ตอนที่แล้วบทที่ 1-2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5-6

บทที่ 3-4


บทที่ 3

ไปกินขนมงานแต่งกัน

คราวนี้จิ่งหรงตัดสินใจกักขังเมิ่งอวิ๋นเสียง ขั้นตอนแรกคือซ่อมประตู ขั้นตอนที่สองคือการใส่กุญแจประตูถึงสามตัว และขั้นตอนที่สามคือส่งองครักษ์ผู้เที่ยงตรงมาคอยเฝ้าไว้

เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่คิดว่าตนจะถูกกักขัง เช่นนี้

นางเพิ่งมาถึงและความปรารถนาในใจของนางก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าใจได้ บัดนี้นางพบว่าประตูมีรอยแตก จึงสามารถชะเง้อคอมองทะลุผ่านได้ นางอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้และคร่ำครวญในใจว่า ปล่อยให้ข้าออกไปเห็นโลกอันสวยงามใบนี้เถิด

แต่ทุกครั้งที่นางไม่อาจมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกประตูจะก้มลงมองเข้ามาผ่านทางรอยแตกของประตู และจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง

“ไท่จือเฟย ไท่จือตรัสไว้ว่าให้ท่านประทับอยู่ในห้อง”

เมิ่งอวิ๋นเสียงพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “อย่าแม้แต่จะมองข้า เจ้าไม้แห้ง!”

ชิงหลัวช่วยแก้คำพูดให้นางอย่างไม่เต็มใจ “นามของเขาคืออู๋ถงเพคะ”

วันนี้มีเสียงฆ้องและกลองดังอึกทึกอยู่ข้างนอก ประสานกับเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว มีเสียงพูดคุยและหัวเราะไม่หยุดหย่อน แม้แต่อู๋ถงที่ปกติมักจะเย็นชาก็ยังดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเล็กน้อย

เมิ่งอวิ๋นเสียงเอาหน้าแนบกับรอยแตกที่ประตู และถามเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เจ้าไม้แห้ง เหตุใดข้างนอกนั่นจึงดูมีชีวิตชีวานัก”

อู๋ถงหันหน้ามาพลางขมวดคิ้วใส่นาง “ไท่จือเฟย ไม่ใช่ว่าท่านกำลังถามถึงสิ่งที่ทราบอยู่แล้วหรอกหรือ?”

ชิงหลัวที่อยู่ด้านหลังนางกัดริมฝีปากก่อนตอบว่า        “ไท่จือเฟย วันนี้เป็นวันที่ไท่จืออภิเษกสมรสกับลูกสาวของ       เจียงซ่างซูเพคะ”

เมิ่งอวิ๋นเสียงครุ่นคิดเรื่องนี้ “ช่างเป็นวันที่สำคัญยิ่งนัก จิ่งหรงขังข้าไว้เช่นนี้ไม่กลัวผู้อื่นติฉินนินทาหรือ?”

เมื่อชิงหลัวได้ฟังเช่นนั้นและเห็นสีหน้าไม่พอใจ นางก็บิดชายเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “ไท่จืออ้างว่าไท่จือเฟยจับไข้จึงต้องนอนพักสักสองสามวันเพคะ”

เมิ่งอวิ๋นเสียงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากนอกห้อง มันคือเสียงอู๋ถงไขกุญแจ แล้วไป๋เฉาก็รีบนำอาหารเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

ชิงหลัวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ไป๋เฉา เหตุใดวันนี้เจ้านำอาหารมาส่งเร็วนักเล่า?”

ไป๋เฉามองเมิ่งอวิ๋นเสียงอย่างใจเย็นและพูดอย่างสงบว่า “พ่อบ้านกล่าวว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ ทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้ไปรับขนมงานแต่งได้คนละหนึ่งชิ้น”

ชิงหลัวฟังแล้วก็กระทืบเท้า ก่อนจะพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่ไป!”

“ต้องไปสิ! เหตุใดเจ้าจึงจะไม่ไป?” เมิ่งอวิ๋นเสียงผลักนางและมองนางอย่างร่าเริง

ชิงหลัวคิดว่าเป็นเพราะนางโกรธมากจึงพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้

ทันใดนั้นนางก็ตบหน้าอกเพื่อสัญญาว่า “ไท่จือเฟย    ท่านโปรดอย่าได้กังวลเพคะ ชิงหลัวเป็นคนของท่าน ความเป็นตายขึ้นอยู่กับท่าน ข้าจะยืนเคียงข้างท่านเพื่อร่วมขัดขวางนางจิ้งจอกเจียงหลูเยวี่ยตัวนั้น!”

“อย่าพูดจาเหลวไหล!” ไป๋เฉาดูใจเย็นขณะหันหน้ามาดุนาง และมองออกไปนอกห้อง “พูดเสียงดังมากราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ได้ยิน”

ชิงหลัวหน้ามุ่ยด้วยความคับข้องใจ

เมิ่งอวิ๋นเสียงก้าวเข้าไปตบไหล่นางแล้วพูดว่า "สาวน้อย เจ้าทำให้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!" เมื่อเห็นชิงหลัวมองหน้านาง นางก็ขยิบตาแล้วยกยิ้มให้

“ชิงหลัวเด็กดี ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องถวายหัวและสละเลือดเพื่อไท่จือเฟยผู้นี้”

เมื่ออู๋ถงได้ยินเสียงเคาะประตูสองครั้ง เขาจึงค่อย ๆ ไขกุญแจทีละตัว เมื่อเห็นร่างสองร่างออกมาจากห้องด้วยกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย แล้วมองดูหญิงสาวที่เดินก้มหน้าอยู่ข้างหลังไป๋เฉา

ไป๋เฉาขวางทางสายตาของเขาอย่างสงบแล้วพูดกับเขาว่า “พ่อบ้านบอกว่าสาวใช้และนางกำนัลสามารถไปขอขนมงานแต่งได้ ข้าจะพาชิงหลัวไปด้วย”

“ไปได้...” อู๋ถงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความรู้สึกหลงใหล

“เจ้าทำงานหนักมากเพราะต้องคอยเฝ้าไท่จือเฟย ประเดี๋ยวข้าจะขอส่วนแบ่งเพิ่มให้เจ้าเป็นพิเศษ!” หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังพูดแสดงความเห็นใจอย่างร่าเริง

อู๋ถงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจทันทีและเร่งเร้าพวกนาง “เช่นนั้นก็รีบไปเถิด อย่ามัวรอให้ขนมงานแต่งหมดเสียก่อน”

บทที่ 4

มั่นใจและกล้าหาญ

ไป๋เฉาพยักหน้าแล้วรีบจูงมือหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังนาง ทั้งสองก้มศีรษะและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่ออู๋ถงใส่กุญแจกลับไปที่เดิม เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองผ่านรอยแตกที่ประตูเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นไท่จือเฟยนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าอี้ เขาก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างเห็นใจ แต่เมื่อเขาคิดว่าจะมีขนมงานแต่งกิน เขาก็รู้สึกมีแรงจูงใจขึ้นมาทันทีและถือดาบเดินไปมาเช่นเดิม

ทั้งสองเดินไปด้านหลังโขดหิน เมื่อพวกนางเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีคนอยู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ่งไป๋เฉาคิดเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกหวั่นใจมากขึ้นเท่านั้น บัดนี้นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนยอมรับคำขอไร้สาระของนางจริง ๆ

“ไท่จือเฟย ข้าคิดว่าพวกเรายังคง...”

เมิ่งอวิ๋นเสียงผู้ปลอมตัวเป็นชิงหลัวยืนอยู่ข้างไป๋เฉา เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าทาง “หยุดชะงัก” ทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ข้าแอบหนีออกมาได้แล้ว เจ้าจะหยุดทำท่าทางน่ารำคาญได้หรือยัง”

ไป๋เฉายังคงกังวลใจ “แต่หากไท่จือทราบ...”

เมิ่งอวิ๋นเสียงมองนางอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดอย่างใจเย็นลง “พวกเรากำลังซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน แล้วไท่จือจะสังเกตเห็นเราได้อย่างไร? อย่างมากที่สุดข้าก็สัญญากับเจ้าแล้วว่าข้าจะกลับไปพร้อมกับเจ้าหลังจากได้ขนมงานแต่งแล้ว”

“ท่านต้องการเพียงแค่ขนมงานแต่งจริงหรือเพคะ?”       ไป๋เฉาไม่เชื่อ นางไม่เชื่อว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงจะตะกละจนถึงขั้นกินขนมงานแต่งของจิ่งหรงและเจียงหลูเยวี่ยลงได้

เมื่อต้องเผชิญกับความสงสัย เมิ่งอวิ๋นเสียงเพียงแค่ต้องการหาเบาะแสและร่วมสนุกด้วย ไป๋เฉาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีปัญหา เมื่อได้ยินนางพูดว่า “ข้าอยากจะทำความรู้จักกับแม่สาวน้อยเจียงหลูเยวี่ยผู้นั้นเสียจริง”

ไป๋เฉาคาดไว้อยู่แล้วว่านางต้องไม่บอกความจริง เมื่อนางโกหก ไป๋เฉาจึงแสดงออกอย่างชัดเจนทันที “ข้าขอถามว่าไท่จือเฟยที่ใจแคบเท่ารูเข็มจะเฝ้ามองไท่จือและเจียงหลูเยวี่ย อภิเษกสมรสกัน โดยไม่ส่งเสียงใดเลยได้อย่างไรเพคะ?” หลังจากที่นางกล่าวจบแล้วก็ทำราวกับว่านางได้ตัดสินใจแล้ว นางแตะไหล่ของเมิ่งอวิ๋นเสียงและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไท่จือเฟย หากท่านทนไม่ไหวจริง ๆ เพียงแค่ท่านมั่นใจและกล้าหาญ เหล่าข้าน้อยพร้อมสละชีวิตเพื่อท่านเพคะ!”

เมิ่งอวิ๋นเสียงมองสีหน้าที่ทำราวกับว่านางกำลังจะตาย แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผากของตนเงียบ ๆ

ทั้งสองเดินออกจากหลังโขดหินไปด้วยกัน แล้วเดินเข้าหาฝูงชนที่กำลังเดินกันพลุกพล่าน ใบหน้าของทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสเปี่ยมไปด้วยความสุข

ฝูงชนที่ประตูต่างเฝ้ารอกันอย่างใจจดใจจ่อ               เมิ่งอวิ๋นเสียงเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มคนกำลังเดินอย่างแช่มช้ามาตามถนน

ตรงหน้านางคือจิ่งหรงกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าในชุดวิวาห์สีฟ้าขาวท่ามกลางกองทหาร สีหน้าของเขาอิ่มเอิบต่างจากหน้านิ่วคิ้วขมวดและดวงตาถมึงทึงในวันที่นางพบเขาครั้งแรก บัดนี้ใบหน้าของเขาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ท่าทางสง่างามราวกับหยก และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายสดใส

ข้างหลังเขามีคานหามที่ประดับด้วยหลังคาผ้าไหมสีแดง คนแปดคนแบกคานหามอย่างมั่นคง ข้างคานหามนั้นมีนางกำนัลและเพื่อนเจ้าสาวที่มีสีหน้าเปี่ยมสุขอยู่ด้วย

ตามมาด้วยขบวนคนมากกว่าสิบคนถือฆ้องและแตรยืนเรียงกันเป็นสองแถว สักพักเมื่อฆ้องและกลองก็ดังขึ้นก็ทำให้บรรยากาศรื่นเริงและคึกคักอย่างยิ่ง

เมิ่งอวิ๋นเสียงกลืนน้ำลายแล้วถามหญิงรับใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างนางว่า “งานแต่งนางสนมต้องจัดยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เลยหรือ?”

หญิงรับใช้ตัวน้อยเหลือบมองนางอย่างสงสัย             เมิ่งอวิ๋นเสียงเอาผ้าเช็ดหน้าปักปิดปากและจมูกของตนไว้ นางจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ครู่หนึ่ง แล้วนางก็ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนักว่า “แม้ว่าจะเป็นนางสนม แต่ครอบครัวของแม่นางเจียงเป็นคนโปรดของไท่จือ ฉะนั้นพิธีย่อมต้องถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นธรรมดาเพคะ”

เมิ่งอวิ๋นเสียงเบะปากอย่างเหยียดหยาม “หากเหมาะสมจริง เหตุใดจึงขอตำแหน่งเพียงนางสนมเล่า?”

หญิงรับใช้ตัวน้อยส่งเสียง “หืม” แล้วตอบอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า “นั่นไม่ได้เป็นเพราะไท่จือเฟยอาศัยอำนาจพระบิดาผู้เป็นข้าหลวงที่มีตำแหน่งสูง เพื่อยืนกรานที่จะครอบครองตำหนักบูรพา และบีบบังคับให้แม่นางเจียงเป็นนางสนมหรือเพคะ”

ได้เบาะแสเยอะมาก! เมิ่งอวิ๋นเสียงครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นคอเสื้อด้านหลังก็ถูกรั้งจนแน่น นางอ้าปากค้างขณะถูกไป๋เฉาที่ขมวดคิ้วจับและดึงให้ไปยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด