ตอนที่แล้วตัวประกอบแรงค์ EX — 0038
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตัวประกอบแรงค์ EX — 0040

ตัวประกอบแรงค์ EX — 0039


11. อากาศแจ่มใส, ท้องฟ้าเริ่มกระจ่าง (3)

* * *

“รองหัวหน้าห้อง? มากินข้าวหรือ? พวกเรากำลังทำงานพิเศษหาค่าขนมกันอยู่”

“ส…สวัสดี อึยชิน”

แตกต่างจากเม็งเฮียวทง อีเรนาตอบอ้ำๆ อึ้งๆ

เธอคงยังกระอักกระอ่วนกับฉันอยู่

ก่อนหน้านี้เคยกระโดดตึกฆ่าตัวตายและร้องไห้ต่อหน้าฉันจนหลับไป คงยังไม่แน่ใจว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน

‘ในโรงเรียนแสงเงินจะมีระบบทำงานพิเศษแลกค่าขนมอยู่ ดูเหมือนทั้งสองคนกำลังเป็นแบบนั้น’

งานพิเศษหาค่าขนมจะจ่ายสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำของประเทศสี่เท่า โดยแลกกับการทำงานจิปาถะให้โรงเรียน

‘โรงเรียนแสงเงินมีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก การจ้างบุคลากรภายนอกถือเป็นเรื่องน่าปวดหัว’

นักเรียนส่วนใหญ่มักไม่ขัดสนเรื่องเงิน เพราะสามารถหารายได้จากการขายไอเท็มต่างโลก รวมถึงการฆ่าเอนามีติดค่าหัว

อย่างไรก็ดี กฎของโรงเรียนระบุไว้ชัดเจนว่า นักเรียนปีหนึ่งจะเข้าร่วมทีมบุกต่างโลกได้ก็ต่อเมื่อย่างเข้าเทอมสองแล้วเท่านั้น

ในทางกลับกัน เด็กปีสองปีสามที่ร้อนเงินด่วน ก็สามารถทำงานพิเศษเพื่อแลกค่าขนมได้เช่นกัน

‘ทั้งสองไม่มีเงินสนับสนุนจากทางบ้าน ครูฮัมกึนยองคงแนะนำวิธีนี้มา’

นักเรียนโรงเรียนแสงเงินไม่ต้องจ่ายค่าหอพัก ค่าเล่าเรียน และค่าอุปกรณ์เบ็ดเตล็ด

แต่ก็คงเป็นเรื่องยากที่เด็กวัยรุ่นมัธยมปลายจะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีเงินค่าขนม

‘ถ้าทำงานพิเศษวันละสองสามชั่วโมงไปถึงเทอมสอง ก็คงอยู่ได้สบายๆ’

คิดถึงตรงนี้ก็หยิบจานขึ้นมา และทำท่าจะเดินไปสถานีพาสต้า

“รองหัวหน้าห้อง วันนี้ไอ้นี่อร่อยสุด”

ก่อนจะได้ก้าวขา เม็งเฮียวทงทิ้งบอมบ์เนื้อย่างลงบนจานเปล่าของฉัน

‘บุลโกกิสไตล์กวางยัง’ ถูกวางสุมราวกับภูเขา

เป็นการลงมือที่ชำนาญและแม่นยำจนน่าชื่นชม

แม้ใจหนึ่งจะนึกชื่นชมว่า ‘สมแล้วที่เป็นคู่แข่งของจูซูย็อก’ แต่อีกใจก็ทึ่งกับปริมาณของเนื้อ

ถึงจะปรารถนาดีก็เถอะ… แต่นี่ไม่มากไปหน่อยหรือ

“เม็งเฮียวทง ถ้านายปรารถนาดีจริงก็ควรตักข้าวกับผักให้ฉัน ไม่ใช่เนื้อ”

“จานนี้อร่อยที่สุดแล้ว ใช้มันเติมเต็มความอิ่มท้องซะ”

“หา…”

อาหารบุฟเฟ่ต์ เอาไปคืนไม่ได้ด้วย

เม็งเฮียวทงยังคงยืนกรานหนักแน่น

ฉันจึงต้องจัดการจานที่เต็มไปด้วยเนื้อย่างนี่คนเดียว

เป็นมื้ออาหารที่ละเลยสมดุลทางโภชนาการโดยสิ้นเชิง

“ฮะฮะ… ฉันว่าเขาให้เยอะไปหน่อย แต่วันนี้บุลโกกิอร่อยจริงๆ นะ”

อีเรนาฝืนหัวเราะขณะพูดอย่างกระอักกระอ่วน

ไม่ใช่แค่นักชิมเม็งเฮียวทง แต่ในเมื่ออีเรนาก็ช่วยยืนกราน เห็นทีจะไม่กินก็คงไม่ได้

‘คงต้องยอมแพ้สินะ… เฮ้อ…’

เห็นทีวันนี้ต้องเติมเต็มกระเพาะด้วยเนื้อย่างอย่างไม่มีทางเลือก

กู๊ดบายพาสต้า

หลังจากตักเนื้อใส่ปากอย่างไม่คาดหวัง ฉันเผยสีหน้าตกตะลึงทันที

‘อะไรกัน… อร่อยฉิบหาย!’

รสชาติงดงามมาก

งั่ม~!

‘สุดยอด ดีกว่าบุลโกกิในภัตตาคารดังซะอีก’

เครื่องปรุงเข้ากันได้ดีกับน้ำเนื้อที่เยิ้มออกจากเนื้อสุกกำลังดี ทั้งหมดละลายบนลิ้นแล้วหายไปในลำคอ

นี่คือเมนูที่เสิร์ฟในห้องอาหารของเด็กหอม.ปลายจริงหรือ?

เม็งเฮียวทงน่าจะไปเป็นนักชิมดูนะ

ฉันกินจนเกลี้ยงโดยไม่เหลือเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียว

เม็งเฮียวทงมีความสุขเมื่อเห็นฉันกินอย่างเอร็ดอร่อย

“รสชาติดีมาก”

“ฉันบอกแล้ว”

ฉันรู้ว่าเม็งเฮียวทงปรารถนาดี แต่ก็อาจถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งถ้าไม่รู้จักกันดีพอ

ตอนที่เห็นภูเขาเนื้อบุลโกกิครั้งแรก ฉันรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยบุลโกกิ

บุลโกกิสแลป

เป็นคำที่ช่วยให้เห็นภาพการกลั่นแกล้งด้วยบอมบ์เนื้อย่าง

“เอ่อคือว่า… ที่ผ่านมา… ฉันอยากจะขอบคุณนายมาตลอด แต่ไม่มีโอกาส”

เม็งเฮียวทงที่รับจานจากฉันไปเก็บ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

เขาพูดเชื่องช้าราวกับมดคลาน

“ข…ขอบ… คุณ… มาก”

การทิ้งบอมบ์บุลโกกิใส่ฉันคงทำไปเพราะต้องการขอบคุณ

ชักอยากแกล้งแล้วสิ

แสร้งทำหูทวนลมดีกว่า

“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”

“…ขอบคุณนะ! ไอ้รองหัวหน้าห้องเวร!”

เวร~ เวร~

เสียงคำรามของเม็งเฮียวทงดังสะท้อนอยู่ในห้องปิด

นักเรียนในห้องอาหารรีบหันมามอง

พวกเรากลายเป็นจุดสนใจทันที

รีบเผ่นดีกว่า

“เข้าใจแล้ว แต่อย่าเล่าให้ใครฟังล่ะ แล้วก็ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจด้วย ลาก่อน ขยันทำงานนะ!”

“เฮ้ย! รองหัวหน้าห้อง… เดี๋ยว!”

ฉันเดินตัวปลิวออกจากห้องอาหารราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเม็งเฮียวทง

เม็งเฮียวทงผู้ยังต้องทำงานพิเศษแลกเงินต่อไป ตกเป็นเป้าความสนใจของคนรอบข้างอย่างมิอาจเลี่ยง

ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็น คือปลายหูแดงก่ำของเขาซึ่งดูราวกับเลือดทั้งตัวไหลมาหล่อเลี้ยง

นี่ไม่ใช่การแก้แค้นเรื่องบุลโกกิบอมบ์

ไม่ใช่เลยจริงๆ

* * *

ณ ล็อบบี้ตึกหอพักเด็กปีหนึ่ง

บนโซฟาตัวในสุดของห้องนั่งเล่นรวมชายหญิง ฉันกำลังนั่งรออีเรนา

ก่อนจะทิ้งให้เม็งเฮียวทงอับอายตามลำพัง ฉันแอบนัดเธอมาเจอกันที่นี่

‘วันนี้ต้องคืนให้ได้’

หยิบซองสีขาวจากหน้าต่างไอเท็มออกมาถือ

ในซองคือริบบิ้นสีทองที่ตกอยู่ในห้องนั่งเล่นของฉัน ในวันที่เธอพยายามฆ่าตัวตาย

พลาดโอกาสคืนมาหลายครั้งแล้ว

ในห้องเรียน อีเรนามักจะอยู่กับคิมยูรีและฮันอี ไม่มีช่องว่างให้แทรกเข้าไปเลย

ถ้าถูกถามว่าฉันมีมันได้อย่างไร คงไม่สะดวกใจจะตอบสักเท่าไร

“อึยชิน”

อีเรนาใช้ดวงตากลมๆ มองมาทางฉัน

ห้องนั่งเล่นรวมในล็อบบี้กว้างขวางมาก ตอนแรกคิดว่าเธอจะใช้เวลามองหาสักพัก แต่กลับพบฉันในทันที

“ขอโทษที่เรียกมานะ พอดีว่ามีอะไรจะให้…”

ขณะเตรียมยื่นซองริบบิ้น หญิงสาวชิงพูดตัดหน้า

“อึยชิน… ออกไปเดินเล่นกันไหม”

สงสัยมีอะไรอยากจะพูดกับเราเหมือนกัน

‘…หนาวแฮะ’

ณ ทางเดินใกล้กับเขตหอพักเด็กปีหนึ่ง

แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ลมกลางคืนช่วงเดือนเมษายนก็ยังคงเย็น

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ใกล้กับเขาปีกสวรรค์ด้วยไหม กระแสลมจึงยิ่งเย็นกว่าจุดอื่น

‘คงเพราะอากาศหนาว แทบไม่มีใครออกมาเดินเล่นเลย’

ระหว่างเดินไปตามทาง ผมมัดหางม้าของอีเรนาปลิวไสวด้วยแรงลม

เธอยังคงมีท่าทีลังเลโดยไม่พูดอะไร

“นั่งตรงนี้ไหม”

อีเรนาชี้ไปทางม้านั่งใต้แสงไฟข้างทางเดิน

“เอาสิ”

ฉันตัดสินใจนั่งขวางทางลม

เพราะถ้าอีเรนาป่วย อัตราการเข้าเรียนก็จะลดลง คิมยูรีกับครูฮัมกึนยองก็จะเสียใจ

อีเรนานั่งลงข้างฉันโดยเว้นระยะห่างประมาณสองคน

“อึยชิน ที่ผ่านมาฉัน… หาโอกาสขอบคุณนายไม่ได้เลย… ฉันไม่รู้ว่านายช่วยอะไรเม็งเฮียวทง แต่ได้เห็นเขาทำแบบนั้น เลยคิดว่าตัวเองควรทำบ้าง”

เป็นเพราะเม็งเฮียวทง?

“ฉันดีใจนะที่ไม่ตายไปในวันนั้น… มันเจ็บปวดก็จริงเวลานึกถึงคำพูดของพ่อแม่ แต่การมีชีวิตอยู่ทำให้ได้รู้ว่า ยังมีเพื่อนร่วมห้องและครูประจำชั้นรอให้ฉันกลับไปเรียน แล้วก็…”

เธออ้ำอึ้งอยู่หลายครั้ง ฉันรอคอยอย่างใจเย็น

“ตอนนี้ฉันมีสิ่งที่อยากทำแล้ว… จำวันที่ฝนตกครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิได้ไหม? กริ่งโรงเรียนที่ดังขึ้นในหอพักน่ะ…”

ฉันเพิ่งได้อ่านบันทึกการประชุมของสมาคมปีกธรณีมา ก็เลยทราบดี

กริ่งโรงเรียนที่ดังในหอพัก คือ ‘แรงกดดันเงียบ’ ที่กล่อมให้นักเรียนตื่นนอนมาโรงเรียน ไม่ใช่เอาแต่หมกตัวอยู่ในหอ

นักเรียนปี 1/0 ของปีก่อนที่มั่วสุมอยู่ในหอพัก เกิดไม่พอใจเสียงกริ่ง จึงวางแผนบุกถล่มห้องชมรมกระจายเสียงในวันเอพริลฟูล

ในภายหลัง เด็กหอปี 1/0 ของปีก่อนเกือบทุกคน แอบดัดแปลงลำโพงภายในห้องด้วยงบประมาณส่วนตัว แต่สุดท้ายก็ถูกสมาคมปีกธรณีจับได้อยู่ดี

“เพลงกริ่งในวันนั้นคือ ‘for LENA’ น่ะ…”

ในวันเกิดของชเวย็อนทึก ฉันจำได้ว่าฝนตกหนักตลอดทั้งวัน และกริ่งเปลี่ยนคาบก็มีแต่เพลงเกี่ยวกับฝน

‘บรรเลงวารี’ ของราเวล ‘โหมโรงสายรุ้ง’ ของโชแปง ‘วอลซ์แม่น้ำดานูบสีคราม’ ของโจนาธาน·สเตราส์ที่สอง และ ‘สวนฝนโปรย’ ของเดอบูชี่

แล้วก็ ‘for LENA’

‘for LENA เป็นเพลงประกอบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเกมเพลเมโก’

for LENA

เพลงที่ประพันธ์โดยหัวหน้าทีม ‘ทะเลสาบนิรันดร์’ —หนึ่งในสี่ทีมโปรชั้นนำของอังกฤษ

หัวหน้าทีมทะเลสาบนิรันดร์เป็นลูกครึ่งเกาหลีใต้-อังกฤษซึ่งจบจากโรงเรียนแสงเงิน จึงถือเป็นรุ่นพี่ของพวกเรา

ไม่เพียงหัวหน้าทีมจะมีพลังพิเศษหลากหลาย แต่ยังโด่งดังในฐานะนักไวโอลินที่ได้รับเหรียญเกียรติยศจากพระราชินีแห่งอังกฤษ

‘เห็นว่าถูกตื๊อให้เปลี่ยนสัญชาติทุกวัน น่าทึ่งมากที่เขายังถือสัญญาติเกาหลีใต้อยู่… ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกทำงานในอังกฤษ ถ้าสุดท้ายแล้วไม่คิดจะโอนสัญชาติ’

‘รอยแยกแมนเชสเตอร์’ คือวีรกรรมการบุกต่างโลกครั้งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ซึ่งถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการเพลเยอร์

ทีมทะเลสาบนิรันดร์สามารถเคลียร์รอยแยกที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะสหราชอาณาจักร ด้วยการเคลียร์ดันเจี้ยนห้าแห่ง หนึ่งหอคอย และสองวงกตภายในหนึ่งสัปดาห์

หลังจากเคลียร์รอยแยกสำเร็จ ผลข้างเคียงจากการใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของหัวหน้าทีม ได้ก่อให้เกิดทะเลสาบตรงจุดที่รอยแยกต่างโลกปิดตัวลง

‘ราชินีมอบเหรียญเกียรติยศให้กับหัวหน้าทีม แถมยังมอบสิทธิ์ในการตั้งชื่อทะเลสาบบนดินแดนของพระองค์’

หัวหน้าทีมตั้งชื่อทะเลสาบว่า ‘LENA’ ตามชื่อของมารดาที่เสียชีวิตระหว่างการบุกต่างโลก

หลังจากตั้งชื่อทะเลสาบ พิธีไว้อาลัยสมาชิกทีมทะเลสาบนิรันดร์ที่เสียชีวิตระหว่างการบุกต่างโลก ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่สมเกียรติ

เพลง ‘for LENA’ ถูกประพันธ์ขึ้น ณ เวลานั้นโดยหัวหน้าทีม

“ฉันฟังเพลงนั้นอยู่คนเดียวในห้อง และนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่พลังพิเศษจะตื่น ฉันเคยฝันอยากเรียนไวโอลิน… ตอนเด็กๆ เคยลองขอพ่อแม่แล้ว แต่พวกเขาไม่อนุญาตเพราะค่าเรียนแพงเกินไป หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้นึกถึงอีกเลย”

ถ้าเจียดเงินค่า VIP ในตึกโลกีย์ของชเวย็อนทึกมาหนึ่งวัน อีเรนาจะได้เรียนพิเศษไวโอลินนานสามเดือน…

พวกเขาคงเสียดายเงินที่ต้องจ่ายให้อีเรนาสินะ

รู้อย่างนี้น่าจะเอาถุงเงินฟาดใส่สักเปรี้ยงตอนอยู่บนตึกวังมยองทาวเวอร์ แล้วก็ถีบให้ตกลงมาโดยไม่ต้องมีเบาะรอง

“ฉันก็เลยลองคุยกับครูฮัมกึนยองดู เขาบอกว่าให้ไปปรึกษาครูชมรมเครื่องสาย… ครูที่ปรึกษาบอกว่าฉันเข้าชมรมไวโอลิน ทางชมรมจะให้ยืมเครื่องสำหรับซ้อม พร้อมกับออกค่าเรียนพิเศษให้ แล้วก็จะมีรุ่นพี่คอยติวใกล้ๆ ด้วย”

เพลงนั้นช่วยให้อีเรนาเลิกเก็บตัวสินะ

เธอยิ้มอย่างสดใสภายใต้แสงจันทร์

ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยเห็นสีหน้าอื่นของอีเรนานอกจากความลังเล สับสน หรือหวาดกลัว

“ขอบใจนะ อึยชิน… ฉันคิดว่าตัวเองโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่”

ฉันเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากฟังความในใจของเธอมานาน

“ถ้าชมรมเครื่องสายขึ้นเวทีเมื่อไร อย่าลืมเรียกฉันนะ จะพาเพื่อนทุกคนไปดูให้ได้”

“อื้อ…! จะตั้งใจซ้อมนะ”

อีเรนายิ้มด้วยน้ำตาปริ่มเบ้า

“ตกลง ฉันจะรอ… แล้วก็เจ้านี่ เธอลืมไว้เมื่อคราวก่อน”

ฉันยื่นซองสีขาวให้

“ริบบิ้นอันนี้…! ก็นึกอยู่ว่าหายไปไหน… ขอบคุณมาก!”

อีเรนามองเข้าไปในซองพร้อมกับขอบคุณซ้ำ

ดูเหมือนวันนี้ฉันจะได้รับคำขอบคุณมากเป็นพิเศษ

แต่อันที่จริง ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคู่ควรกับคำขอบคุณไหม ที่นำริบบิ้นเส้นนี้มาคืน

‘ปีหน้าอีเรนาจะกลายเป็นวายร้าย… แต่เรายังไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด’

เคยเดาว่าคงเป็นเพราะความเครียดที่สั่งสมจากพ่อแม่ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกัน จึงต้องเตรียมรับมือเหตุไม่คาดฝันไว้ให้ดี

ถ้าเธอกลายเป็นวายร้าย จะมีใครสักคนต้องบาดเจ็บ และมีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กปี 1/0

ริบบิ้นเส้นนี้คือหลักประกันฉุกเฉินของฉัน

‘พรในริบบิ้นจะช่วยปกป้องอีเรนาและเด็กคนอื่นๆ ได้หนึ่งครั้ง’

เหตุการณ์อุทยานแห่งชาติแนจังซา บนภูเขาแนจังซาน

ฉันใช้แสงประทาน ‘สัมผัสแห่งนิพพาน’ ของตัวละครที่กอบกู้สถานการณ์ดังกล่าว—นักบุญแห่งแนจังซาน—เพื่อเคลือบพรลงในริบบิ้นอีเรนา

เนื่องจากสิ้นเปลืองพลังอย่างวายป่วง หลังจากแจกพรระดับนี้ ฉันจะใช้ ‘เส้นทางเพลเยอร์’ ไม่ได้ไปสักพัก ซึ่งนับว่ามีความเสี่ยงมาก

โชคดีที่ตลอดหลายวันหลังจบเอพริลฟูล ชีวิตประจำในวันโรงเรียนแสงเงินผ่านไปอย่างสงบสุข

“ขอโทษที่คืนให้ช้านะ”

ฉันซ่อนอารมณ์ซับซ้อนขณะพูด

ต่อให้เธอกลายเป็นวายร้ายจริง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าอีเรนาจะพกริบบิ้นติดตัวในเวลานั้น

ได้แต่หวังว่า วันที่ต้องพึ่งพาพรในริบบิ้นจะไม่มีวันมาถึง

* * *

วันถัดมา

ถือเป็นวันที่สงบสุข ยกเว้นเรื่องที่เม็งเฮียวทงเอาแต่บ่นฉันตลอดทางตั้งแต่ลิฟต์หอพักมาจนถึงห้องเรียน

ดูท่าจะยังหงุดหงิดที่ถูกฉันทิ้งไว้กลางห้องอาหารเมื่อวาน

ไม่สิ วันนี้ไม่สงบสุขสักเท่าไร

“เมื่อเช้าฉันได้ยินมาว่า มีเพื่อนร่วมรุ่นของเราบางคนสูญเสียพลังพิเศษหลังอายุสิบเจ็ด… เห็นว่าเป็นคนเดียวกับที่ถูกพบหมดสติในอาคารเรียนเก่า”

ซาวอลเซอึมได้ฟังข่าวมาจากที่ใดสักแห่ง

คิมยูรีกับอีเรนาช่วยเสริมเป็นนัยว่าได้ยินมาเช่นกัน

“เห็นว่าพออายุครบสิบเจ็ด พลังพิเศษของเพลเยอร์มีโอกาสหายไป แต่ไม่เคยได้ยินว่าเกิดที่เกาหลีใต้มาก่อน”

“ถ้าสูญเสียพลังพิเศษไป ตามสถิติแล้วไม่มีใครเคยฟื้นฟูกลับมาได้… ถ้าไม่มีพลังพิเศษแล้วจะโดนไล่ออกไหม?”

“โดนแน่นอน… กฎของโรงเรียนคือไล่ออกสถานเดียว แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ฮันอีที่ฟังเงียบๆ มาตลอดช่วยเสริม

เนื่องจากหูหนวก เธอต้องดำรงชีวิตอย่างเสียเปรียบในหลายด้าน

ฮันอีไม่อยากถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะทำผิดกฎ จึงต้องศึกษาทุกข้ออย่างละเอียด

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือเนี่ย…”

สีหน้าของเม็งเฮียวทงไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความกังวล

วางใจได้ เม็งเฮียวทง

พลังพิเศษของนายจะไม่หายไปจนวันตาย ตรงกันข้าม นายจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนได้ฉายาว่า ‘ตัวละครโกงบรรลัย’

‘อีกไม่นานทุกคนจะได้รับรู้ว่า เด็กทั้งสองคนที่สูญเสียพลังพิเศษ สอบเข้าโรงเรียนแสงเงินด้วยช่องทางทุจริต’

ฉันแสร้งทำหน้าประหลาดใจ ราวกับไม่เคยทราบเรื่องราวมาก่อน

วังจีโฮมองฉันในสภาพนั้นเป็นเวลานาน

“มีอะไร?”

วังจีโฮอมยิ้มพร้อมกับพูดด้วยสีหน้ายียวน

“ก็ได้ จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน”

เออ ช่วยแกล้งทำเป็นไม่รู้ด้วย

***

ไม่กี่วันหลังจากนั้น

มีการตรวจสอบซ้ำประมาณสิบครั้ง แต่พลังพิเศษที่หายไปของนักเรียนก็ยังไม่กลับมา

ระหว่างการสืบสวนพบว่า นักเรียนทั้งสองโกงผลการสอบเข้า ด้วยความช่วยเหลือของชเวย็อนทึกที่กำลังถูกตั้งค่าหัว ท่าทีของโรงเรียนจึงพลิกจากหน้าเป็นหลังมือ

“คนเราต้องซื่อสัตย์เข้าไว้สิ! ไม่คิดเลยว่าโรงเรียนแสงเงินจะมีพวกขี้โกงหลงเข้ามา! สมน้ำหน้าที่พลังพิเศษหายไป!”

ได้ยินคำพูดเจือความโมโหของคิมยูรี ซาวอลเซอึมกับฮันอีเงยหน้าขึ้น

“ไม่เห็นต้องโกงเลยเนอะ แค่ตั้งใจเรียนก็พอแล้ว”

“ใช่”

สองคนนี้เป็นพวกพรสวรรค์ล้นเหลือจนสอบเข้าได้ด้วยการอ่านหนังสือที่บ้าน จึงไม่เข้าใจความโหดร้ายของระบบการศึกษา

ในทางกลับกัน เพื่อให้พ่อแม่ยอมรับ อีเรนาที่อ่านหนังสือจนเลือดตาแทบกระเด็นแต่สอบผ่านคาบเส้น ตัดสินใจปิดปากเงียบ

“จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นพวกมันในงานแข่งเลย ขนาดดูโง่ๆ อย่างบังยุนซบยังเจอตั้งหลายรอบ พวกนั้นคงไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยซ้ำ”

เป็นคำพูดของเม็งเฮียวทงที่ผ่านเกณฑ์โรงเรียนด้วยฝีมือการต่อสู้เพียวๆ

เมื่อฟังเรื่องราวต่อไป ฉันได้ทราบว่าจะมีการสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อสาวไปถึงกลุ่มนักเรียนที่สอบเข้าด้วยเกรดต่ำกว่าเด็กที่ถูกไล่ออก

‘แต่คนเหล่านั้นยังมีโอกาส ขอแค่ตั้งใจเรียนให้หนัก ก็ยังมีสิทธิ์ได้อยู่ที่นี่ต่อไป’

กลุ่มนักเรียนที่ทุจริตการสอบเข้าแต่ไม่ใช่พวกนิสัยโฉดชั่ว ถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จนตกที่นั่งลำบากทันที

หลายฝ่ายแสดงความเห็นว่า ถ้าสอบกลางภาคได้คะแนนในระดับ 10% ของกลุ่มต่ำสุด ก็ควรจะย้ายโรงเรียนเพื่อตัวเอง

“แล้วทำไมเด็กที่ถูกไล่ออกถึงถูกพบในอาคารเรียนเก่า? อ่านจากกระดานข่าวทั่วไป เห็นว่าสองคนนั้นถูกวิญญาณครูลากตัวไปลงโทษ…”

“โรงเรียนแสงเงินมีเทวดาผู้พิทักษ์รึเปล่า?”

ซาวอลเซอึมตอบคำถามคิมยูรี

เพ้อเจ้อ

เทวดาผู้พิทักษ์บ้าบออะไรกัน

ชื่อเห่ยพอๆ จอมโจรผาแดง

ขณะฉันทำหน้าบิดเบี้ยว วังจีโฮข้างๆ ระเบิดเสียงหัวเราะ

“ฮะฮะฮะฮะ!”

ไอ้เวร

ถ้าจะทำเป็นไม่รู้ก็ช่วยเงียบๆ ได้ไหม

นักเรียนที่เหลือพลันทำหน้าฉงนเมื่อเห็นวังจีโฮระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ไม่มีใครคิดอะไรเพราะเขาเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้ว

* * *

ในวันที่มีข่าวว่านักเรียนทุจริตสองคนถูกไล่ออก

ข้อความมากมายถูกส่งมาถึงอุปกรณ์ของฉัน

[พัคซึงยอน] ขอบใจนะ

หลังจากนี้ พัคซึงยอนจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโรงเรียนแสงเงินแล้ว

เด็กเปรตสองคนนั้นจะไม่มีโอกาสได้ฆ่าเจ้าก้อนสำลี กลั่นแกล้งอันดาอิน และนักเรียนส่วนใหญ่ก็จะไม่ตายเพราะถูกผนึกประตูทางออก

ฉันบันทึกข้อความของพัคซึงยอนเก็บไว้

[อูซังฮุน] ฮะฮะ!

อูซังฮุนไม่ได้คุยผ่านแชตรวมที่มีจางนัมอุก แต่เป็นการส่งข้อความส่วนตัว

เขาที่มีลางสังหรณ์ค่อนข้างแม่นยำ ดูเหมือนจะคาดเดาบางสิ่งได้

นั่นสินะ ฉันเคยถามชื่อเด็กสองคนนั้นก่อนเอพริลฟูลจะเริ่ม ถ้าเดาไม่ได้ก็คงจะแปลกกว่า

ข้อความถูกลบออกทันที

[ฮงกยูบิน] อึยชิน! ทำไมโรงเรียนแสงเงินมีเรื่องเกิดขึ้นมากขนาดนี้ ㅠ�

สงสัยฮงกยูบินจะต้องทำโอทีเพิ่ม

เขาบ่นปวดหัวที่ต้องคิดพาดหัวข่าวใหม่ เพราะคดีที่เด็กสองคนสูญเสียพลังพิเศษหลังอายุสิบเจ็ด ดันมีส่วนพัวพันกับคดีของชเวย็อนทึก

ข้อความเหล่านั้นถูกฉันเมิน

* * *

หนึ่งวันหลังจากเด็กเปรตสองคนถูกไล่ออก

ดอกซากุระเริ่มบานในโรงเรียนแสงเงิน

วันนี้ฉันบังเอิญเจอกับเม็งเฮียวทงกับซาวอลเซอึมที่ล็อบบี้ของหอพัก พวกเราจึงเดินไปโรงเรียนด้วยกัน

ระหว่างเดินไปยังอาคารเรียนปีหนึ่ง ทั้งสองช่วยกันวิเคราะห์รสชาติสโคนรสราสเบอร์รีของห้องอาหารหอใน

ทันใดนั้น

กี๊ดดด!

เสียงกรีดร้องดังมาจากบริเวณใกล้กับทางเข้าเขตปีหนึ่ง

ฟังดูคล้ายเสียงร้องของไดโนเสาร์มีปีกมากกว่ามนุษย์

ดูจากสีป้ายชื่อ คนที่กำลังมุงดูไม่ใช่แค่เด็กปีหนึ่ง แต่ยังรวมถึงปีสองและปีสาม

เกิดอะไรขึ้น?

“คนเยอะจัง ไปดูกันเถอะ!”

“ตกลง”

“เห็นด้วย! วันนี้อากาศดี ถือโอกาสเดินเล่นไปในตัว! ดอกไม้ที่บานรอบทางเดินเขตปีหนึ่งสวยมาก… ระหว่างบินเล่นในตอนเช้า ฉันบังเอิญเห็นทิวแถวซากุระทอดยาวจากเขตปีหนึ่งไปถึงเขตส่วนกลางด้วยล่ะ! แต่มันอยู่ค่อนข้างไกลจากภูเขาปีกสวรรค์…”

ขณะพวกเราหันไปยังทางเดินใกล้กับเขตปีหนึ่ง

“เดี๋ยว”

เสียงอันไพเราะจนจับใจ

เราสามคนหันหน้าไปทางต้นเสียงพร้อมกัน

สุภาพบุรุษมาดสง่างามรายหนึ่งในเครื่องแบบโรงเรียน กำลังยืนขวางทาง

‘นี่มัน… ย็อมจุนยอล…!’

ตัวละครที่ฉันใช้ทำลายงานประมูลมายา

ลูกชายของ ‘ราชันเพลิงสีชาด’ ย็อมบังยอลแห่งทีมสิงโตแดง

ลูกหลานเผ่ามังกร ‘มังกรแดงน้อย’ ย็อมจุนยอล

เขากำลังยืนอยู่หน้าห้องเรียนปี 1/0

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด