ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 268 แลกเปลี่ยนเรื่องการบ่มเพาะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 270 การจากลาอย่างสง่างาม

MDB ตอนที่ 269 เครื่องรางเบญจอัคคี


ไม่ใช่แค่หวู่เฉียนเท่านั้น แม้แต่วานรยักษ์ขาวและปีศาจวานรที่กำลังคุยกันก็ตกใจกลัว รยางค์ได้หดตัวกลับเข้าไปในโลงศพราวกับว่ามันเจอเรื่องน่าตกใจ ในขณะที่ เสี่ยวฮั่วดูงุนงงและอยากรู้อยากเห็นเป็นส่วนใหญ่

“นี่ นี่มัน…” หวู่เฉียนประหลาดใจเกินไปที่เขาทำเหล้าหกออกจากชามของเขา

“นี่คือเครื่องรางเบญจอัคคี!” หวู่เฉียนอุทานออกมาพร้อมกับวางชามลง

เขาตกใจเกินคำบรรยาย เนื่องนจากเครื่องรางเบญจอัคคีเป็นหนึ่งในเครื่องรางที่เก่าแก่ที่สุดที่สืบทอดมาจากนิกายเมฆา ไม่มีใครสามารถสร้างได้ตั้งแต่รุ่นอาจารย์ของเขา แม้ว่าคำจารึกจะตกทอดเรื่อยมา แต่ก็ไม่มีใครสามารถสร้างมันได้

แต่วันนี้หลินจินที่เขียนเป็นครั้งแรกกลับประสบความสำเร็จ เขาสามารถเรียกใช้มันได้ทันที

หลังจากจ้องมองที่คำจารึกที่ถูกเผาไหม้เป็นเวลานาน ในที่สุด หวู่เฉียนก็ถามขึ้นว่า “ผู้ประเมินหลิน ท่านเคยศึกษาคำจารึกของเครื่องรางเบญจอัคคีมาก่อนหรือไม่?”

พูดตามตรง หลินจินก็ตกใจพอ ๆ กับหวู่เฉียน

เขาส่ายหัว อันที่จริงเขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แต่เขามีความเฉลียวใจว่าทำไมคำจารึกของเขาจึงใช้ได้ผล

ในขณะที่ศึกษาการเขียนคำจารึกก่อนหน้านี้ เขาเข้าใจว่าส่วนหนึ่งของมันต้องยืมพลังจากบางอย่างเพื่อให้การสร้างประสบความสำเร็จซึ่งหวู่เฉียนได้เล่าถึงความล้มเหลวของเขาหลังจากเขียนมันมาหลายสิบปี ดังนั้น หลินจินจึงสงสัยว่าปัญหาเกิดจากแหล่งพลังที่ต้องการยืมมาหรือไม่?

ด้วยเหตุนี้ หลินจินจึงเปลี่ยนแปลงส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคำจารึก

และมันก็ได้ผล

ขณะที่หวู่เฉียนยังคงตกตะลึงและสับสน หลินจินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหวู่ ท่านลองดูที่คำจารึกให้ละเอียด ท่านจะสังเกตเห็นความแตกต่างคำจารึกของข้าและของท่าน”

นี่เป็นคำใบ้ที่ชัดเจน

เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าศึกษาอย่างรอบคอบทันทีและพบความแตกต่าง

เครื่องรางเบญจอัคคีของหลินจินแตกต่างจากที่เขารู้จักเล็กน้อย ตรงถ้อยคำในส่วนที่ขอยืมพลังจากเทพ

ในถ้อยคำไม่ได้ระบุถึง 'เทพเบญจอัคคี' ที่เขาคุ้นเคย มันถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ แทน

“ผู้ประเมินหลิน ท่านใช้ชื่อของเทพองค์ไหน?” หวู่เฉียนยังคงสับสน เขาจึงรีบเอ่ยปากถามในทันที

หลินจินยิ้ม

“มันไม่ใช่เทพแต่เป็นชื่อสัตว์วิเศษของข้า”

"อะไรนะ? สัตว์วิเศษ?” หวู่เฉียนตกใจ

หลินจินเรียกเสี่ยวฮั่วมา เจ้าหมาป่าในปัจจุบันมีขนาดเท่าแมว ปกคลุมด้วยขนสีแดงเข้ม และเปล่งออร่าลึกลับออกมา

นี่คือกายาแห่งธรรม

ขณะที่เขาจ้องมองที่หมาป่าไฟตัวเล็ก หวู่เฉียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแหล่งพลังในการใช้งานเครื่องรางเบญจอัคคีของหลินจินมาจากเจ้าตัวเล็กตัวนี้

หลินจินรู้ว่าความสำเร็จของเขาไม่ได้มาจากความเชี่ยวชาญในเรื่องเครื่องราง ความรู้ของเขาในศาสตร์แห่งเครื่องรางมีเพียงเศษเสี้ยว มันคงไม่อาจเทียบกับผู้เฒ่าลัทธิเต๋าได้ แต่เขาสามารถทำได้เป็นเพราะเขาจับจุดได้ถึงแกนหลักของใช้เครื่องรางมาจากหวู่เฉียนได้

สาเหตุที่ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าใช้ไม่ได้เพราะเขาไม่มีแหล่งพลังงานให้กับเครื่องราง มันไม่ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของนิกายของเขา มันไม่เหมือนกับที่หลินจินใช้ก่อนหน้านี้ซึ่งมีพลังที่สอดคล้องกับคำจารึกอย่างพอดิบพอดี

ถ้าเกิดเขาเขียนคำจารึกโดยอิงกับเทพองค์เดิม แน่นอนว่ามันจะไม่ได้ผลแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลินจินจึงคิดว่าทำไมหาหนทางอื่นดู เนื่องจากการบ่มเพาะของผู้อมตะได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ดังนั้น 'เทพเบญจอัคคี' จะต้องไม่มีอยู่อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยืมพลังจากเทพที่ไม่มีอยู่จริง

หลินจินคิดว่าผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเทพนั้น บุคคลเหล่านั้นจะต้องมีกายาแห่งธรรมที่ทำให้ยืมพลังได้ เนื่องจากกายาแห่งธรรมเป็นกุญแจสำคัญ ทำไมเขาถึงไม่ลองใช้เสี่ยวฮั่วเป็นแหล่งพลังงานดู

ดังนั้น หลินจินจึงยืมพลังไฟของเสี่ยวฮั่วและแน่นอนว่ามันได้ผล

นี่เป็นผลจากความเข้าใจของเขา และหลินจินก็ไม่ได้ปิดบัง เขาบอกหวู่เฉียนถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และคนหลังก็อ้าปากค้าง ในตอนแรก มันฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล

นอกจากนี้ เขายังตระหนักถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัว

สัตว์เลี้ยงของผู้ประเมินหลินได้บรรลุกายาแห่งธรรมแล้ว!

มันน่าเชื่อถือเกินไป!

ในขณะที่คนอื่นอาจไม่รู้ว่ากายาแห่งธรรมคืออะไร แต่หวู่เฉียนรู้อย่างแจ่มแจ้ง เขาเป็นผู้สืบทอดการบ่มเพาะอมตะแบบดั้งเดิม ในอดีต นิกายเมฆาของพวกเขาได้ผลิตผู้เชี่ยวชาญมากกว่าหนึ่งคนที่สามารถฝึกฝนกายาแห่งธรรมได้ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องนี้ไม่มากก็น้อย

เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีกายาแห่งธรรมด้วยตาตัวเอง

แถมผู้ที่บรรลุกายาแห่งธรรมกลับเป็นสัตว์วิเศษอีกด้วย

ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดาย

นี่คือความคิดที่แท้จริงของหวู่เฉียน

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่พูดออกมาดัง ๆ นอกจากนี้เขายังรู้สึกประทับใจกับหลินจินโดยรำพึงในใจว่า

'ตามที่คาดไว้สำหรับศิษย์ของยอดฝีมือ แม้ว่าเครื่องรางเบญจอัคคีจะไม่ใช่คำจารึกที่ซับซ้อน แต่ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วในปัจจุบัน เมื่อคิดว่าผู้ประเมินหลินสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ด้วยแนวทางที่แตกต่าง มันก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อขึ้นไปอีก'

นี่เป็นทักษะของยอดฝีมือที่แท้จริง

ทันใดนั้น หวู่เฉียนได้สอนหลินจินถึงคำจารึกอื่น ๆ ที่ตกทอดมาจากนิกายเมฆาของเขา นอกจากเครื่องรางเบญจอัคคีแล้ว เขายังมีเครื่องรางเบญจอัสนีอีกด้วย

ในบรรดาเครื่องรางเบญจธาตุ นิกายเมฆามีเพียงสองอย่างเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้แต่หลินจินก็ไม่สามารถใช้งานเครื่องรางเบญจอัสนีได้ เพราะเขาไม่มีแหล่งพลังงานให้ยืม เว้นแต่เขาจะหาสัตว์เลี้ยงที่มีธาตุสายฟ้าและมีกายาแห่งธรรม

จากนั้น ทั้งสองยังคงสนทนากันต่อ พวกเขากินและดื่มจนกระทั่งมืดค่ำ ณ ตอนนี้ อาหารและเหล้าได้หมดลงแล้ว

หัวข้อการสนทนาของพวกเขาในตอนนี้คือการศึกษาสัตว์วิเศษและอสุรกาย

“ผู้ประเมินหลิน รูปแบบพลังงานอสูรที่ท่านมอบให้ข้า เนื้อหาของมันช่างน่าพิศวงอย่างแท้จริง ข้าได้ปล่อยให้ปีศาจวานรลองฝึกฝนมันแล้ว”

ทันใดนั้น หวู่เฉียนก็เปลี่ยนเรื่องไปที่ปีศาจวานร

เมื่อเข้าใจถึงความตั้งใจของเขา หลินจินก็ยิ้มและเสนอว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอตรวจสอบเขาดูได้หรือไม่?”

หวู่เฉียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดและเรียกปีศาจวานรมาทันที

ลิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่แน่นอน เขาเพิ่งคุยกันแต่ตอนนี้หลับไปแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เมื่อได้ยินผู้เฒ่าลัทธิเต๋าเรียกเขา เขาส่ายหัวและเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ

“รีบมาเร็วเข้า ผู้ประเมินหลินกำลังรอเจ้าอยู่” ผู้เฒ่าลัทธิเต๋ากล่าวอย่างเคร่งขรึม

ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าได้อบรมสั่งสอนปีศาจวานรมาหลายปีแล้ว ดังนั้นฝ่ายหลังจึงได้เรียนรู้มารยาทพื้นฐานมาอย่างแน่นอน เขามาข้างหน้าและทำความเคารพ

“คารวะ ท่านผู้ประเมินหลิน”

หลินจินพยักหน้าและตวัดเข็มไปที่จุดหนึ่งของปีศาจวานร หลินจินในตอนนี้ได้บรรลุความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในการประเมินสัตว์วิเศษด้วยเข็มลวดขดของเขา ดังนั้นปีศาจวานรจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินจินได้ทำการประเมินเขาแล้ว

หลินจินพบว่าสถานะของปีศาจวานรไม่ธรรมดา เขาเป็นเพียงอสุรกยระดับสอง แต่ได้ฝึกฝนการแปลงร่าง ปรับแต่งกล่องเสียง และเข้าใจภาษามนุษย์ได้แล้ว

น่าอัศจรรย์มาก

แต่เมื่อคิดอีกครั้ง นิกายเมฆาของผู้เฒ่าลัทธิเต๋ามีเครื่องรางพิเศษเพื่อปรับแต่งกล่องเสียง และการแปลงร่าง ดังนั้นปีศาจวานรจึงสามารถอยู่ในร่างมนุษย์และพูดได้แม้จะเป็นเพียงระดับสองก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ หลินจินจึงคาดเดาว่านิกายเมฆาของผู้เฒ่าลัทธิเต๋าต้องเป็นนิกายที่ไม่ธรรมดาสำหรับการบ่มเพาะของผู้อมตะอย่างแน่นอน

หลังจากบันทึกรายละเอียดของปีศาจวานรลงในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษแล้ว ตอนนี้หลินจินก็มีรายละเอียดที่ครอบคลุมเกี่ยวกับปีศาจวานรแล้ว เมื่อมองดูผ่าน ๆ หลินจินก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าอสุรกายตนนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่อสุรกายหายากที่มีศักยภาพสูง

นอกจากศักยภาพของเขาแล้ว ปีศาจวานรยังได้สะสมประสบการณ์ค่อนข้างมาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงแสดงสัญญาณของการวิวัฒนาการออกมาแล้ว

‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมฉันไม่ช่วยให้เจ้าลิงตัวนี้วิวัฒนาการล่ะ?’

ณ ตอนนี้ หลินจินสามารถทำการวิวัฒนาการจากระดับหนึ่งขึ้นสู่ระดับสามอย่างง่ายดาย โดยที่เขาแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ

*บูม!*

ทันใดนั้น ออร่าอันทรงพลังได้พวยพุ่งมาจากปีศาจวานรในพริบตา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด