ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3-4

บทที่ 1-2


บทที่ 1

ไม่เต็มใจยอมรับ

ร่างในชุดขาวราบเรียบสวมชุดคลุมกระโปรง เป็นหญิงรับใช้ที่ดูดีคนหนึ่ง กายค่อนข้างเตี้ย นั่งยองบริเวณหน้าเก้าอี้ปลายเตียง คิ้วเรียวยาวทั้งสองขมวดมุ่น สายตากังวลมองยังเตียงนอน ยังร่างที่นอนตรงแข็งทื่อ

เมื่อครู่ขนตาของนางเกิดสั่นเบาเล็กน้อย ภายหลังลืมตาจึงปรากฏนัยน์ตาอันสับสน ดวงตาหลับลงอีกครั้ง กะพริบตาและลืมตาตื่นอีกครั้งหนึ่ง ดวงตากลมกวาดมอง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง...

การกระทำดำเนินเช่นนี้ไปมา ถึงหลายสิบครั้งด้วยกัน

คิ้วของหญิงรับใช้ตัวน้อยเผยร่องรอยความโศก น้ำเสียงขื่นขมกล่าวถ้อยคำ “ไท่จื่อเฟย ขออย่าทำชิงหลัวหวาดกลัวแล้ว หากไท่จื่อมาและพบเห็นท่านเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องถูกสั่งสอนยกใหญ่”

*ไท่จื่อเฟย เป็นตำแหน่ง ภรรยาหลวงของไท่จื่อ              (รัชทายาท)

สุดท้ายนางหรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่ง มองสำรวจตัวเองด้วยสีหน้าอันสับสน ปลายนิ้วเรียวกลมชี้ยังปลายจมูกของนางเอง พร้อมอ้าปากที่ราวกับเป็นเพชรน้ำเอกเล็กน้อยเอ่ยคำถาม “สหาย เมื่อครู่เรียกข้าว่าอะไร?”

ชิงหลัวหน้าเสียพร้อมร้องดังขึ้น มือไม้เร่งร้อนโบก ร่างทรุดลงกับพื้นและปล่อยโฮ

“ไท่จื่อเฟย ชิงหลัวขอร้องท่านอย่าได้กล่าววาจาล้อเล่น”

เมื่อเห็นชิงหลัวแทบขุดพื้นดินมุดศีรษะลงไปด้านล่าง นางไม่อาจทนได้ มือพลันค้ำยืนกายขึ้นลุกนั่ง แต่แล้วกลับได้ยินเสียง ที่ปะปนด้วยความโกรธ ดังจากอีกฟากของประตู

“เมิ่งอวิ๋นเสียง คราวนี้เจ้าคิดเล่นเล่ห์กลอันใด?”

ประตูพลันถูกเตะเปิดออกโดยผู้มาเยือน บานประตูกระทั่งเกิดเสียง “กึง” ดังขึ้น สุดท้ายไม่อาจทนไหว ทั้งบานจึงร่วงหล่นกับพื้นเสียงดัง

วันฟ้ากระจ่างในเดือนหก ดวงอาทิตย์ที่ภายนอกหน้าต่างเพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า ฉับพลันกลับมืดหม่น ร่างเงาเป็นชั้นทอดยาว บรรยากาศกลายเป็นมัวหมอง

นางลุกนั่งครึ่งตัว พร้อมมองออกไป

ใบหน้าของเขาที่เปี่ยมด้วยโทสะ ทว่ายังคงเป็นใบหน้าอันงดงาม คิ้วบางขมวดแน่น ประหนึ่งวงคลื่นสีครามแห่งเดือนหกกระจายออกราววงน้ำ ดวงตาสีดำที่ทอประกาย ประหนึ่งผลึกดวงดาวและดอกไม้อันงดงาม

มันทำตัวนางชะงักงันไปครู่หนึ่ง

พบเห็นนางจับจ้องเขาอย่างเหม่อลอย คิ้วและดวงตากลับเผยร่องรอยความรังเกียจ ถ้อยคำกล่าวเล็ดลอดจากฟันที่ขบเคี้ยว “เมิ่งอวิ๋นเสียง! เปิ่นหวางกำลังถามเจ้าอยู่?”

*เปิ่นหวาง คือคำเรียกแทนตัวเองของผู้มีบรรดาศักดิ์ไท่จื่อ

เมิ่งอวิ๋นเสียง? ร่างกายนี้ของนาง เป็นนามเจ้าของเดิมงั้นหรือ? ช่างเป็นชื่อที่ไม่น่าไว้ใจ นางเพียงคิดอย่างเงียบงัน ทว่าในเมื่อเด็กหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าเรียกตัวนางเช่นนั้น แม้ไม่เต็มใจนางก็ต้องยอมรับ

แม้ไม่คิดอยากยอมรับ นึกคิดว่าเป็นความฝัน แต่หลังกะพริบตาแล้วหลายสิบครั้ง สิ่งที่ได้เห็นก็ยังคงเป็นเตียงแพรไหมอ่อนนุ่ม รวมกับเด็กสาวคนหนึ่งที่คุกเข่าร้องอ้อนวอนอยู่ข้างเตียง ก็พบว่ามันคือความจริงที่ต้องยอมรับ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เลยตามเลย คิดเสียว่าได้ช่วงเวลาชวนอิ่มเอมก็แล้วกัน

เมิ่งอวิ๋นเสียงเม้มริมฝีปากเผยรอยยิ้ม ประกายเขินหายปรากฏในดวงตา อีกฝ่ายไม่ยินดีได้เห็นตัวนาง ก็ยิ่งทำนางอยากมอง กระทั่งจับจ้องตรงไปยังอีกฝ่าย ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มและกล่าวถ้อยคำอย่างกระมิดกระเมี้ยน “คุณชายน้อยท่านนี้ ขอกล่าวบอกนามของท่าน แก่ไท่จื่อเฟยคนนี้ได้หรือไม่?”

จิ่งหรงอดกลั้นโทสะ ใบหน้าขณะนี้แทบเผยความดำมืด ฝีเท้าก้าวเชื่องช้า เดินเข้าหาตัวนาง

ชิงหลัวปาดเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดปรากฏจากหน้าผาก ขณะนี้หันกลับไปโค้งคำนับโขกศีรษะต่อจิ่งหรง “ไท่จื่อ ไท่เจื่อเฟยเพิ่งตื่นขึ้น เวลานี้อาจยังสับสน ขออย่าได้กล่าวโทษท่านหญิง”

เมิ่งอวิ๋นเสียงที่คิดลุกขึ้นนั่งยังเก้าอี้ปลายเตียง ดวงตาบังเกิดความสงสัย พร้อมเอ่ยคำถามต่อจิ่งหรง “ท่านคือไท่จื่อ?” นางราวกับพึมพำ “งั้นก็เป็นบรรดาศักดิ์สามีของเราตอนนี้สิ”

จิ่งหรงก้าวเดินถึงเก้าอี้ปลายเตียง เตะชิงหลัวที่คุกเข่าโขกศีรษะอยู่พ้นทาง พร้อมคว้าคอเมิ่งอวิ๋นเสียงไว้ด้วยกำมือ ทั้งยังออกแรงบีบ

เมิ่งอวิ๋นเสียงที่ถูกรัดคอ ปากอ้าค้าง สีหน้าแดงก่ำ ดวงตากลอกมอง เป็นอาการขาดอากาศหายใจ

ที่ข้างใบหู เสียงเบาเอ่ยคำถามขึ้น “เปิ่นหวางคือสามีเจ้า แต่ไม่ใช่สามีคนเดียวที่เจ้ามี หากยังกล้าล้อเล่น ก็อย่าได้กล่าวโทษที่เปิ่นหวางโหดร้าย”

มือนั้นสะบัดออก เมิ่งอวิ๋นเสียงจึงถูกผลักไปยังเตียง ศีรษะกระแทกเข้าขอบเตียง เป็นผลให้ดวงตาของนางต้องหลั่งน้ำตาแห่งความเจ็บปวดออกมา

บทที่ 2

แรงมา ก็แรงตอบ

จิ่งหรงกลอกตาอย่างเย็นเยือก สีหน้านั้นแสดงอาการนึกรังเกียจ กระทั่งแค่นเสียง “อย่าได้เสแสร้งต่อหน้าเปิ่นหวาง มารยาของเจ้าเปิ่นหวางทราบกระจ่างดี”

ขณะเขาได้เห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงใช้มือกุมหน้าผาก สายตาจับจ้องมายังตนเอง ดวงตาประกายวาวโรจน์ดุร้าย สองเขี้ยวถึงกับแยกออก “ไท่จื่อกระทำได้วิเศษนัก ถึงกับทำลายรูปโฉมข้า!”

นางกล่าวตอบพร้อมพุ่งใส่ เสียง “โอ๊ย” ดังขึ้น พร้อมใช้ปากกัดที่แขนอีกฝ่าย ทำเอาฟันของนางได้ลิ้มรสเหงื่อและกลิ่นอันหอมหวาน

เมิ่งอวิ๋นเสียงมีปรัชญา แรงมา ก็แรงตอบ!

จิ่งหรงที่ถูกความเจ็บปวดเข้าเล่นงาน ถึงกับสะบัดสุนัขป่าฟันคมผู้นี้ออกห่าง พร้อมทั้งกล่าวเตือน “เมิ่งอวิ๋นเสียง จงหยุดคลุ้มคลั่ง! เจ้าจงอยู่เพียงแต่ในวังหลายวันเพื่อนึกทบทวน ภายหลังเปิ่นหวางเข้าพิธีเสกสมรส จึงยกเลิกการกักบริเวณเจ้าได้”

สิ้นคำกล่าว เขาหันมองยังชิงหลัวที่ล้มกองอยู่ด้านข้าง พร้อมเผยถ้อยคำอันเย็นชา “ดูแลนายหญิงของเจ้าให้ดี หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

ชิงหลัวเร่งร้อนลุกขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลงแนบเท้าอย่างนอบน้อม

จิ่งหรงเผยเสียงเย็นเยือกขึ้นจมูก ก่อนจะเดินจากไป

ภายหลังจิ่งหรงออกไปแล้ว ชิงหลัวจึงลุกขึ้น พร้อมเข้าดูแลหน้าผากของเมิ่งอวิ๋นเสียงด้วยความกังวล ผิวของนางที่เรียบเนียนเหมือนดังครีมสด เวลานี้หน้าผากอันหมดจดกลับปรากฏรอยเขียวช้ำเลือด

“นี่ต้องเจ็บมากแน่! ไฉนไท่จื่อจึงได้หนักมือถึงเพียงนี้?” ชิงหลัวกัดริมฝีปาก กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา

เมิ่งอวิ๋นเสียงพบเห็น นางเร่งร้อนคว้ามืออีกฝ่ายไว้พร้อมกล่าวปลอบ “ไม่เป็นไร ไม่เจ็บไม่คัน ไท่จื่อจึงเจ็บยิ่งกว่าข้า”

เมิ่งอวิ๋นเสียงใช้ปลายนิ้วเคาะยังบาดแผลของตน ก่อนจะขมวดคิ้วหน้าย่นร้อง “โอ๊ย” ดังออกมา

ร่างหนึ่งพุ่งรวดเร็วเข้ามาด้านในห้อง แต่งกายคล้ายดังชิงหลัว มวยผมขึ้นไว้เป็นซาลาเปาสองข้าง สวมใส่ชุดกระโปรงราบเรียบและมีเรือนร่างอันงดงาม

ทันทีที่พบเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียง ดวงตานั้นทอประกาย ใบหน้าปรากฏความเย็นเยือก

“ไป๋เฉา...” ชิงหลัวร้องเรียก ไป๋เฉารีบพุ่งพรวดเข้ามา พร้อมนำขวดยาส่งให้ เพื่อใช้ผสมแป้งประคบยังหน้าผากของเมิ่งอวิ๋นเสียง

เมิ่งอวิ๋นเสียงนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ทั้งยังกล่าวออกอย่างไม่ยินดี “เด็กน้อยคนนี้ เหตุใดท่าทีหยาบคายนัก?”

“ไท่จื่อเฟยกล่าวบอกว่าไม่เจ็บไม่ใช่หรือ?” ไป๋เฉามองลงด้วยท่าทีเย็นเยือก “ท่านที่ตายเพื่อเขาได้ ไฉนหวาดเกรงต่อความเจ็บปวดกัน”

เมิ่งอวิ๋นเสียงเหม่อมองใบหน้าอีกฝ่าย พร้อมขยิบตา “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดกล่าวถึงเรื่องใด”

ไป๋เฉาขมวดคิ้ว ขวดยาถูกโยนเข้าอ้อมแขนของนาง พร้อมกล่าวอย่างไม่ยินดี “ไท่จื่อเฟยแสร้งทำเป็นโง่งม ไป๋เฉาไม่ดูแลท่านแล้ว...”

นางกัดฟันและไม่เอ่ยถ้อยคำใดอีก ทั้งยังหันกลับพร้อมส่งเสียง “เฮอะ” และจากไป

“เด็กน้อยไฉนเจ้าอารมณ์เช่นนี้กัน?” เมิ่งอวิ๋นเสียงหันมองตามเงียบงัน ก่อนจะหันมองชิงหลัวพลางเอ่ยถาม “มั่นใจหรือว่าข้าคือไท่จื่อเฟยของพวกเจ้า?”

ชิงหลัวที่รับฟัง สีหน้ากลายเป็นหมองหม่น ทั้งยังกล่าวคำเกลี้ยกล่อม “ไท่จื่อเฟย ขออย่าได้กล่าวโทษไป๋เฉา ไท่จื่อเพียงแต่งกับท่านเป็นฉากหน้า ขณะที่ฉากหลังนั้นรับนางสนมไว้มากมาย ภายหลังท่านทราบ จึงกระโดดลงทะเลสาบ ไป๋เฉาแทบจมน้ำตายเพราะไปช่วยท่านขึ้นมา นางกล่าวโทษตนเอง เป็น     ไป๋เฉาห่วงหาท่านมาก”

ได้รับคำอธิบาย เมิ่งอวิ๋นเสียงค่อยพอกระจ่างขึ้นมาบ้าง

กลายเป็นว่าไท่จื่อต้องการพระสนม เมิ่งอวิ๋นเสียงทราบเรื่องจึงคิดฆ่าตัวตาย ดังนั้นไม่แปลกหากไท่จื่อพบเห็นนาง แล้วจะแสดงท่าทีปวดศีรษะเช่นนั้น

แม้ว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงอารมณ์รุนแรงไปบ้าง แต่ก็เพราะไท่จื่อเป็นฝ่ายใจร้ายก่อน ทำให้นางเลือกจมทะเลสาบตาย

ขณะนี้ตัวนางได้ใช้ชีวิตในร่างของเมิ่งอวิ๋นเสียง พบเจอผู้ที่กระทำการสังหารเมิ่งอวิ๋นเสียงทางอ้อม นางมีหรือจะมัวมาใส่ใจรูปลักษณ์? ต่อให้ไท่จื่อดูดีหล่อเหลาไปบ้าง แต่การวางตัวอย่างเหนือกว่าของอีกฝ่าย เป็นนางไม่นึกคิดชอบพอ!

เมิ่งอวิ๋นเสียงเกิดนึกอะไรขึ้นได้ จึงมุ่งตรงไปยังเตียงนอน

ชิงหลัวขมวดคิ้ว เห็นนางขยับศีรษะตรงหน้ากระจกทองแดง หันใบอันเรียบเนียนงดงามไปมา พร้อมทั้งเกิดนึกพึงพอใจ “ไม่เลว ผิวก็งาม ขาก็เรียวยาว”

สิ้นคำ นางจึงขยำหน้าอกตนเองพร้อมกล่าวคำชื่นชม “ซาลาเปาคู่นี้ก็ไม่เลว คัพซีเห็นจะได้”

ชิงหลัวหลั่งเหงื่อกาฬผุดจากหน้าผากพร้อมครุ่นคิดกับตนเอง ‘จบสิ้นแล้ว ไท่เจื่อเฟยสมองมีปัญหาแล้วกระมัง?’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด