ตอนที่แล้วChapter 27 Centrifugal force parting method
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 29 Departure

Chapter 28 Practices 1 to practice


练1练

ซูเห่าที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงพลังของจอมยุทธ์เป็นครั้งแรก,ซึ่งยังเป็นพลังพื้นฐานทั่วไปที่ผิวเผินมาก.

ตอนนี้ซูเห่าเข้าใจแล้ว,เหล่านักรบทั้งหมดแทบจะสวมเกราะเต็มตัว,แท้จริงแล้วเหล่าจอมยุทธ์นั้นมีพลังโจมตีสูงแต่พลังป้องกันต่ำ.

ซูเห่าที่ชักดาบสั้นกลับมา,เขาพบว่าดาบสั้นของเขานั้นไม่เปื้อนฝุ่นเลย,ทำให้เขาอดคิดไปว่า“หลังจากที่จิงซีปกคลุมดาบแล้ว,ไม่เพียงแค่เพิ่มพลังโจมตีสูง,พลังโจมตีนั้นไม่ได้มาจากคมดาบอีกต่อไป,แต่เป็นจิงซีของจอมยุทธ์,เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง,หลังจากที่จิตสำนึกเด่นชัดเท่าไหร่,ก็ยิ่งทำให้พลังจิงซีทรงพลังมาก,แล้วพลังจิงซี,หากใช้คลุมไปที่มือตรง ๆ ล่ะ?”

ซูเห่าที่เก็บดาบสั้น,จากนั้นก็ใช้หมัดที่อาบด้วยจิงซีต่อยออกไป,กระแทกลงไปบนพื้น.

“ตูมมมมม!”

เขาพบว่าบนพื้นเกิดเป็นแอ่งหลุมขึ้นมา,ทว่ามือของเขานั้นแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย.

ซูเห่าที่ชงักหมัดกลับและยังรู้สึกชาไปทั่วหมัด,มันแดงกล่ำไปหมด“การต่อยหมัดลงบนพื้นตรง ๆ,พลังจิงซีที่อาบไปทั่วหมัด,ทำให้พลังกระแทกสูงขึ้น,ทำลายพื้นได้,ทว่าก็มีแรงสะท้อนกลับคืนมาเท่ากับพลังโจมตีออกไปเช่นกัน,ดังนั้นถึงหมัดของข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ,แต่ก็ได้รับความเจ็บปวดเช่นกัน.”

ต้องไม่ลืมว่าเนื้อหนัง,เทียบกับโลหะแล้วย่อมเปราะบางกว่าเป็นธรรมดา.

ซูเห่าที่ทดลองเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ,จากนั้นขณะที่จะลุกขึ้นเพื่อออกไปทดสอบความสามารถอื่น,ก็พบว่ากล้ามเนื้อของเขาที่ล้าเจ็บขึ้นมา,จนแทบยืนไม่อยู่.

ความรู้สึกนี้,มันเหมือนกับอาการล้าของกล้ามเนื้อ,มันว่างเปล่า,เพราะปราณโลหิตได้ถูกเปลี่ยนเป็นจิงซีไปหมดแล้ว.

ซูเห่าที่พูดไม่ออก“ดูเหมือนว่าปราณโลหิตและจิงซีจะต่างกันอย่างงั้นรึ?”

หลังจากตรวจสอบอย่างระเอียด,ซูเห่าก็พบความสัมพันธ์ระหว่างปราณโลหิต(เสวี๋ยซี) ของผู้ฝึกยุทธ์และจิงซีของจอมยุทธ์.

เมื่อยกระดับเป็นจอมยุทธ์สำเร็จ,พลังต่อสู้ก็เปลี่ยนไป,วิธีการโจมตีล้วนแต่ใช้จิงซีของจอมยุทธ์,ปราณโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์แทบจะถูกละเลย.

อย่างไรก็ตามปราณโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์นั้นยังมีประโยชน์อยู่สองอย่าง,อย่างแรกคือการเคลื่อนไหวปรกติทั่วไป,อีกอย่างก็คือเอาไว้ใช้เปลี่ยนเป็นจิงซี.

จากนั้นเขาก็รู้ว่าตัวเองต้องจัดการอย่างไรต่อไป,เขาจะต้องสร้างปราณโลหิต,แล้วเปลี่ยนเป็นจิงซีสะสมให้มากยกระดับไปจนถึงขีดจำกัดของร่างกาย.

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น,ซูเห่าก็ประสบความสำเร็จ,ร่างกายของเขานั้นเปี่ยมล้นด้วยจิงซีในระดับที่เหนือล้ำ,สะสมเต็มในจุดชีพจรพิเศษทั้งเก้า,เวลานี้มันอัดแน่นไปด้วยจิงซีของจอมยุทธ์.

จากนั้นซูเห่าก็ไปพบกับอู๋หยุนเทียน,เพื่อแจ้งว่าเขาได้เปลี่ยนปราณโลหิตเป็นจิงซีหมดแล้ว.

หลังจากประสบเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายหลายปีมานี้,อู๋หยุนเทียนที่ยกระดับภูมิคุ้มกันความตกใจขึ้นมาไม่น้อย,เขาไม่ได้เผยความประหลาดใจอะไร,ต้องไม่ลืมว่าบุตรชายของเขานั้นเป็นอสุรกายพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา,คนอื่น ๆ ใช้เวลาสามปี,ทว่าเขาใช้เวลาปีเดียว? เป็นเรื่องปรกติ.

อู๋หยุนเทียนที่พยักหน้าอย่างสุขุมเอ่ยออกมาว่า”เช่นนั้นเจ้าก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของจิงซีให้ได้โดยสมบูรณ์.

เจ้าไม่ต้องกังวลไป,การเปลี่ยนปราณโลหิตเป็นจิงซีนั้นต้องใช้เวลา,เมื่อเจ้าเปลี่ยนจิงซีจนสะสมเต็มจุดชีพจรทั้งเก้าเต็มแล้ว,เวลานั้นเจ้าก็จะถูกนับว่าเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูง.”

ซูเห่าที่เผยความประหลาดใจ“ท่านพ่อ,ข้าได้เติมจิงซีเต็มจุดชีพจรทั้งเก้าแล้ว!”

อู๋หยุนเทียนไม่อาจสงบได้ต่อไป,เอ่ยออกมาว่า“อะไรนะ?”

ซูเห่าที่เอ่ยย้ำอีกครั้ง“ข้าได้เติมจิงซีเต็มจุดชีพจรทั้งเก้าแล้ว,ตอนนี้ไม่อาจเพิ่มขึ้นได้อีกแล้ว,ตอนนี้ข้าถือว่าเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงแล้วรึ?”

อู๋หยุนเทียนที่กลายเป็นตะลึงงันโดยสมบูรณ์.

“เจ้าบอกว่าเติมเต็มจิงซีเต็มแล้วอย่างงั้นรึ? ไม่ใช่ว่าล้อเล่นอยู่หรอกนะ?”

“ข้าเคยล้อท่านเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ท่านพ่อ,ข้าฝึกฝนผิดรึ?”เห็นท่าทางอู๋หยุนเทียนแล้ว,ซูเห่ารู้สึกว่ามีปัญหาหรือไม่?

อู๋หยุนเทียนที่สูดหายใจลึก,สงบใจ,ก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“แน่นอน,เป็นเรื่องทั่วไป,ไม่ใช่ปัญหาใหญ่!”

จากนั้นซูเห่าก็เอ่ยออกมาว่า“ไม่ผิดใช่ใหม!”

อู๋หยุนเทียนเริ่มเอ่ยอธิบาย.

ซูเห่าที่รู้ว่ากระบวนการเปลี่ยนปราณโลหิตและวิธีการสร้างแรงเหวี่ยงหมุนปราณโลหิตเปลี่ยนเป็นจิงซีนั้น,ที่จริงเป็นเรื่องผิดปรกติ.

คนทั่วไปมีความสามารถเปลี่ยนปราณโลหิตไม่สูงนัก,ต้องใช้เวลานานในการสะสม,และการเปลี่ยนปราณโลหิตเป็นจิงซีเองก็ยากมาก,การจะเปลี่ยนจิงซีสะสมให้เต็มจุดชีพจรนั้น,จำเป็นต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลาเนิ่นนาน.

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะสะสมจิงซีให้เต็มจึงยากเกินจะกล่าว,บางคนอาจจะไม่อาจทำได้ตลอดทั้งชีวิต.

ทว่าซูเห่านั้นเป็นตัวตนพิเศษ,ไม่ต้องกังวลเรื่องปราณโลหิต,เขาสามารถสะสมปราณโลหิตได้ในเวลาสั้น ๆ เพียงแค่กินให้เพียงพอ,ก็สามารถสะสมปราณโลหิตได้อย่างรวดเร็วเปี่ยมล้นแล้ว.

นอกจากนี้กระบวนการเปลี่ยนปราณโลหิตเป็นจิงซี,ด้วยการหมุนชำระล้างรูปแบบเครื่องซักผ้า,ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนปราณโลหิตเป็นจิงซีได้อย่างรวดเร็ว,ใช้เวลาไม่กี่วันก็สะสมจนสำเร็จแล้ว.

จากคำอธิบายของอู๋หยุนเทียน,ซูเห่าพบว่าความเร็วของเขานั้นรวดเร็วอย่างแท้จริง.

“ความรู้คือพลัง,ใครใช้ให้เขามีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากพอล่ะ?”

......

“ท่านพ่อ,แล้วความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้ล่ะ?”หลังจากนั้นซูเห่าได้เอ่ยสอบถามสถานะของเขา.

อู๋หยุนเทียนครุ่นคิด,ก่อนที่จะลุกขึ้นก้าวนำเขาออกมา“เจ้าตามข้ามา,เจ้าและข้าฝึกฝนด้วยกันก็จะรู้.”

ซูเห่าดวงตาเบิกกว้าง,ฝึกฝนด้วยกัน? ต่อสู้กับอู๋หยุนเทียนอย่างงั้นรึ?

เมื่อซูเห่าได้สติ,เขาก็ก้าวตามไปแล้ว,แม้นว่าเขาจะไม่มั่นใจ,ทว่าเวลานี้กับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก.

“ดูเหมือนว่า...ข้าจะไม่เคยต่อสู้จริง ๆ กับคนอื่นเลย!”

ซูเห่าที่ตามอู๋หยุนเทียนมายังลานกว้าง,ทั้งสองที่หันหน้า ยืนประจันจ้องมองกันอยู่.

ทั้งสองที่ปลดเกราะและอาวุธออก,รับรู้โดยไม่ต้องเอ่ย.

ในเวลานั้นแสงตะวันสาดส่อง,เงาต้นไม้ใหญ่ที่พาดผ่านมา,และเงาของทั้งสองก็ยืดยาวออกไปด้วย.

ทั้งสองที่จับจ้องมองกันและกัน.

ทันใดนั้นซูเห่าได้เคลื่อนไหว,จิงซีที่พล่านไปทั่วข้า,เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว,ปลดปล่อยกลิ่นอายที่มากล้นออกมา.

นี่คือทักษะ“พุ่งปะทะ”ที่อู๋หยุนเทียนสอนมา,อย่างไรก็ตามซูเห่าไม่ได้ใช้พลังเต็มที่,ทว่ายังคงรั้งพลังเอาไว้,เพื่อสามารถปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทางตามสถานการณ์.

เขาสูงเพียงหนึ่งเมตรครึ่ง,ด้อยกว่าอู๋หยุนเทียนที่มีความสูงเกือบสองเมตร,เห็นชัดเจนว่ากระบวนท่าพุ่งปะทะนั้นไม่ได้ใช้เพื่อโจมตี,เขาใช้ทักษะนี้ ตอนเริ่มต้นก็เพื่อเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเข้าประชิดเท่านั้น,หลังจากฝ่ายตรงข้ามลงมือโจมตีออกมา,เขาก็จะฉวยโอกาสหลบและโจมตีออกไปอีกครั้ง.

อู๋หยุนเทียนที่คุ้นเคยกับซูเห่าอยู่แล้ว,ราวกับเข้าใจความตั้งใจของซูเห่า,ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจนัก,หลังจากเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาใกล้,ก็เตะออกไปทันที.

ความเร็วของซูเห่าไม่ได้ลดลงเลย,เขาวิ่งเข้าหาเท้าของอู๋หยุนเทียนที่เตะมา,แล้วใช้มือปัด,เอี้ยวตัวหลบพร้อมกับเหวี่ยงร่างกายลง,จากนั้นก็ดีดตัวขึ้น เท้าของเขาที่พุ่งจากล่างขึ้นข้างบนเล็งไปที่คางของอู๋หยุนเทียน.

ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นระบบ,คล้ายกับเป็นการลอบโจมตีในทันที.

อย่างไรก็ตาม,อู๋หยุนเทียนที่มีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย,ผ่านเวทีการต่อสู้มานับไม่ด้วน,ทำให้เขามีปฏิกิริยาที่สูงมาก.

เขาสามารถเอียงศีรษะหลบ,ทำให้การโจมตีของซูเห่าพลาดเป้า.

จากนั้นไหล่ของเขาที่ขยับ กระแทกศอกออกไปด้านหน้าทันที.

“ปัง!”

ซูเห่าที่ลอยโด่งอยู่กลางอากาศถูกศอกของอู๋หยุนเทียนกระแทกลอยออกไป.

ร่างของซูเห่าลอยกระเด็นเคว้งบนอากาศ,เขาได้ปรับจุดศูนย์ถ่วงของตัวเอง,ปรับตำแหน่งให้ล่วงหล่นลงพื้นเสียงดัง.

จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบก้นไปมา,การโจมตีก่อนหน้านี้แม้นว่าจะเหวี่ยงปรับตำแหน่งลงแล้ว,ทว่าก็ยังทำให้เขาเจ็บอยู่เล็กน้อย.

ซูเห่าพบว่า,ขอเพียงเคลื่อนจิงซีมายังจุดที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีเข้ามา สามารถใช้รับแรงลดการกระแทกได้,เป็นการสร้างม่านป้องกันจากจิงซือเพื่อรับการโจมตีจากจิงซีของอีกฝ่ายด้วย,อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นหนึ่งในทักษะป้องกันที่ทรงพลังอีกอย่างด้วย.

อย่างไรก็ตาม,การจะป้องกันได้มากขนาดใหน,อีกเหตุผลนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของกายเนื้อด้วย.

ในเมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้ว,ซูเห่าก็วางใจ,การเผชิญหน้ากับอู๋หยุนเทียน,ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแต่อย่างใด.

ด้วยการเคลื่อนย้ายจิงซีได้อย่างอิสระ,ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแรงโจมตีที่อาบจิงซีของอีกฝ่ายอีกต่อไป,นอกจากนี้ร่างกายของเขายังผ่าน“ฟังก์ชันยกระดับกล้ามเนื้อ”มาเป็นเวลานั้น,สามารถทนการโจมตีได้อย่างไม่ต้องสงสัย.

กลาวอีกอย่างหนึ่ง,การต่อสู้กับอู๋หยุนเทียนหากใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ได้,ก็ไม่ต้องสนใจ,สามารถเข้าไปปะทะตรง ๆ ได้เลย.

การปะทะกันตรง ๆ,ไม่มีอะไรต้องรู้สึกหวาดกลัว.

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด