ตอนที่แล้วตอนที่ 1039 กลัวเจ้า! ข้าคนสำคัญระดับชาติ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1041 วิกฤต ลอบโจมตี

ตอนที่ 1040 กับดัก วิกฤต สนุก?


แม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เพราะความสงสัยของเย่ว์หยางเด็กช่างสงสัย ไม่ว่าจะเป็นคนตาเดียว ทอเรนเป่ยและบุรุษสี่แขนพวกเขาได้แต่ลืมตาแต่ปิดปาก

หลายครั้งที่เย่ว์หยางบอกว่าเขาแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น

เขาต้องการกลับไปพักที่ค่าย

แต่ทอเรนเป่ยและมนุษย์สี่แขนรู้สึกว่าประสาทจำแนกเส้นทางของเจ้าเด็กใหม่ยังแย่อยู่ พวกเขาไม่อาจฝืนมโนธรรมปล่อยเจ้าเด็กนี่ไปโดยไม่ดูแลแน่นอน

ดังนั้นพวกเขาจึงรั้งเย่ว์หยางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าหวังว่าเขาจะไม่เพ่นพ่านไปทั่วและพบเจอสัตว์ประหลาดโบราณโดยไม่ตั้งใจซึ่งจะทำให้กลุ่มเก็บกวาดสนามรบอย่างยากลำบากขึ้น นอกจากนี้ คนที่ไม่สามารถทำงานได้ไม่ใช่มีแต่เย่ว์หยางเท่านั้นอย่างเช่นเจ้าสัวร่างอ้วนเตี้ยเป็นต้น พวกเขาไม่ใช่นักรบกองกำลังหลักแต่ก็ยังติดตามอยู่แนวหลังด้วยไม่ใช่หรือ?

เย่ว์หยางติดตามกลุ่มผู้ท้าทายผ่านด่านนี้อยู่สามวัน

ที่สำคัญหลังจากสู้รบแล้ว เขาได้ยินข้อมูลจากหัวหน้าใหญ่ทั้งห้าน้อยมาก

หัวหน้าใหญ่มีนามว่าเริ่นเทียนเกอได้รับการกล่าวขานว่ามีสายเลือดของเผ่าภูตบูรพา แม้ว่าจะเป็นบรรพบุรุษที่ห่างไกล แต่สายเลือดของเผ่าพันธุ์ภูตบูรพาก็สืบทอดมาถึงเขาในวันนี้ นี่คือเหตุผลที่ทุกคนยอมรับเขาในฐานะหัวหน้าใหญ่

นักสู้ปราณราชันย์ระดับแปด

ในสายตาของผู้ท้าทายผ่านด่านเขาเป็นเสมือนเทพมีพลังที่มิอาจคาดคิดไม่ใช่เพียงแค่นั้นเริ่นเทียนเกอมีสายเลือดเผ่าพันธุ์ภูตบูรพาที่สูงส่ง!

ในตอนที่จีอู๋ลี่อาละวาดเริ่นเทียนเกอเพิ่งจะถอยกลับมา

ตัวเขาต้องคลาดกับศัตรูระดับสูงขนาดนั้น

เริ่นเทียนเกอเสียใจ!

อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนมีเหตุผลมากและเขาไม่ผยองจนคิดว่าตัวเขาสามารถหยุดจีอู๋ลี่ได้แน่ เพราะในค่ายฝ่ายเทพมีเจ้าตำหนักแสงจงหัวที่เข้ามาและสามารถข่มพลังเขาได้  การมาถึงของเจ้าตำหนักแสงจงหัวกระทบกระเทือนต่อตำแหน่งหัวหน้าพันธมิตรฝ่ายเริ่นเทียนเกอมาก เขาจึงต้องล่าถอยเพื่อไปฝึกปรือพลังฝีมือให้ก้าวหน้า  คาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เขาหยุดพัก จีอู๋ลี่ผู้น่ากลัวก็มาถึงและทำการต่อสู้ระหว่างฝ่ายเทพและฝ่ายมาร  จงหัวเสียยอดฝีมือระดับสูงฝ่ายเทพไปเกือบหมด

ถ้าไม่ใช่เพื่อรีบฟื้นฟูพลังของฝ่ายเทพเริ่นเทียนเกอคงไม่รวมกลุ่มกวาดล้างเส้นทางโบราณ และหาซากสมบัติโบราณ

เขาหวังจริงๆว่าจะได้รับสมบัติลับมาฟื้นฟูความรุ่งเรืองของฝ่ายเทพ

เริ่นเทียนเกอมีพละกำลังที่แข็งแกร่งแสดงพลังอำนาจในทุกที่เหมือนกับเป็นราชา  แต่ท่าทีของเขาไม่หยิ่ง  เขาเป็นหัวหน้าที่รับฟังข้อโต้แย้งและให้เกียรติกับคนที่มีปัญญามากกว่าอย่างสุภาพ  ด้วยสถานะของเขาเขาไม่ชอบผู้ท้าทายผ่านด่านฝีมือธรรมดา แต่เริ่นเทียนเกอเก่งในการซื้อใจผู้คน ขณะที่เย่ว์หยางอยู่ในหมู่ทหารผู้น้อยแต่มีพลังปราณฟ้าเพียงระดับห้า  ในช่วงเวลาสั้นๆสามวันเขาสนใจสังเกตหลายอย่าง ไม่ใช่แค่คนตาเดียวที่เป็นบริวารของเริ่นเทียนเกอทอเรนและคนอื่นจะส่งเสียงโห่ร้องเรียกชื่อเขา แต่จะไม่เรียกเขาเป็นเจ้านาย

บุรุษตาเงินผู้มีปัญญาต่างจากเริ่นเทียนเกอ  เวลาเขาพูดคุยกับผู้คนคนรอบตัวจะทักทายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

เจ้าสัวผู้ร่ำรวยเงินทองไม่มีใครคาดถึง... บุคลิกภาพที่ทรงพลังของคนผู้นี้คือเสน่ห์  เย่ว์หยางมองด้วยทึ่ง

ชื่อจริงของบุรุษตาเงินไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและผู้นำทั้งห้าไม่ได้พูด เป็นแต่เย่ว์หยางบังเอิญพบ คนส่วนใหญ่จะเรียกเขาว่า ‘บัณฑิตตาเงิน’แต่บุรุษตาเงินไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย

บัณฑิตใหญ่ผู้นี้มีบุคลิกภาพที่มีเสน่ห์หาใครเทียบมิได้เขาเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของฝ่ายเทพมานานเป็นเวลาพันปีแล้ว  เขาไม่เคยรับหน้าที่หัวหน้าใหญ่  ก่อนที่เริ่นเทียนเกอจะมา  เขาช่วยผู้นำมาหลายรุ่นแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างบัณฑิตใหญ่อาศัยอยู่ในหุบเขาปีศาจมาเป็นเวลานานและไม่เคยพูดถึงคะแนนของเขาว่ามีมากพอหรือไม่  สำหรับความเคลื่อนไหวนี้ ผู้ท้าทายผ่านด่านรู้สึกได้ถึงความเมตตาของบัณฑิตตาเงิน  เขาทนเห็นการล่มสลายของฝ่ายเทพไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอยู่ในหุบเขาปีศาจเพื่อรักษาฝ่ายเทพไว้ป้องกันไม่ให้ฝ่ายมารกลืนได้หมดสิ้น

ความจริงเมื่อจีอู๋ลี่เปิดฉากฆ่าฟันเป็นบัณฑิตตาเงินที่นำกำลังต่อต้าน ถ้าไม่ใช่เพราะบัณฑิตใหญ่ผู้นี้เกรงว่าจีอู๋ลี่และจงหัวคงร่วมมือกวาดล้างผู้ท้าทายผ่านด่านของฝ่ายเทพจนหมดไม่เหลือ

คนผมแดงเหมือนปีศาจมีชื่อว่า“ฮ็อก” มีพลังชั้นปราณราชันย์ระดับห้า แต่เป็นลำดับสุดท้ายของห้าผู้นำ

เย่ว์หยางคิดว่าฮ็อกผู้นี้เป็นคนที่ง่ายที่สุดในหัวหน้าห้าคน

เพราะคนผู้นี้ไม่มีความลับ

บุรุษหนุ่มรูปงามชื่อเฉียนจ้ง ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเป็นลำดับที่สองจากท้าย  แต่เย่ว์หยางมักรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย  เขานึกถึงเหตุผลเจาะจงไม่ออก...  อาจเป็นเพราะเขาเสียใจที่คนอื่นหล่อกว่า  ต้องอธิบายว่านี่เป็นผลมาจากความริษยาในใจของเขาเอง

บุรุษผอมสวมหน้ากากทรงพลังในกลุ่มผู้นำมีชื่อว่าชิงหมอ

เล่ากันว่าเขาเป็นฆาตกรกระหายเลือดและมีความกระตือรือร้นมากขนาดไหนคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่จิตผิดปกตินี้มาอยู่ในฝ่ายเทพได้

สำหรับชิงหมอที่อยู่ฝ่ายเทพนี้แม้ฝ่ายเทพเองก็มักมีศัตรูของเขาบ่อยๆ

ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เขาง่ายๆ

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือเมื่อจีอู๋ลี่จะทำลายปราสาทเทวดา  เขาเข้าต่อต้านและเกือบตายโดยเขาตรึงจีอู๋ลี่ได้เกือบสิบนาทีช่วยชีวิตสหายเกือบห้าพันคนให้ล่าถอยอย่างปลอดภัย  จนถึงตอนนี้ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นฟูเต็มที่และเพราะเหตุนี้เองสหายในฝ่ายเทพจึงยอมรับฆาตกรบ้าคลั่งอย่างชิงหมอร่วมในกลุ่มผู้นำฝ่ายเทพต่างหากจากบัณฑิตตาเงิน เริ่นเทียนเกอ ก็มีชิงหมอผู้นี้ที่สำคัญรองลงมา

เย่ว์หยางรู้สึกคุ้นกับกลิ่นอายของชิงหมอเลือนราง  เขาไม่แน่ใจสถานะของชิงหมอ  แต่เขารู้สึกว่าคนผู้นี้มาจากหอทงเทียน

บางทีอาจเป็นคนหอทงเทียนที่รอดชีวิตตกค้างอยู่ในแดนสวรรค์  หรืออาจเป็นตระกูลกบฏของหอทงเทียนก็ได้

อย่างไรก็ตามชิงหมอผู้นี้เขาค่อนข้างคุ้นจากการใช้จักษุทิพย์ตรวจดู

มุ่งหน้าสู่ทางผ่านไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

มีผู้นำทั้งห้านั่งอยู่ในสนามรบและมีนักสู้ผู้ท้าทายผ่านด่านเกือบพันคนนอกเหนือจากการหมุนเวียนผู้ท้าทายผ่านด่านฝีมือธรรมดาสองพันคน  แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้มาอย่างหนักตลอดทางไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งพลังยิ่งใหญ่นี้ได้ สัตว์ประหลาดในอุโมงค์โบราณ พบกับความตายมากมายและตอนแรกพวกมันพยายามต่อสู้ดิ้น แต่ต่อมาก็ไม่สามารถต่อต้านได้ พอสัตว์ประหลาดขวัญเสียมันจึงเริ่มหนี พอล้มตายตัวหนึ่ง พวกมันก็เสียกำลังใจ...นักสู้ผู้ท้าทายผ่านด่านธรรมดาคิดว่า จะต้องทุ่มเงินและประสบการณ์ไปมากเพื่อเข่นฆ่าหาเมืองล่มสลายใต้ดิน

คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อห้าผู้นำตามมาถึง

ซากเมืองใต้ดินกลับว่างเปล่าและมีอสูรปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนตายอยู่แล้ว

ห้าผู้นำสั่งให้กองทหารที่ใหญ่ที่สุดระวังทั้งวันและพบว่าสัตว์ประหลาดโบราณหลบหนีไปไม่เหลือร่องรอย พวกเขาจึงรู้สึกโล่งใจ

การต่อสู้ครั้งนี้เหมือนกับนักมวยสองคนต่อยตีกันเพื่อแย่งเนื้อแม้แต่ฝ่ายที่ได้เปรียบก็ยังวางใจไม่ได้ง่ายๆ นักมวยที่แรงหมดแล้วพร้อมที่ทุ่มพลังอึดสุดท้ายโจมตีอย่างเด็ดขาด  คาดไม่ถึงว่าก่อนจะปล่อยหมัดออกมาศัตรูกลับทรุดกับพื้นอย่างอ่อนแรง

แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีกว่า

แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่ไม่ดีไม่น่าพอใจ  “ทุกคนแบ่งเป็นกองละร้อยคนร้อยคนแบ่งออกเป็นสิบหมู่ หมู่ละสิบคน จงค้นหาซากเมืองโบราณ ถ้าเราค้นพบสมบัติลับมีค่า เราจะทำการแบ่งปันอย่างเหมาะสมตามการมีส่วนร่วมของพวกเจ้า”  เริ่นเทียนเกอออกคำสั่ง ผู้ท้าทายผ่านด่านส่งเสียงโห่ร้องตอบรับ  หัวหน้าใหญ่ทั้งห้าไม่ผูกขาดสมบัติลับนี้ เรื่องดีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนค้นสมบัติ

“.....” ทุกคนกำลังโห่ร้อง มีแต่เย่ว์หยางขมวดคิ้ว

เห็นได้ชัดว่าผู้นำทั้งห้าไม่ได้มาเพื่อสมบัติลับใดๆ  เป้าหมายของพวกเขาก็คือวิหารปีศาจฟ้า

ถ้าจุดนี้ยังอยู่ในความคาดหวังของเย่ว์หยาง พื้นที่รังมารของเมืองใต้ดินนี้คงอยู่ได้มานาน ความเงียบสนิทเป็นสิ่งที่เย่ว์หยางคาดไม่ถึง  ผู้ท้าทายผ่านด่านธรรมดาไม่สามารถมองเห็นความแปลกประหลาดของเรื่องได้  แต่เย่ว์หยางคิดว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างนั้น  สัตว์ประหลาดที่อ่อนแอพวกมันพยายามต้านทานทำไม ทำไมสัตว์ประหลาดโบราณเหล่านี้จึงเลี่ยงที่จะหนี? ตามที่เย่ว์หยางคาด อสูรปีศาจโบราณที่อาศัยอยู่ในซากเมืองใต้ดินน่าจะแข็งแกร่งพอๆ กับฝ่ายเทพ มิฉะนั้นพวกมันคงจะสูญพันธุ์ไปหลายล้านปีแล้ว

ในเมื่อพวกมันแข็งแกร่งกว่าแล้วทำไมพวกมันจึงหนีผู้ท้าทายผ่านด่าน?

ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายพันธมิตรเทพไม่ได้ยังไม่มีความสมบูรณ์แม้แต่น้อยเพราะถูกจีอู๋ลี่เข่นฆ่าสังหารไปมาก นักสู้ฝีมือดีของห้าหัวหน้าใหญ่มีเหลือเพียงพันคน  ด้วยกำลังคนเพียงเท่านี้จะทำให้สัตว์ประหลาดโบราณนับไม่ถ้วนกลัวได้อย่างไร?

ล้อเล่นแน่ๆ!

ปัญหาก็คือเรื่องล้อเล่นนี้เกิดขึ้นจริง....เย่ว์หยางรู้สึกว่าเมืองรังมารใต้ดินนี้เหมือนเป็นกับดักหลุมพราง  แต่ว่าจะมีหลุมพรางมากี่หลุมกันแน่!

“จีอู๋ลี่ไปแล้ว ในค่ายมารใครอื่นที่ยังมีความสามารถแบบห้าผู้นำฝ่ายเทพหรือไม่? ถ้าไม่ใช่เพราะคนของค่ายมารเป็นราชาแห่งอสูรปีศาจโบราณจะมีปัญญาสูงเช่นนี้หรือไม่?”  เย่ว์หยางยิ่งคิดก็ยิ่งอึดอัด ทันใดนั้นมีความคิดที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในใจของเขา  เขาอดหนาวยะเยือกไม่ได้  ไม่น่าจะเป็นจอมปีศาจไคเทียนที่ถูกผนึกในวิหารปีศาจฟ้าหลุดหนีออกมาจากผนึกได้?”

ถ้าเป็นเรื่องจริงอย่าว่าแต่หัวหน้าใหญ่ทั้งห้าเลย เย่ว์หยางเองก็ต้องระวัง

มิฉะนั้นอาจเป็นกับดักหลุมพรางที่จอมปีศาจไคเทียนสร้างไว้ที่นี่

เย่ว์หยางหลั่งเหงื่อพรั่งพรู

เขารู้สึกว่าขนในร่างกายลุกชูชัน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสยองขวัญราวกับอยู่ที่ปากเสือร้าย

นั่นเป็นชีวิตอมตะที่อยู่มานานเป็นหมื่นๆปีแล้วไม่ควรข้าไปยุ่งง่ายๆ มีแต่จะถูกจอมปีศาจไคเทียนกำจัดมากกว่าคนจะตายมากขึ้น “เจ้า..โง่หรือเปล่ายังรออะไรอยู่ตรงนี้? เจ้าได้ยินเรื่องรังมารแล้วไม่ใช่หรือ?  เจ้าเคยได้ยินเมืองใต้ดินที่ล่มสลายมาบ้างไหม?  ที่นี่มีสมบัติลับ  เด็กน้อย เจ้ายังจะรออะไ?  รีบไปหาสมบัติ” บุรุษตาเดียวเขย่าปลุกเย่ว์หยางให้ตื่นจากภวังค์

“สมบัติลับของโลก?”  หลังจากได้ยินแล้วเย่ว์หยางมีอาการสั่นกลืนน้ำลายถาม “มีสมบัติลับอยู่ที่นี่ ใครเคยมาถึงที่นี่ก่อนหรือ?”

“เจ้าเป็นตัวอะไร?  นี่เป็นบัณฑิตตาเงินพูดเอง! เด็กน้อย! เจ้าคงไม่คิดหรอกนะว่าคนอย่างเขาจะโกหก? ข้าจะบอกให้ สิ่งที่เจ้าต้องทำคืออย่าถามเหตุผล อย่าพูดเรื่องไร้สาระ สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำคือลงมือ!” บุรุษตาเดียววิพากษ์วิจารณ์เย่ว์หยางอย่างไม่เกรงใจ เมื่อเห็นว่าเย่ว์หยางเป็นเด็กใหม่ที่ไม่เข้าใจอะไรเขาต้องการชกเย่ว์หยาง  เพราะต่อหน้าเขาไม่ควรมีใครสงสัยบัณฑิตตาเงิน

เย่ว์หยางตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

ตอนแรกเขาสงสัยบัณฑิตตาเงินเล็กน้อยแต่ตอนนี้เขายิ่งสงสัยมากขึ้น

ดูเหมือนว่าเย่ว์หยางถามเกี่ยวกับเรื่องเขาตัวเขาเองบัณฑิตตาเงินหันมาทันที เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองดูเย่ว์หยาง เขารู้สึกตัวชาและรีบหดตัวซ่อนอยู่ในกลุ่มคนหวังว่าทักษะอำพรางของจะปกปิดตัวตนเขาได้สำเร็จ

เริ่นเทียนเกอสังเกตเห็นบัณฑิตตาเงินเช่นกันเขาหันไปถาม  “มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?”

คำตอบของบัณฑิตตาเงินไม่เหมือนก่อนอีกต่อไปแต่เขายิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย “มีเด็กใหม่ที่ดูน่าสนใจจริงๆ”

เขาพูดเช่นนี้

สี่หัวหน้าที่เหลือทุกคนมีปฏิกิริยาแตกต่างออกไป

เริ่นเทียนเกอตะลึงตอนแรกจากนั้นเขาหัวเราะพอใจ  “เพราะเจ้าพูดตลกฮ่าฮ่าฮ่า  เจ้าเด็กใหม่นั่นต้องน่าสนใจแน่ ข้าก็ชอบเจ้าเด็กใหม่นี่”

ฮ็อกบุรษแดงแค่นเสียงไม่พอใจ  เขาไม่สนใจเด็กใหม่อ่อนแอ

มือกระบี่รูปงามและหยิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

แต่เขารีบหันไปสนใจทางอื่นอย่างรวดเร็ว

บุรุษผอมสวมหน้ากากชื่อชิงหมอค้นหาตำแหน่งเย่ว์หยางอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนเขาต้องการค้นหาเด็กใหม่ที่น่าสนใจผู้ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้คนนอกจากการฆ่าหรือเป็นเครื่องจักรฆ่าคนแล้ว...ถ้าไม่ใช่เพราะเริ่นเทียนเกอคอยกันเขาออกห่างคาดว่าชิงหมอผู้นี้คงต้องตามหาเย่ว์หยาง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความคิดอยากฆ่าเด็กใหม่อย่างรุนแรงนัก

“บางครั้งชีวิตจำเป็นต้องมีเรื่องสนุกเล็กน้อย”  บัณฑิตตาเงินพูดเชิงปรัชญา  แต่ในหูของเย่ว์หยางเขารู้สึกว่านี่เป็นการพูดเล่นสำนวน ไม่มีความหมายอื่น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด