้มหน้าลงแล้วเปิดดู ก่อนพบว่าเป็นกระเป๋า    แบรนด์เนมและเครื่องประดับ เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า

“คุณต้องการสิ่งนี้มากกว่าจะให้ฉันนะ อย่างน้อยถ้าเอาไปขายต่อ ก็ยังได้เงินกลับมาไม่น้อย”

หลินอี้ปินตกตะลึงในทันที เขาลืมไปเลยว่ายังมีวิธีนี้เหลืออยู่

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แม้ว่านาฬิกาที่เอาคืนจากซ่งเนี่ยนหยานแล้วทุบทิ้งไปแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงนาฬิกาที่ไร้เดียงสาเรือนหนึ่ง ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนกลับไปเป็นเงินจำนวนมากได้

เขาเริ่มกลับมาตระหนักอีกครั้ง เพราะต่อไปนี้ พนักงานหลายสิบคนในบริษัทกำลังรอให้เขากลับไปเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งเขาจะมัวมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนี้ไม่ได้

ตอนนี้ความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว...

เพียงไม่กี่นาทีความมั่นใจของชายหนุ่มคนนี้ก็กลับมา ในที่สุดเขาก็ตาสว่างเสียที

หลังจากดึงสติกลับมาได้ เขาได้เปิดห้องพักเพิ่มหนึ่งห้องและนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นแล้วโทรหาหลินจือฮุ่ย

ปลายทางรับสายอย่างรวดเร็ว

“พี่ชาย?”

หลินจือฮุ่ยรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่    หลินอี้ปินโทรหาน้องสาวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกจากบ้าน

“ไงน้องสาว” หลินอี้ปินรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้ยินเสียงของหลินจือฮุ่ยที่คุ้นเคย

หลังจากนั้นเขาพูดเบา ๆ ว่า “พี่เลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วนะ”

หลินจือฮุ่ยได้ยินก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และเงียบไปสักพัก ทำให้หลินอี้ปินสงสัยว่าสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้องรึเปล่า ก่อนที่จะได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจดังขึ้นมาว่า

“เยี่ยมมากค่า!”

บทที่ 370

มีดยาวสี่สิบเมตร

หลินอี้ปินรู้สึกเหมือนแก้วหูจะระเบิด หลังจากได้ยินแล้วก็รีบยืดโทรศัพท์ออกห่างจากหู แต่เสียงของหลินจือฮุ่ยก็ยังคงดังลั่นไปทั่วห้อง

“ในที่สุดพี่ก็ตาสว่างสักที! ฉันเชื่อมาตลอดว่าพี่ชายต้องรู้ตัวในสักวันแน่ คงไม่ยอมถูกหลอกตลอดไปหรอกเนอะ”

เมื่อหลินอี้ปินได้ยินประโยคนี้ เขารู้สึกเขินอายและรู้สึกผิดพร้อมกัน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวในโลกที่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี

หลินจือฮุ่ยยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนว่าเธอจะดีใจเอามาก ๆ พอยินดีกับข่าวดีนี้ได้ไม่นาน เธอก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า

“พี่ชาย ฉันขอโทษนะ พอดีตื่นเต้นมากไปหน่อย… ฮิ จากนี้ไปไม่ว่าพี่จะตัดสินใจยังไงต่อ ฉันจะคอยสนับสนุนพี่เอง ฮิฮิ”

หลินอี้ปินยิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าในช่วงก่อนหน้านี้ น้องสาวของเขาคงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง เพราะเธอต้องโกรธมากที่เขาตัดสินใจแบบนั้น ทั้งยังตัดสินใจออกจากบ้านโดยไม่แคร์ใคร เขาจึงรู้ได้ทันทีว่า ตัวเองได้สร้างรอยร้าวให้กับครอบครัวไว้ไม่น้อยเลย

ดังนั้นเขาจึงพยายามสงบอารมณ์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นว่า

“เธอแอบคบหากับผู้ชายอีกคน สุดท้ายเป็นพี่เองที่มองคนผิด ขอโทษนะที่ทำให้น้องลำบากใจ”

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเสียงแหลม ๆ ของหลินจือฮุ่ยดังขึ้นว่า

“ให้ตายสิ! ฉันอยากเอามีดยาวสักสี่สิบเมตรไปสับเธอจริง ๆ! ไร้ยางอายมาก! พี่ชายของฉันออกจะเก่งขนาดนี้ พูดตามตรง พี่ชายไม่สมควรถูกเธอหลอกแต่แรกเลย พระเจ้าใจร้ายเกินไปรึเปล่าเนี่ย?”

ขณะที่ฟังหลินจือฮุ่ยบ่นยาวเหยียดไม่หยุด หลินอี้ปินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นี่แหละคือน้องสาวของเขา ทั้งน่ารักและเข้มแข็ง เขาแทบลืมไปเลยว่าระหว่างที่คบหาผู้หญิงคนนั้นอยู่ เขาเคยทอดทิ้งน้องสาวคนนี้ไป

หลินจือฮุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนตระหนักได้ว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ เธอจึงแสร้งทำเป็นไอ “ค่อกแค่ก” แล้วพูดขึ้นว่า

“พี่ชาย กลับมาเถอะ ตำแหน่งยังว่างอยู่นะ ฉันเหนื่อยมากเลย ฉันยังอยากเป็นผู้บริหารตัวเล็ก ๆ อยู่ ตำแหน่งใหญ่แบบนี้มันเหนื่อยเกินไป”

หลินจือฮุ่ยระบายจากใจจริง เพราะวันนี้เธอเองก็ยุ่งมากเช่นกัน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่งานและงานถาโถมเข้ามาไม่หยุด

จนถึงตอนนี้ เธอเพิ่งได้กลับบ้านจากการทำงานล่วงเวลาที่บริษัท ทั้งยังไม่มีแรงจะล้างเครื่องสำอาง และหลินอี้ปินก็โทรเข้ามาพอดี

เมื่อเธอหันมองตัวเองในกระจก เธอรู้สึกได้เลยว่าตัวเองดูแก่กว่าวัยตั้งสิบปี ไหนจะสภาพผิวที่แห้ง และสิวที่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอรู้สึกอยากตายในทันที

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินจือฮุ่ยก็เปลี่ยนน้ำเสียงให้ดูเศร้าหมองลงเล็กน้อย แล้วพูดต่อไปว่า

“พี่ชาย ฉันไม่ได้ไปช้อปปิ้งนานแล้วนะ หนังสักเรื่องก็ไม่ได้ดู ขนาดโซเชียลก็ไม่ได้เข้า แม่ก็เอาแต่คะยั้นคะยอให้ฉันเข้าแอปหาคู่ทุกวัน ฉันลำบากใจจริง ๆ พี่ชาย กลับมารับตำแหน่งเหมือนเดิมเถอะนะ ได้โปรด”

หลินอี้ปินฟังหลินจือฮุ่ยบ่นอยู่พักใหญ่ ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ปล่อยให้น้องสาวต้องรับมือกับเรื่องหนักหนาแบบนี้ตามลำพัง เพราะเขารู้ดีว่าหลินจือฮุ่ยไม่ได้เป็นคนที่ทะเยอทะยานอะไร เธอขอแค่มีงานทำและใช้ชีวิตอย่างสบายใจตามหัวใจของตัวเองก็เท่านั้น

สำหรับหลินอี้ปินนั้นตำแหน่งประธานบริษัทไม่ได้หนักขนาดนั้น แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวตัวเล็ก ๆ อย่างหลินจือฮุ่ย

แม้ว่าบริษัทอี้หลินกรุ๊ปยังดูปกติและไม่มีปัญหาในช่วงเวลานี้ เขาแต่ก็พอรับรู้สถานการณ์ว่าหลินจือฮุ่ยต้องรับภาระหนักเกินตัวไปมาก

เพียงแต่ตระกูลหลินไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถกลับไปหาได้ง่าย ๆ เพราะตอนนี้หลินอี้ปินไม่รู้ว่าหลินลี่สยงคิดยังไง

เขาจึงถามน้องสาวว่า

“น้องสาว… แล้วพ่อแม่ล่ะ ช่วงนี้เป็นยังไงกันบ้าง?”

หลินจือฮุ่ยแอบเดินไปส่องห้องนอนของพ่อแม่ ก่อนพบว่าไฟในห้องดับลงแล้ว เธอจึงตอบกลับเบา ๆ ไปว่า

“พี่ชาย ฉันก็ไม่เห็นพ่อแม่พูดอะไรนะคะ แต่ถึงยังไงพี่ก็เป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว และพี่ก็เป็นเสาหลักของฉันด้วย รับรองเลยว่าลึก ๆ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ก็รอพี่กลับมาไม่ต่างกัน”