ตอนที่แล้วตอนที่ 1076 กระบี่วิถีมนุษย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1078 หุ่นรบแม่เหล็ก กับม้วนสารท้าสู้

ตอนที่ 1077 กลิ่นคุ้นเคย?


การประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนในเมืองใบทองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

แม้ว่าชื่อจะเป็นการประชุมสัมมนาสำหรับผู้พเนจรแดนฟ้า  เป็นโอกาสสำหรับกองกำลังหลักในการแข่งขันหรือสื่อสารกันอย่างลับๆ  เต็นท์กระโจมจำนวนมากถูกสร้างขึ้นชั่วคราวในสถานที่ด้านนอก สิ่งเหล่านี้เป็นจุดแสดงนิทรรศการของสามัญชนและทหารรับจ้างนักธุรกิจขนาดเล็ก พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเข้าสู่สถานที่จัดงาน นอกจากนี้ยังมีห้องโถงศูนย์แลกเปลี่ยนที่ซึ่งขุนนางชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้ามาได้

ในแวดวงชนชั้นสูงไม่สนใจสินค้าทุกอย่างที่ขายในพื้นที่สามัญชน

อย่างไรก็ตามไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสามัญชนเหล่านี้จะนำมาซึ่งความมีชีวิตชีวารายได้และทางเลือกในการแลกเปลี่ยนมากขึ้น ในสถานที่ใดๆ ที่มีการจัดการประชุมสัมมนาแล้วประสบความสำเร็จจะเพิ่มความมั่งคั่งในเชิงพาณิชย์จำนวนมาก

ไม่มีใครคิดมากเกินไปเกี่ยวกับการค้าขายและรายได้จากภาษี

“ไตตันน้อย!สองวันมานี้เจ้าได้ผลรับอะไรมาบ้าง?” อาจารย์ใหญ่พาเย่ว์หยางไปที่โถงกลางเพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดสัมมนาเมื่อเดินไปครึ่งทางเหมือนเขานึกได้จึงถามอย่างไม่เป็นทางการ

“อ่า..ไม่เลวเลย ข้าใช้จ่ายไปถึง 400ผลึกสวรรค์แล้ว” เย่ว์หยางตอบคำถามในลักษณะนี้ ฟ่านอี้ซื่อที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังจะเยาะเย้ยเกือบทรุดลงกับพื้น  นี่เขาใช้จ่ายอะไรรวดเร็วขนาดนั้น?  นี่เขาใช้เงินมากเกินตัวหรือเปล่า?   ในเวลาไม่ถึงสองวันใช้เงินไปถึง 400ผลึกสวรรค์ นี่เขาไม่เรียกว่าใช้เงินแล้ว เขาเรียกว่าโยนเงินลงทะเล! โชคดีที่เงินผลึกสวรรค์ที่เย่ว์หยางใช้ไปไม่ใช่ส่วนแบ่งของฟ่านอี้ซื่อมิฉะนั้นฟ่านอี้ซื่อคงจะอกแตกตาย

“.....” ชายชราเคราดำสูดหายใจหนาวเหน็บ  400ผลึกสวรรค์ เขาซื้อของอะไรกันแน่?

“ดีมาก เงินผลึกสวรรค์ นำมาเพื่อใช้จ่ายไม่ใช่เอามาเก็บ” อาจารย์ใหญ่พยักหน้า และเขาเกรงว่าศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเขาจะไม่เต็มใจใช้เงิน!

ในความคิดของเขาเย่ว์หยางเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดในโลก เป็นเด็กกตัญญูที่สุดในโลก

อะไรก็ตามที่เขาใช้จ่ายไปย่อมทำให้เขาสบายใจที่สุด

กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือเขาเกรงว่าเด็กคนนี้จะไม่ยอมใช้เงิน

อาจารย์ใหญ่ไม่ได้ถามเย่ว์หยางเกี่ยวกับราคาของที่เย่ว์หยางซื้อ  เขารู้สึกว่าย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน  นั่นต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษาหรือวิจัยไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยที่น่าเบื่อ

เพราะเป็นคนโปรดปรานของอาจารย์ใหญ่ฟ่านซื่ออี้ซื่อรู้สึกอิจฉามากจนเลือดแทบหยาดหยด

เมื่อตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียนทำไมครูใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของเขามากเท่าใดนัก?

น่าคลั่งใจแทบตายจริงๆ!

ห้องโถงกลางมีพื้นที่ใหญ่ขนาดเท่าสนามฟุตบอล น่าจะใหญ่กว่าเล็กน้อยด้านล่างเป็นพื้นที่โถงกว้างใหญ่หรูหรา ไม่มีหลังคาการตกแต่งเป็นรูปปราสาทมีหอหลังคาแหลมเล็กๆ สามเสาขุนนางที่มีชื่อเสียงที่สุดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าปราสาทด้านบน  กงสุลอย่างฟ่านซื่ออี้อาจมองว่ามีตำแหน่งฐานะแต่เขาไม่มีคุณสมบัตินี้หากต้องการเข้าในกลุ่มขุนนางชั้นสูง  ในบรรดาผู้มีชื่อเสียงอย่างเป็นทางการจำนวนมากที่มาเยือนเมืองใบทองมีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือระดับอาจารย์ใหญ่จึงจะเข้าไปได้

“เจ้าไปจับจ่ายซื้อของข้างล่างก่อน  ข้าจะไปพบสหายเก่าสักสองสามคน  ถ้าเป็นไปได้ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักพวกเขาสักหน่อย” อาจารย์ใหญ่ต้องการนำเย่ว์หยางไปที่ชั้นบนสุดของห้องโถงกลาง แต่เย่ว์หยางยังไม่เต็มใจจะเปิดเผยตัวตนของเจ้าของปราสาทไดมอนด์สตาร์และพยายามบ่ายเบี่ยง

อาจารย์ใหญ่คิดว่าเขาต้องการศึกษาหุ่นบินในลักษณะไม่เป็นบุคคลสำคัญแต่เขาเกรงว่าคนอื่นจะแย่งศิษย์รักที่เขาภูมิใจไป หลังจากที่เขาพบความจริง

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ยืนยัน

สำหรับเย่ว์หยางนั้นเขาต้องการฟังความปรารถนาของบัณฑิตพันปีเพื่อสอนบทเรียน   อาจารย์ใหญ่ก็พยายามอย่างดีที่สุด และถ้าเป็นไปได้เขาอยากขอให้บัณฑิตพันปีมาสอนเย่ว์หยาง...เจ้าเมืองใบทองอยู่กับผู้มีอำนาจหลายคน

เขาเป็นประธานในพิธีเปิดประชุมสัมมนา

ก็เหมือนกับการกล่าวเปิดงานตามปกติแรงบันดาลใจที่น่าหลงใหล คำพูดระลึกถึงอดีตและมองไปถึงอนาคตข้างหน้า ดูเหมือนว่าเย่ว์หยางจะง่วงนอนกับคำพูดเหล่านี้ในการสัมมนาอย่างเป็นทางการของโลกเก่าของเขา  แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นแบบแผนทางการ  เย่ว์หยางบางครั้งก็ดีใจเขาเป็นเด็กหมกมุ่นเก็บตัวก่อนจะข้ามโลกมาที่นี่ คนที่ไม่ใช่ข้าราชการได้ยินได้ฟังคำพูดที่ว่างเปล่าคงรู้สึกรำคาญ  แต่ก็เป็นจริงนั่นเป็นชีวิตที่ทรมานที่สุด หลังจากข้ามโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจุนอู๋โหย่วจักรพรรดิต้าเซี่ยผู้มีความสุขุมรอบคอบก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ในกิจการของเขาหรือจักรพรรดิเทียนหลัวผู้เอาแต่เก็บตัวอย่างเกียจคร้านก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่พูดจาไร้สาระ..เมื่อคำพูดจบลงก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างอบอุ่น

ถัดจากนั้นเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำ  หลายๆ คนตั้งใจฟังด้วยความสนใจเมื่อดูหน้าแต่ละคน เย่ว์หยางเบื่อจนหาวแล้วหาวอีก

ต่อมาเป็นคำกล่าวของตัวแทนบางคนเช่นตัวแทนนักเรียนยอดเยี่ยมผู้พเนจรแดนฟ้า คุณชายจินฉี บุตรคนที่สี่ของเจ้าเมืองใบทอง

ผู้เกิดใหม่ที่กล่าวขานกันว่าได้คิดค้นหุ่นรบแม่เหล็ก

เย่ว์หยางเริ่มคิดว่าจินฉีผู้นี้นับว่าไม่เลวสามารถคิดค้นหุ่นรบแม่เหล็ก ใช้พลังในสนามรบได้ประมาณว่าไม่ด้อยไปกว่าหุ่นรบล่องหนที่จอมปีศาจไคเทียนพัฒนา ตอนกลางเย่ว์หยางถามเกี่ยวกับหุ่นรบแม่เหล็กซึ่งอาจารย์ใหญ่กลับดูถูกอย่างคาดไม่ถึง  อย่างไรก็ตามผู้สร้างหุ่นรบแม่เหล็กที่แท้จริงเป็นคนอื่นไม่ใช่จินฉีบุตรคนที่สี่ของเจ้าเมืองใบทอง

เมื่อได้ยินเรื่องภายในแล้วเย่ว์หยางรู้สึกทันทีว่าเขาไม่ต้องเสียเวลากับจินฉีผู้นี้มากแล้ว

มิน่าเล่าอาจารย์ใหญ่ถึงได้ดูถูกดูแคลนคนหลอกลวงผู้นี้

อย่างไรก็ตาม เขายังคิดถึงมัน

คนงี่เง่าอย่างจอมปีศาจไคเทียนสะสมความรู้มาเป็นหมื่นปีได้พัฒนาหุ่นรบล่องหนใครกันที่พัฒนาหุ่นรบแม่เหล็ก? จินฉีจะเทียบได้กับจอมปีศาจไคเทียนและจีอู๋ลี่ได้ไหม  แม้แต่จงหัวผู้เป็นเจ้าตำหนักแสงและกัปตันคุ้กผู้เป็นจักรพรรดิแดนดินของแดนสวรรค์ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากจะพัฒนาหุ่นรบที่ไม่แคยมีมาก่อนในหุบเขามนุษย์  อัจฉริยะผู้ร้ายกาจไม่ธรรมดาเดินทางมาถึงแล้วและมีอยู่คนเดียวผู้ได้รับมรดกความรู้และอักขระรูนผ่านด่านสิบสองนักษัตร เข้าถึงโลกพฤกษาในบันไดสวรรค์ ได้รับแกนพลังงานอักขระรูนโบราณขนาดใหญ่เต็มไปด้วยภูมิปัญญานับไม่ถ้วน เย่ว์หยางได้มาถึงแล้ว

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่สามารถทำได้อย่างเด็กหนุ่มจากโลกอื่นแน่

นอกจากนี้เย่ว์หยางยังได้รับประสบการณ์สองเท่าจากนางพญาเฟ่ยเหวินหลีและพี่สาวของแม่สี่ผู้ประสบความสำเร็จในหุบเขามนุษย์!

“ทำไมเจ้าหยาบคายเสียมารยาทจริงๆ?  เมื่อคนสำคัญกำลังพูด เจ้าไม่มีความเคารพ เจ้าละเมิดข้อปฏิบัติพื้นฐานที่มิอาจยกโทษให้ได้ จงใจทำพฤติกรรมที่ไม่ดีทำให้คนอื่นเสียสมาธิ  ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าเป็นขุนนางได้อย่างไร บางทีเจ้าอาจเป็นนักต้มตุ๋นที่ฝีมือต่ำได้แต่ลอกเลียนแบบขุนนาง!”นักเรียนชั้นยอดที่ยืนอยู่ข้างเย่ว์หยางเป็นนักเรียนชั้นยอดของเมืองเปลวอาทิตย์คาดว่าเป็นสหายสนิทกับจินฉีแห่งเมืองใบทองเมื่อเห็นเย่ว์หยางหาวเรื่อยๆ เขารู้สึกรำคาญมากถ้าไม่คำนึงถึงสถานภาพอันสูงส่งของตนเองเขาจะจับเย่ว์หยางโยนออกไปข้างนอก

“นักเรียนสอบตก?”  เย่ว์หยางแค่ใช้หางตามอง

เย่ว์หยางพูดว่านักเรียนสอบตกก็คือผู้ที่ไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกในพิธีประเมินคะแนนชีวิตของผู้มาใหม่

ถ้ามาตรฐานนี้นำไปใช้กับทหารรับจ้างพวกเขาคงไม่สนใจ

สามารถสำเร็จการศึกษาได้เร็วขึ้นสิบอันดับแรกที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้เมื่อเทียบกับแรงกดดันในชีวิตจริงพวกนี้เลื่อนลอยเหมือนเมฆ

ขุนนางชนชั้นสูงไม่สามารถทำได้โดยเฉพาะผู้มีสถานะสูงส่ง พวกเขาไม่สามารถทำได้ดีหลังจากเข้าร่วมพิธีประเมินชีวิต  พวกเขาจะไม่ลาออก ไม่มีแรงกดดันต่อการเอาชีวิตรอดไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แค่อยู่แต่ในโรงเรียน เหมือนหนอนข้าวห้องของเย่ว์หยางมีพวกซ้ำชั้นครั้งแล้วครั้งเล่าและได้ติดสิบอันดับยอดเยี่ยมโดยตรงก็มี

หากเป็นผู้เกิดใหม่จะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น

แต่ถ้าเป็นลูกหลานรุ่นหลังของผู้เกิดใหม่ในหุบเขามนุษย์  พวกเขาจะไม่มีทางคิดเรื่องออกไป บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรีและสถานะในสังคมในอนาคต

เย่ว์หยางรังเกียจฝ่ายตรงข้ามที่สอบตก เหมือนกับอีกฝ่ายมีบาดแผลแล้วเอาเกลือทาบาดแผลอีกฝ่าย

เป็นการโจมตีทางจิตใจประเภทหนึ่งทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดได้!

ขุนนางอย่างเจ้าเป็นตัวอะไร

ใครกันที่ควรแสดงความหยิ่งยโสเช่นนั้น?

ไม่มีปัญญาติดสิบอันดับแรกจะต่างอะไรกับคนสามัญ?

“วิเศษมาก เจ้าคนเกิดใหม่, เจ้าไก่อ่อนเจ้าถนัดทักษะอะไร! ถ้าเจ้าไม่สามารถชนะการแข่งขันประเมินชีวิตใหม่เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติอยู่ในวงการขุนนางชนชั้นสูง  ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์หัวเราะเยาะการพัฒนาอาชีพอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องอดทนต่อการเยาะเย้ยที่ร้ายกาจจากจอมวายร้ายทั้งหลาย”  ตัวแทนเมืองเปลวอาทิตย์เถียงกลับ

“ไม่ว่าจะพูดสวยหรูขนาดไหนก็มิอาจปิดบังความจริงที่ว่าเจ้าสอบตกในพิธีประเมินคะแนนชีวิตและจบการศึกษาไม่ได้” เย่ว์หยางย้อนอีกฝ่ายหนึ่ง

“เจ้ากำลังจงใจหาเรื่องทะเลาะใช่หรือไม่?”  นักเรียนซ้ำชั้นของเมืองเปลวอาทิตย์โกรธ

“ข้าแค่อยากจะบอกว่าในเมื่อเจ้าเป็นคนดังอย่าทำตัวเหมือนสุนัขบ้าเที่ยวกัดคนอื่นโดยไม่ยั้งคิด”  เย่ว์หยางไม่ได้ชายตามองด้วยซ้ำ  “ไม่ฉลาดเลยนะ ยั่วโมโหคนที่ไม่ควรยั่วหวังว่าเจ้าจะมีความรู้พอไม่กลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นหัวเราะเยาะ”

“ข้าคร้านจะเถียงกับเจ้าที่เหมือนกับคนโกหก” ตัวแทนนักเรียนเมืองเปลวอาทิตย์พยายามอดกลั้นความโกรธ

“นอกเหนือจากการแสดงไอคิวที่ต่ำเตี้ยติดดินแล้วเจ้ายังทำอะไรอื่นได้อีก?” คิดจะหาเรื่องเย่ว์หยางหรือ? จะลองดีเด็กที่มาจากโลกอื่น?นั่นเท่ากับหาที่ตาย เจ้าเด็กจากโลกอื่นมีประสบการณ์ความรู้จากอินเตอร์เน็ตมากมายแค่นี้เขายังไม่จริงจัง เพราะคู่ต่อสู้อ่อนหัดเกินไป  ถ้าเอาจริงคาดว่าอีกฝ่ายคงเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด

“เฮอะๆ! ตัวแทนนักเรียนจากเมืองเปลวอาทิตย์รู้สึกเหมือนอยากกระอักโลหิต

“นักเรียนท่านนี้ข้าไม่รู้ว่าเป็นผู้เกิดใหม่มาจากไหน? ข้าฉีมู่จากเมืองจันทร์เงิน ขอทำความรู้จักกันได้ไหม?” ในกลุ่มคนมีเด็กหนุ่มชุดไหมที่ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดาก้าวออกมาทักทายเย่ว์หยาง เขามีสีหน้าปรารถนาดีและดูเหมือนให้ความสนใจเย่ว์หยางต้องการคบเป็นสหาย

“อะแฮ่ม,คุณชายโปรดอย่าทำอะไรที่รบกวนเราได้ไหม?” นักเรียนตัวแทนเมืองเปลวอาทิตย์มีคนรูปร่างสันทัดอยู่คนหนึ่งแต่เป็นคู่หูที่ไม่กระตือรือร้นเสียเลยเขาพยายามเตือนฉีมู่แห่งเมืองจันทร์เงินอย่าเป็นสหายกับเย่ว์หยาง  โดยเฉพาะเย่ว์หยางกับเขาเข้ากันไม่ได้  ต่อไปจะกลายเป็นใกล้ชิดสหายผู้ทรยศไป

“ข้าฉีมู่เป็นผู้ใหญ่แล้วและข้าตัดสินใจทำเรื่องราวต่างๆ ได้ ไม่ต้องรอคำแนะนำจากคนอื่นอีกต่อไป”  บุรุษชุดไหมส่ายหน้าเขาหัวเราะยักไหล่อย่างมีเลศนัย

“อย่างน้อยจะไม่คำนึงถึงมิตรภาพเก่าพันธมิตรสี่คุณชายแห่งแสงจริงๆหรือ?” นักเรียนตัวแทนของเมืองเปลวอาทิตย์มีสีหน้าโกรธอยู่บ้าง

“ทุกคนต่างก็เป็นมิตรกัน!” บุรุษหนุ่มชุดไหมฉีมู่ยังคงยิ้ม

“ก็ได้! ข้าหยางผิงจะเลิกคบกับเจ้าทุกคนต่างไปทางใครทางมัน” นักเรียนตัวแทนเมืองเปลวอาทิตย์โกรธ เขาแยกกับสหายอีกคนหนึ่งขณะเดินออกไปเขาหันกลับมามองเย่ว์หยางเหมือนกับว่าต้องการจดจำคนที่ทำให้เขาพบสถานการณ์ร้ายเอาไว้

เมื่อเห็นสหายโกรธเคืองบุรุษหนุ่มฉีมู่ได้แต่ยิ้ม

มีสหายที่ดูคล้ายสตรีอยู่ข้างหลังเขาเขากระซิบถาม  “เสี่ยวมู่!  ทำอย่างนี้จะดีหรือ?”

ฉีมู่บุรุษหนุ่มชุดไหมส่ายหน้า “สี่คุณชายพันธมิตรแสงสว่างไม่ใช่ของหยางผิง  ถ้าพี่ชายของเขาหยางฉวนพูดอย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องดี เขาเป็นแค่ลูกชายรอง” เขาหันหน้าไปทักทายเย่ว์หยาง และแนะนำสหายของเขาให้เย่ว์หยางรู้จักราวกับเป็นสหายเก่า “นี่คือคุณชายหมิงจูจากหุบเขามณีแห่งเมืองมณี  แม้จะดูเรียบร้อยเหมือนสตรีแต่พอลงสนามต่อสู้เป็นคนน่ากลัวเหมือนกับคนบ้า เขาเป็นผู้ชนะเลิศใหม่ที่น่าภูมิใจ  เขาเป็นบุตรของผู้ชนะเลิศในรายการศึกแข่งขัน108 หุ่นรบที่ใหญ่ที่สุด เขาสร้างสถิติที่เร็วที่สุดในการแข่งขันแม้ว่าข้าจะมีชื่อเสียงอยู่เล็กน้อยในหุบเขามนุษย์  แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้คุณชายหมิงจูในการดวลตัวต่อตัว”

หลังจากได้ฟังแล้วเย่ว์หยางเงยหน้ามองบุรุษหนุ่มที่ดูเหมือนสตรีขึ้นๆลงๆ จากนั้นยิ้ม “ถ้าเจ้าสวมชุดสตรีจะไม่มีใครจำเจ้าได้เลยว่าเจ้าเป็นบุรุษ”

ใบหน้าของบุรุษหนุ่มรูปงามแดงก่ำ  หน้าของเขาเหมือนหยกที่ย้อมสีแดงเขากำหมัดแน่นจากนั้นก็คลายหมัด ดวงตาที่งดงามเหมือนสตรีมองดูเย่ว์หยาง “ไปกันเถอะ, เจ้าไร้มารยาทมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นคนใหม่ หยิ่งยโสเกินไป ข้าจะท้าเจ้าสู้แน่!”

เย่ว์หยางรีบยกมือทันที  “ก็ได้ ข้าขอโทษ!”

บุรุษหนุ่มรูปงามนามหมิงจูได้ยินแล้วยังคงโกรธมาก  “คำขอโทษของเจ้าไม่มีความจริงใจ!”

“ไม่มีคำขอโทษที่จริงใจแต่ยังไงก็ยังเป็นคำขอโทษ” เย่ว์หยางเล่นปากเล่นคำ

“เจ้า เจ้า....”บุรุษหนุ่มหมิงจูโกรธจัดจนพูดไม่ออก

“น่าสนใจ เจ้าโง่หยางผิงไม่เป็นปัญหา แต่ข้าไม่เคยเห็นใครกล้าเสียมารยาทกับคุณชายหมิงจูข้าต้องบอกว่าความกล้าของเจ้านั้นไม่เบาเลย นักเรียนใหม่ที่น่าสนใจ เจ้าชื่ออะไร? มาจากไหน? อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร?ข้าอยากรู้ว่าอาจารย์แบบไหนที่สามารถสอนศิษย์ให้กล้าหาญและอารมณ์ขันได้  คุณชายฉีมู่ยังหัวเราะต่อ

“ตอนนี้ข้าขอเก็บเป็นความลับชั่วคราวก่อน!” เย่ว์หยางโบกมือลาทั้งสอง “ในโลกนี้ มีบางเรื่องพูดไปแล้วคงไม่สนุก ต่อให้เจ้าไม่พูดก็ตามเจ้าจะรู้เมื่อถึงเวลาที่ควรรู้”

“เฮ้ เจ้าลึกลับมากนักหรือ?แค่ชื่อก็บอกไม่ได้หรือยังไง?” ฉีมู่จ้องมองเขา

“เขาไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย!” หมิงจูบุรุษหนุ่มรูปงามตัดสินใจสะบั้นสัมพันธ์กับเย่ว์หยางโดยตรง

หลังจากเย่ว์หยางเดินออกไปทั้งสองคนมองหน้ากันเองอีกครั้ง

บุรุษหนุ่มหมิงจูขมวดคิ้ว

ถ้าบุรุษทั่วไปขมวดคิ้วอย่างนั้นคาดได้ว่าจะกลายเป็นสีหน้าที่น่าอายทันที มันน่าเกลียดเท่าที่เป็นไปได้ แต่คุณชายหมิงจูผู้นี้ไม่ใช่ การขมวดคิ้วของเขาไม่น่าเกลียดแม้แต่น้อย ที่น่าแปลกก็คือเขาขมวดคิ้วได้งามกว่าสตรีเสียอีก

ฉีมู่ก็ขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดเป็นเวลานานทันใดนั้นเขาปรบมือ  “คิดว่าเจ้าเด็กนี่เราเคยพบเห็นมาก่อนไหม?”

หมิงจูปฏิเสธทันที  “เป็นไปไม่ได้ เราไม่เคยพบเจอเขามาก่อน!”

ฉีมู่ถาม“ถ้าอย่างนั้นทำไมข้ารู้สึกว่าคุ้นๆ?”

หมิงจูแค่นเสียงทันที “คุ้นหรือ?เจ้าแน่ใจหรือ? เจ้าแน่ใจว่ากลิ่นโง่ จะไม่เหมือนกันใช่ไหม?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด