ตอนที่แล้วบทที่ 919 (40) ระบายความโกรธใส่คนอื่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 921 (42) บอดี้การ์ด

บทที่ 920 (41) ความโกรธและความตั้งใจ(ตอนฟรี)


บทที่ 920 (41) ความโกรธและความตั้งใจ

“เล่ยซือ อย่าทำให้เป็นปัญหาใหญ่เลย!” จางหยุนพูดอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม จางเล่ยเพียงแค่ส่ายหัวและยิ้ม “ไม่ต้องห่วงหรอกอาเจ้ ฉันรู้ว่าควรทำอย่างไร มันจะไม่เป็นปัญหากับพวกเราอย่างแน่นอน ที่สำคัญ อาเจ้บอกเองไม่ใช่เหรอว่าลุงเจิ้งเป็นคนบอกให้โทรหาฉัน? นั่นก็หมายความว่าลุงเจิ้งได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยเรื่องนี้ให้ฉันจัดการ แม้แต่ลุงรองยังเชื่อใจฉันเลย แล้วอาเจ้มีอะไรให้ต้องกังวลอีกล่ะ?”

เมื่อฟังสิ่งที่จางเล่ยพูด มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยนิสัยที่เข้มงวดของพ่อ ถ้าเขาไม่มั่นใจจริงๆ เขาคงไม่ลากจางเล่ยให้มายุ่งกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้น นายก็ต้องควบคุมตัวเองให้ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็คิดให้ดีก่อน อย่าผลีผลาม ฉันรู้ว่านายเป็นคนใจร้อน แต่คราวนี้จะใช้อารมณ์เป็นใหญ่ไม่ได้” แม้ว่าในใจของจางหยุนเองก็โกรธมากที่น้องของเธอถูกทำร้าย แต่เพื่อไม่ให้พ่อของเธอต้องตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก เธอจึงต้องมีสติและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด

จางเล่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ถ้าถึงตอนที่ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็ยังมีเจ้าบ้าอยู่ด้วย เขาจะคอยรั้งฉันไว้แน่นอน!”

จางหยุนชำเลืองมองจี้เฟิง จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เท่าที่รู้ ยังมีสมาชิกตระกูลเจิ้งสามสี่คนอยู่ในเจียงโจว เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เหลือเป็นผู้ชาย ทั้งหมดมีอายุไล่เลี่ยกันกับเธอ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาน่าจะอยู่ในมหาวิทยาลัย...”

หลังจากจางเล่ยฟังจางหยุนพูดเกี่ยวกับที่อยู่เสร็จแล้ว เขาก็ยิ้มและพูดว่า “อาเจ้ ฉันกลับก่อนนะ ฝากทักทายเสี่ยวปินแทนฉันด้วย บอกไปว่านายทำได้ดีมาก และถ้าคราวหน้ามีคนมาดูถูกเราอีก อย่าใช้ขวดเหล้าทุบ แต่ให้แทงมันด้วยมีดไปเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นคนของตระกูลเจิ้ง!”

“ให้ตายเถอะ! นายเป็นพวกป่าเถื่อนหรือไง!” จางหยุนอดไม่ได้ที่จะดุด้วยรอยยิ้มและจ้องเขม็งไปที่จางเล่ย

ถงเล่ยที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะตีพี่ชายของเธอ “พี่! พี่สอนน้องแบบนี้ได้ยังไง!”

“เกิดเป็นลูกผู้ชาย มันก็ต้องมีเสียเลือดกันบ้างเป็นธรรมดา!” จางเล่ยหัวเราะ “เอาล่ะ ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอด”

“อื้ม” จางหยุนพยักหน้า

จางเล่ยและคนอื่นๆ ห้ามไม่ให้จางหยุนลงไปส่งพวกเขาที่ชั้นล่าง และบอกให้เธอกลับไปดูแลเสี่ยวปิน พวกเขาลงไปชั้นล่างและไปที่ลานจอดรถ แต่ก่อนจะขึ้นรถ จางเล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าบ้า นายช่วยหาคนให้ฉันซักสองสามคนสิ ฉันขออาสาเป็นตัวแทนของตระกูลจางและตระกูลถงเพื่อระบายความโกรธในครั้งนี้เอง อ้อ! เพื่อลุงรองของฉันด้วย!”

จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “กลับกันก่อนเถอะ”

เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ต่อหน้าถงเล่ยและเซียวหยูซวน การทำให้พวกเธอกังวลไม่ได้มีประโยชน์อะไร

จางเล่ยตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน เขาพยักหน้าและเข้าไปนั่งในรถตรงตำแหน่งด้านข้างคนขับ “ไป! กลับไปตั้งหลักกันก่อน แล้วจะเอายังไงก็ค่อยว่ากัน!”

แม้ว่าจางเล่ยจะพูดเบาๆ เหมือนว่าเขาสามารถควบคุมความโกรธได้แล้ว แต่จี้เฟิงรู้จักเพื่อนรักคนนี้ของเขาดี จางเล่ยไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ การมีเรื่องแม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่มันคือการสร้างทางออกด้วยตัวเองของจางเล่ย! และเขาจะต้องจัดการกับตระกูลเจิ้งอย่างแน่นอน!

........

“เฒ่าเจิ้ง หยุดสูบบุหรี่ได้แล้ว ดูสิ ควันคละคุ้งเต็มห้องไปหมดแล้ว...”

เจิ้งหยวนซานนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของเขตบ้านพักของสำนักงานเมืองเจียงโจว เขาสูบบุหรี่มวนต่อมวนจนห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยควันสีเทาขาวจนดูเหมือนกับบ้านถูกไฟไหม้!

ใบหน้าของเจิ้งหยวนซานไม่ได้แสดงอารมณ์ในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ แต่มีความโกรธฉายออกมาจากแววตาของเขาเป็นครั้งคราว แต่เหมือนจู่ๆเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้ และในที่สุดเขาก็ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจโดยไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ ภรรยาก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และไม่คิดที่จะพูดเกลี้ยกล่อมอะไรเขาอีก อันที่จริงเธอรู้ความคิดสามีของเธอดีกว่าใคร

สามีของเธอไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรักต่อลูกๆของเขาออกมาโดยตรง อีกทั้งยังเข้มงวดกับพวกเขามาก แต่เธอก็รู้ว่าจริงๆแล้วผู้ชายคนนี้รักลูกของเขามากเพียงใด เพียงแต่วิธีแสดงออกของเขานั้นแตกต่างจากเธอ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความคิดที่เขาและเธอที่มีต่อลูกๆก็เหมือนกัน

“เฒ่าเจิ้ง ฉันจะไปที่โรงพยาบาล คุณจะไปด้วยกันมั้ย?” นางเจิ้งถือกระติกน้ำร้อนและกล่องข้าวออกมาจากห้องครัว

“เธอจะทำอะไร?” เจิ้งหยวนซานถามด้วยใบหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เสียวหยุนกับเสี่ยวปินยังไม่ได้กินข้าวเลย พวกร้านอาหารข้างนอกส่วนใหญ่ก็มีแต่อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ฉันเลยเอาอาหารทำเองไปให้พวกเขาดีกว่า” นางเจิ้งรู้ว่าสามีอารมณ์ไม่ดี และเขาต้องการเวลาส่วนตัวในการใช้ความคิด เธอจึงพูดเบาๆ “นอกจากนี้ เสี่ยวหยุนก็ต้องกลับมาเตรียมตัวไปเรียน ฉันก็จะได้ไปเปลี่ยนเวรดูแลเสี่ยวปินด้วย”

“ฮึ่ม! เจ้าเด็กไม่เอาอ่าวนี่!” เจิ้งหยวนซานอดไม่ได้ที่จะตะคอก “โตจนแมวเลียก้นไม่ถึงแล้ว ไม่งั้นคงไม่ไปร้านเหล้าแล้วต่อยตีกับคนอื่นมาแบบนี้หรอก! แล้วนี่เธอยังจะคอยปกป้องดูแลเขาเหมือนเด็กๆแบบนี้อีก เดี๋ยวอีกไม่ช้าได้กลายเป็นพวกเด็กอันธพาลเสเพลไปวันๆ!”

“เสี่ยวปินไม่มีวันเป็นเด็กแบบนั้นแน่ ถ้าเขาเป็นเด็กเสเพลจริงๆ เขาจะถูกคนอื่นรังแกกลับมาแบบนี้เหรอ...” นางเจิ้งรู้สึกเสียใจแทนลูกชายของเธอและอดไม่ได้ที่จะโต้เถียง แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าสามีของเธอก็เคร่งเครียดมากเช่นกัน เธอจึงหยุดพูด

“จะไปก็รีบไปเถอะ สั่งสอนเจ้าเด็กเวรนั่นให้ดีด้วย จะได้ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีก!” เจิ้งหยวนซานตะคอกอย่างเดือดดาล

“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ! เฒ่าเจิ้ง บุหรี่น่ะ หยุดสูบได้แล้ว เดี๋ยวรถดับเพลิงได้แห่กันมาเพราะนึกว่าไฟไหม้บ้านหรอก!” นางเจิ้งพูดอย่างจนใจ “แต่ยังถือว่าโชคดีที่เสี่ยวปินไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก พักซักสองสามวันก็น่าจะดูแลตัวเองได้แล้ว ส่วนคนที่แข็งแรงดีก็อย่าสูบบุหรี่ให้เสียร่างกายเล่นๆเลย!”

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!” เจิ้งหยวนซานโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์

นางเจิ้งส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกไป

เมื่อเห็นภรรยาของเขาออกไปแล้ว เจิ้งหยวนซานก็ส่ายหัวและถอนหายใจยาว พยายามขจัดความโกรธในใจของเขาออกไป “เหอะ! สรุปว่าฉันคนนี้เป็นหนี้ตระกูลเจิ้งจริงๆงั้นหรือ?!”

คราวนี้คนของตระกูลเจิ้งล้ำเส้นมากเกินไป มันทำให้เจิ้งหยวนซานแทบจะหมดความอดทน

เป็นเรื่องปกติที่คนตระกูลเจิ้งจะทำตัวปากเปราะพูดจาเยาะเย้ยถากถางเจิ้งหยวนซาน และตลอดเวลาที่ผ่านมา เจิ้งหยวนซานไม่อยากจะเก็บเรื่องไร้สาระพวกนี้มาคิดให้รกสมอง

ส่วนเรื่องคนตระกูลเจิ้งทำอะไรกับแม่เขาไว้บ้าง แม่ของเขาไม่เคยเล่า แต่เขาก็สังเกตเห็นได้จากพฤติกรรมในปัจจุบันของคนเหล่านี้ที่เอาแต่พูดจาเยาะเย้ยถากถาง ไม่อยากจะนึกเลยว่าเมื่อในอดีตแม่ของเขาต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ในขณะที่ผู้อาวุโสจางที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ มีความพิการเพราะสูญเสียดวงตา แต่จิตใจของเขาสูงส่งและปฏิบัติต่อพวกเขาสามคนแม่ลูกเป็นอย่างดี

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!

ในมุมมองของเจิ้งหยวนซาน คนทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ส่วนใครจะพูดในสิ่งที่คิดโดยไม่ไตร่ตรองก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ไม่มีใครห้ามความคิดหรือห้ามไม่ให้คนอื่นพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการฟังได้

และเพราะแบบนั้น เจิ้งหยวนซานจึงไม่ค่อยกลับไปที่หยานจิง อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องมาได้ยินคำพูดจาเยาะเย้ยถากถางเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่ต้องมาคอยฟังคนอื่นพูดจาแบบนั้นใส่

แต่คนตระกูลเจิ้งก็ช่างมีความอุตสาหะ ดั้นด้นมาถึงประตูบ้านของเขาเพื่อพูดจาเยาะเย้ยถากถาง?

ด้วยเหตุนี้ เจิ้งหยวนซานจึงถูกแม่ของเขาโทรมาบ่นหลายต่อหลายครั้งเพราะเขาไม่ยอมกลับบ้านในช่วงปีใหม่ อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาดื้อรั้นไม่อยากกลับ แน่นอนว่าเขาอยากกลับไปหาแม่ผู้ให้กำเนิดและผู้อาวุโสจางที่เห็นเขาไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ เขาสำนึกรู้ในบุญคุณเหล่านี้ดี

อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากทนฟังคำพูดจาของพวกที่น่ารังเกียจพวกนั้นจริงๆ!

แต่ถึงอย่างนั้น เจิ้งหยวนเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าผู้อาวุโสจางและแม่ของเขามีแต่จะแก่ตัวลง ดังนั้นเขาจึงหาเวลาและแอบกลับไปที่หยานจิงสองสามวันเพื่อคอยดูแลผู้เฒ่าทั้งสองอย่างเงียบๆไม่ให้คนนอกรู้

เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่าหลังจากช่วงปีใหม่และอากาศอุ่นขึ้นแล้ว เขาจะพาแม่ของเขาและผู้อาวุโสจางมาอยู่ที่เจียงโจวเพื่อที่เขาจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นในวันตรุษจีนของปีนี้ เจิ้งหยวนซานจึงไม่ได้กลับไป เพราะอีกแค่สองสามเดือนพวกเขาก็จะได้เจอกันแล้ว

แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าสมาชิกในตระกูลเจิ้งจะไล่จองเวรเขามาจนถึงหน้าบ้านแบบนี้ แถมยังมาหงายการ์ดความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อให้เขาทำสิ่งที่ตัวเองต้องการอีกด้วย

และหลังจากการสนทนาไม่เป็นไปอย่างที่พวกตระกูลเจิ้งหวัง เสี่ยวปิน ลูกชายของเขาก็ถูกพวกนั้นหาเรื่องต่อยตี

แน่นอนว่าเจิ้งหยวนซานโกรธมาก ทันทีที่เขาได้ยินว่าลูกชายถูกทุบตี เขาอยากจะหยิบปืนแล้วไปไล่ฆ่าไอ้สารเลวพวกนั้นทีละตัว!

เขาเลี้ยงลูกจนโตมาขนาดนี้ ไม่เคยมีสักครั้งที่ลูกของเขาต้องเจ็บแบบนี้...

ภายใต้ความโกรธ เจิ้งหยวนซานยังคงควบคุมตัวเองเอาไว้ เพราะถ้าหากเขาทำอะไรลงไปอย่างที่ใจคิดจริงๆ สถานการณ์จะหนักหนาสาหัสและยากที่จะแก้ไข และคนที่ต้องได้รับผลกระทบมากที่สุดในตอนนั้นก็คือแม่และพี่ชายของเขา

เพียงเพราะต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเจิ้งเอาไว้ พี่ชายจึงจากไปและไปอยู่กับตระกูลเจิ้ง!

และถ้าหากเขาแตะต้องรุ่นเยาว์ของตระกูลเจิ้ง พี่ชายของเขาจะต้องแบกรับแรงกดดันจากตระกูลเจิ้งมากแค่ไหน?

ด้วยความสิ้นหวัง จู่ๆเจิ้งหยวนซานก็นึกถึงหลานชายของเขาขึ้นมาได้ จางเล่ย! แต่เขาไม่ต้องการให้จางเล่ยบุกไปที่บ้านตระกูลเจิ้งเพื่อขอคำอธิบาย ลูกชายของเขาถูกทุบตีมาขนาดนี้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องฟังคำอธิบายอีก?

จุดประสงค์ของเจิ้งหยวนซานคือ การให้รุ่นเยาว์อย่างจางเล่ยจัดการกับรุ่นเยาว์ของตระกูลเจิ้ง เพราะการทะเลาะเบาะแว้งกันของเด็กมันไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่

และจางเล่ยซึ่งเป็นพี่น้องโดยนับถือกับทายาทตัวน้อยของตระกูลจี้แห่งหยานจิง มีหรือที่เขาจะตกเป็นรองรุ่นเยาว์ของตระกูลเจิ้ง?

เป็นไปไม่ได้แน่นอน!

และนี่แหละคือวิธีที่เจิ้งหยวนซานจะใช้เพื่อสั่งสอนบทเรียนให้กับตระกูลเจิ้งรุ่นเยาว์!

ลองคิดดูสิว่าอีกฝ่ายทำเขาโกรธมากขนาดไหนถึงได้ผลักให้รองผู้อำนวยการสำนักงานเมืองมาถึงจุดนี้ได้!

“จางเล่ย.. เจ้าเด็กนั่นจะต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันหมายถึงได้อย่างแน่นอน!” เจิ้งหยวนซานดับบุหรี่ของเขาและขบฟันแน่นด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาถงไค่เต๋อ น้องเขยของเขา และบอกว่าเขาต้องการให้จางเล่ยสั่งสอนบทเรียนให้กับเด็กตระกูลเจิ้ง โดยอธิบายว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้น้องเขยและน้องสาวของเขาเข้าใจผิด

................

เมื่อจี้เฟิงและคนอื่นๆกลับมาถึงบ้าน จี้เฟิงก็พบว่าเสี่ยวอิง บอดี้การ์ดหญิงที่รับหน้าที่ดูแลเซียวหยูซวนได้กลับมาแล้ว แม้ว่าเขาจะยังคงสงสัยเกี่ยวกับท่าทีแปลกๆในช่วงนี้ของเซียวหยูซวนและเสี่ยวอิงที่ดูเหมือนมีความลับอะไรบางอย่างปิดบังไว้ แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก

หลังจากที่เซียวหยูซวนและถงเล่ยใจเย็นลงแล้ว และยังมีเสี่ยวอิงคอยปกป้องดูแลพวกเธอ จี้เฟิงจึงรู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาและจางเล่ยจึงขับรถออกไปข้างนอกด้วยกัน

“เหล่าเซียง คุณพอจะมีเวลามั้ย? ออกมานั่งดื่มกันเถอะ!” รถคันนี้ขับโดยจางเล่ย ส่วนจี้เฟิงนั่งอยู่ด้านข้างคนขับและกำลังคุยโทรศัพท์อย่างสบายๆ

เนื่องจากพวกเขากำลังมองหาคนที่จะมาจัดการกับพวกรุ่นเยาว์ของตระกูลเจิ้ง แน่นอนว่าไม่สามารถมองหาอย่างชุ่ยๆได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะบ้าง อย่างเช่น.. ลูกชายคนโตของตระกูลเซียง และคนจากกองพลปฏิบัติการพิเศษเป็นต้น!

“จี้เฟิง การที่นายโทรชวนฉันไปดื่มอย่างกะทันหันแบบนี้ คงไม่ได้เป็นเรื่องดีๆหรอกใช่มั้ย?” เซียงหยงซานถามอย่างรู้ทัน

“อย่าพูดแบบนั้นสิเหล่าเซียง” จี้เฟิงทำเสียงเย้ยหยัน “คุณคงไม่ได้ลืมเรื่องที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ใช่มั้ย คุณบอกว่าถ้าผมช่วยรักษาคนของคุณได้ คุณจะจัดหาทหารหญิงที่เกษียณแล้วมาให้ผมสองคน สัญญาที่คุณรับปากไว้ มันผ่านมากี่วันแล้ว?”

ก่อนหน้านี้จี้เฟิงทำข้อตกลงกับเซียงหยงซานไว้ว่าถ้าเขาสามารถกู้ระเบิดชีวภาพออกจากหัวใจของแมงมุมขาวได้สำเร็จ เซียงหยงซานจะหาทหารหญิงที่เกษียณแล้ว 2 คนมาให้ตามคำขอของจี้เฟิง พูดง่ายๆคือจี้เฟิงจะได้บอดี้การ์ดตลอดชีพสองคน!

แน่นอนว่าไม่ใช่ในนามทหาร เพราะพวกเขาเกษียณออกจากสถานะทหารแล้ว ดังนั้นพวกเขาคือผู้ที่ได้รับการว่าจ้างจากจี้เฟิง

“เจ้าหนู...” เซียงหยงซานยิ้มอย่างขมขื่น “พูดตามตรง ฉันค่อนข้างลำบากใจที่จะต้องมอบคนให้กับนาย ในแง่หนึ่ง คนประเภทนี้มีจำนวนที่น้อยเกินไป และในทางกลับกันทหารที่อยู่ภายใต้สังกัดเราล้วนเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า แต่มันเหมือนกับนายชี้จะเอาแล้วเอาไปอย่างง่ายๆซะอย่างนั้น ตรงนี้แหละที่ทำให้ฉันรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก!”

“ง่ายบ้าง่ายบออะไรกัน!”

จี้เฟิงตะคอกด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเซียงอย่ามาเล่นลูกไม้ยืดเยื้อให้เสียเวลาเลย คุยกันไว้ว่าจะให้ก็ต้องให้ อ้อ! สองคนนะ สองคน!”

.....จบบทที่ 920 ~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด