ตอนที่แล้วตอนที่ 1101 วันหนึ่งเจ้าจะเป็นคนแรก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1102 ภาระที่หนักหน่วง

ตอนที่ 1222 ความฝันไม่รู้จบ


ชุนหวีทั้งอับอายและโกรธเขาตวาดด้วยความโมโห

รอจนเขาสงบใจได้

เขาพบว่าตนเองยืนอยู่ตรงทางเข้าวังเทียนหลัวเหมือนเมื่อตอนขามาราวกับว่าไม่ได้ย่างเท้าเลยสักก้าว นอกจากนี้เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางผู้อยู่ในชุดบัณฑิตวัยกลางคนก็ยังรู้สึกเหมือนเขา  ขณะเดียวกันทั้งสองคนมองหน้ากันเองไม่มีใครเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้เข้าวังเทียนหลัวอย่างสง่าผ่าเผยหรอกหรือ?   นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาในฝันซ้ำซ้อนเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

ทหารรักษาทางเข้าวังเทียนหลัวยังคงยืนเฝ้ารักษาการณ์ราวกับว่าไม่เห็นอะไรที่ข้างหน้าพวกเขา

ขุนพลเฉียนมู่ที่ซื่อสัตย์ที่สุดยืนถือดาบในมือ

นิ่งไม่มีความเคลื่อนไหว

ในขณะนั้นมีนางกำนัลประจำวังคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างในทั้งชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางจำสตรีคนนี้ได้นางสุภาพและมีมารยาทน่าชื่นชมเหมือนที่ได้พบก่อนหน้านั้น

นางกำนัลผู้เหมือนบัวแรกแย้มเดินมาถึงหน้าชุนหวีและเจ้าตำหนักตงฟางทั้งส่งเสียงเชิญอย่างมีมารยาท “อาคันตุกะมาถึง ฝ่าบาทขอเชิญ”

คำนี้นางเพิ่งพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ?เห็นได้ชัดว่าเขายังเล่าเรื่องเสียดสีต่อว่า ตอนนี้มันกลายเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?

ทุกอย่างเหมือนเหตุการณ์ก่อนฝันไม่ใช่หรือ?

เจ้าตำหนักตงฟางตื่นเต้นเล็กน้อยและก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกมา เขาถาม “เจ้าจะส่งอาหารให้ฝ่าบาทใช่ไหม?”

นางกำนัลน้อยได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยและไม่ตอบโดยตรงนางหยุดและหันกลับมาแสดงความคาราวะเล็กน้อยให้กับเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางก่อนลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อสายตาทั้งสองมองดูนางพวกเขาเหลียวกลับมายังที่เดิมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทั้งสองยืนอยู่ต่อหน้าหัวซิ่วรี่

มีนางกำนัลหญิงคนหนึ่งเดินออกมาอย่างกระตือรือร้นเป็นนางกำนัลที่ทำหน้าที่จัดกระยาหารถวาย

พอเห็นเจ้าตำหนักตงฟางและชุนหวี

ดูเหมือนว่านางจะผงะถอย

อย่างไรก็ตามนางสงบกิริยาได้ในเวลาอันรวดเร็วและทักทายพวกเขาอย่างนอบน้อมจากนั้นกลับไปจัดการอาหารต่อไป

ชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันร้าย  แต่หาไม่พบว่าเกิดอะไรขึ้น?

บางที...

พวกเขาทั้งสองหันกลับไปมองข้างหลังทันทีหลังจากได้ยินเสียงที่อยู่ด้านหลังพวกเขา

เมื่อมองแวบแรกทั้งสองไม่ได้เคลื่อนไหวก็แล้วไปถ้าเคลื่อนไหวเหมือนมีแผ่นดินถล่มข้างหน้า ในที่สุดก็อดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้ เหตุผลเพราะชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีใครพูดถึง  “ชุนหวีเมื่อเห็นฉากภาพนี้ข้ารู้สึกว่านางกำนัลที่ตำหนักมีความรู้และพัฒนาก้าวหน้า  การศึกษานี้ทำได้ยังไง? มารยาทนี้คืออะไร?ความเอื้ออาทรนี้คืออะไร? จิตวิญญาณนี้คืออะไร? ข้าคิดว่าในโลกนี้ยังมีเด็กผู้หญิงนี้หรือไม่!”

“สองท่านเดินทางมาไกลเป็นพันๆไมล์เพื่อพูดคุยเรื่องนางกำนัลของข้าหรือ?” เสียงตำหนิของจักรพรรดิดังนั้น

“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เรามาเพื่อเรื่องนี้...เราผู้เฒ่าเป็นนักฝันที่ดีคนหนึ่งข้าเดินทางข้าโลกมาเพื่อสำรวจความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาสามัญที่สับสนแต่ขยันหมั่นเพียร โปรดแนะนำข้าด้วย!”  บุรุษชื่อชุนหวีกล่าว

ถ้าใช้มุมมองของอีกคนหนึ่งชุนหวีเห็นได้อย่างชัดเจน

เมื่อเขาพูดแบบนี้

ใบหน้าของตัวเขาเองนั้นมีความพึงพอใจและพยายามยั่วยุ การค้นพบนี้ทำให้ชุนหวีประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยพบว่าทัศนคติของเขาช่างหยิ่งยโสดวงตาของเขาเย่อหยิ่งลำพอง หากเขาไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อนเขาอาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าใดนัก แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออกนอกจากหลั่งเหงื่อเยียบเย็น

ถูกแล้วตัวเขาเองพูดไม่ออก

อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่เร็วเกินไปที่จะแสดงความเย่อหยิ่งเช่นนั้น

ทันทีที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตเรื่องราวบทสนทนาและคำพูดที่น่าตกใจ การกล่าวอ้างว่าเป็นเทพแห่งความฝันเพื่อบีบบังคับจิตใจคนที่ชมดูกระทั่งถึงตอนที่เรียกดาวตกร่วงลงมากลายเป็นดอกไม้สีแดง ชุนหวีพบว่าเขาเพลี่ยงพล้ำแสดงออกไปเหมือนกับคนโง่ ความรู้สึกอับอายปรากฏอยู่บนใบหน้าจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

“ฝ่าบาทท่านคิดยังไงกันแน่?” เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเห็นตัวตนของเขาถามอย่างนี้

“ฝันได้ไม่เลวเมื่อเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้!” หัวซิ่วรี่ยังตอบเหมือนก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเยาะเย้ยพอแล้ว

“เจ้าว่ายังไงนะ?”  ชุนหวีเห็นว่าเขากำลังโกรธเขาเห็นความอับอายและความกลัวของตนเองได้อย่างชัดเจนและอยากจะออกไปทันทีและไม่ย่างเท้าเข้ามายังวังเทียนหลัวอีก

“คำพูดของเด็กน้อยจอมโวเจ้าบ่นเพ้อเจ้อเปลืองน้ำลายข้าจะพักแล้ว ดังนั้นเจ้ายังจะออกไปไม่ได้” จักรพรรดิหัวซิ่วรี่พูดเหมือนเดิมคราวนี้ก่อนที่หัวซิ่วรี่จะพูดจบชุนหวีใช้ความเร็วที่สุดหนีออกจากวังเทียนหลัวอย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตของเขา  หลังจากหนีออกมาจากวังเทียนหลัวแล้วเขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะบ้า เขาไม่ได้ไปที่แห่งใดๆ ในโลก มาเพียงวังเทียนหลัวและรู้ว่าหัวซิ่วรี่เป็นนักฝันที่เก่งที่สุดในโลกน่าเสียดายที่ฝันของเขาสลายอย่างแท้จริง

ถ้าเขาบอกว่าอับอายตอนนี้เขาจะตื่นขึ้นและพบว่าความฝันของเขาช่างโง่เขลา

ดังนั้นตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นมดที่อยู่ในรังมด

ฝันถึงความไร้สาระในฝันของคนอื่น

ตื่นจากฝันไม่ได้เป็นมนุษย์คนหนึ่งเป็นแค่มดตัวหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในความฝันของคนอื่น..เขาไม่รู้ว่าหลบหนีมาไกลกี่ไมล์แล้วจนกระทั่งเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางต้องเรียกเขาและปลอบโยนไม่ให้เขาท้อใจ  เขาหลับตาด้วยความเจ็บปวด ตราบใดที่เขาลืมตาเขาจะเห็นว่าตัวเองหยิ่งยโสอยู่ต่อหน้าวังเทียนหลัวชูมือประกาศอย่างภูมิใจว่าเขาคือเทพแห่งความฝันภาพที่ไร้สาระของคนที่อ้างว่าทำได้ทุกอย่าง

อย่าว่าแต่เป็นเทพแห่งความฝันเลยแม้แต่จะเป็นคนก็ยังนับไม่ได้

อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่เขาผู้มีความมั่นใจในตัวเองว่าฝึกฝนมาหลายพันปีคิดว่าสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างเป็นแค่เพียงมดที่มุดเข้าไปอยู่ในความฝันของคนอื่น ไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้แต่ก็ยังแยกเขี้ยวกางเล็บอวดอ้างว่าตนเองเป็นเทพ... ชุนหวีแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลั่งน้ำตาสองสาย

จนกระทั่งถึงวันนี้

เขาเพิ่งเห็นตัวเองครั้งแรก

ปรากฏว่าเขาเคยใช้ชีวิตอยู่แต่ในความฝันตัวเองไม่เคยเห็นตัวเองมาก่อน และเขาไม่เคยเห็นโลกนี้!

“ชุนหวี,พ่ายแพ้การต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าคาดไว้แล้ว”  เจ้าตำหนักตงฟางกล่าวปลอบโยน  “ถ้าคนผู้นั้นจัดการได้ง่ายดายจริงๆอย่างนั้นคนที่อยู่ในความมืดคงเริ่มไปแล้ว ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นแม้แต่คนที่อยู่ในตำหนักกลางก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาสามารถทำลายความฝันได้!  ทุกคนรู้ว่าทางเข้าที่ปลอดภัยเพื่อเข้าสู่ใจกลางดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพตกอยู่ในมิติลวงตาใครจะผ่านเข้าไปอย่างปลอดภัยได้เล่า?”

“ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจเลยจริง  ฝึกฝนกันมาหลายพันปี แต่กลับกลายเป็นเหมือนมดแมลงตัวน้อย!” ชุนหวีกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายความฝันแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ แต่ก็เป็นความพยายามที่ดีมาก แต่อย่างน้อยพวกเราทุกคนก็ถอยกลับออกมาได้จริงไหม?  ในใต้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่จะมีสักกี่คนที่ถอยออกมาจากมิติเงาลวงได้?”  เจ้าตำหนักตงฟางปลอบโยนอย่างอดทนและชุนหวีผู้พ่ายแพ้และล้มเหลวในการทำลายความฝัน เขาได้เตรียมจิตใจไว้แล้ว  ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง สิ่งที่สำคัญคือชุนหวีมีทักษะแฝงเร้นในการทำลายฝันคงมีสักวันที่จะต้องทำลายความฝันให้สำเร็จ!

“จริงหรือ?”ชุนหวีลืมตาทั้งสองข้าตั้งใจมองหาความเบาใจมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองครั้งนี้ก็ต้องร้องด้วยความตกใจ

เพราะเขาพบว่า

เขาไม่รู้ว่ากลับไปที่ประตูทางเข้าวังเทียนหลัวตั้งแต่เมื่อใดทหารองครักษ์ยืนตัวตรงเฝ้าหน้าประตูโดยไม่วอกแวก

มีนางกำนัลคนหนึ่งอยู่ข้างในเดินออกมาจากตำหนักพร้อมกับฝีเท้าที่รวดเร็วและพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะมากมารยาท“อาคันตุกะมาเยือน ฝ่าบาทขอเชิญ”

คราวนี้แม้แต่เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางก็ยังขมวดคิ้วชุนหวีตัวสั่นด้วยความกลัว เขาหายใจลึกๆ และเตรียมพร้อมจะถามคำถามก่อนหน้านี้  “เจ้าเตรียมกระยาหารให้ฝ่าบาทหรือ?”

นางกำนัลรอให้เขาถามก็หยุดและหันมาให้คำตอบ“ข้าน้อยจัดกระยาหารให้ฝ่าบาทแล้ว!”

เจ้าตำหนักตงฟางมีสีหน้าเจ็บปวดเหมือนถูกนกจิกแต่จากนั้นเขาหันไปทันที

เขาคืนสู่สภาพของบัณฑิตผู้สุภาพอีกครั้ง

ชุนหวีตัวสั่นอีกครั้งและเจ้าตำหนักมีสีหน้าเห็นใจสงสาร เขาส่ายหน้าเล็กน้อย

ฉากภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งก่อนที่จะกลับไปที่ห้องโถงอีกครั้ง มีนางกำนัลคนหนึ่งส่งกระยาหาร ชุนหวีส่งเสียงร้องโหยหวนพยายามดิ้นรนหนีบางอย่างที่ไม่มีที่สุดอย่างบ้าคลั่ง  อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ไม่สามารถหยุดการฉายภาพการสนทนาเล่าเรื่องความฝันของหัวซิ่วรี่และเขาอ้างตัวว่าเป็นเทพ... ทุกอย่างฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชุนหวีคุกเข่ากับพื้นอย่างทรมานดวงตาแทบถลนจากเบ้า เขามองดูเหมือนนักโทษ

ตรงกันข้ามเจ้าตำหนักตงฟางมองดูภาพนี้อย่างเบาใจ

จากนั้นหัวซิ่วรี่พูดต่อ  ‘ดีงั้นไม่ส่งแล้ว’

เขาตอบมาทางท้องพระโรงใหญ่“โปรดให้จักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อออกมาเถอะ แล้วตงฟางจะกลับมาสนทนากับท่านอีก”

ภายในห้องโถงใหญ่ดูเหมือนมีเสียงถอนหายใจเลือนรางแต่เหมือนกับลมพัดผ่านไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางคิดเล็กน้อยและจำได้ว่าดูเหมือนว่าครั้งแรกที่เกิดเหตุจักรพรรดิจะพูด ‘ข้าคิดว่าตอนนี้ชัดเจนพอแล้ว’ หลังจากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจ

ในเวลานี้เขากลับพูดชื่อจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อหรือ?

เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางได้นำความสงสัยนี้เข้ามาที่หน้าวังเทียนหลัวอีกครั้ง

ชุนหวีร้องโหยหวนเหมือนคนบ้าและลุกขึ้นทะยานขึ้นท้องฟ้า...เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางส่ายหน้าเล็กน้อย และก้าวเดินไปเรื่อยๆ สองก้าวแล้วก้าวเข้าจัตุรัสด้านนอกตอนนี้ภาพอุกกาบาตหายไป ชุนหวีปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตูวังเขาทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความกลัวและโบกมือกรีดร้องขณะที่นางกำนัลน้อยเดินออกมาจากตำหนัก  “ไม่, ข้าจะไม่มาอีกแล้ว ขอร้องข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ปล่อยข้าไป ข้าจะไม่มายังหอทงเทียนอีก ข้าจะไม่มาอีกแล้วปล่อยข้าไปเถอะ...”

เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางส่ายหน้าช้าๆ

ความดีความชอบพันปี

จากคนผู้น่ากลัวเปลี่ยนเป็นคนบ้าเสียสติพังทลาย....“สมกับเป็นผู้ปกป้องแดนล่มสลายแห่งทวยเทพจริงๆ!  น่าสนใจ!” เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเดินมือไพล่หลังออกไปข้างหน้าอย่างฉลาดฝีเท้าของเขาไม่หยุดและเขาพึมพำกับตนเองเบาๆ “ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องทำลายหอทงเทียนแห่งนี้  เพราะเหตุนี้จึงต้องทำลายทุกอย่างที่นี่!”

เจ้าตำหนักตงฟางยืนอยู่บนถนนมองเห็นการคมนาคมจอแจในเมือง

เขายิ้ม

เขายังคงกล่าว“ความฝันก็เหมือนชีวิต ชีวิตก็เหมือนฝัน ทำไมในตอนแรกถึงไม่อนุญาตให้ข้ามีความฝัน เพราะข้าไม่มีความฝันข้าจึงต้องทำลายฝันทั้งหมด นี่เป็นเรื่องยุติธรรมแล้ว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด