ตอนที่แล้วบทที่ 13: ร้านอาวุธและการซุ่มโจมตี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15: ไอ้อ้วนดำ ‘ต้าสยง’

บทที่ 14: ถอยห่างและรวมตัว


ทันทีที่ลูกดอกพุ่งมาจิตสังหารอันรุนแรงเองก็ระเบิดตามทำให้ทั้งสองสัมผัสได้อย่างชัดเจนทันที

ถังเจิ้นกระโดดออกจากจุดนั้นอย่างรวดเร็วและเห็นเงาดำเรียวยาวพุ่งหน้าไปผ่านไปต่อหน้าต่อตาซึ่งเห็นว่าเป็นลูกธนูปลายแหลม

โชคดีที่ความเร็วของลูกดอกทั้งสองนี้ไม่เร็วเกินไปจึงทำให้ทั้งคู่มีโอกาสหลบเลี่ยง  ทางด้านถังเจิ้นที่จู่ ๆ ต้องเจอเข้ากับลูกดอกแบบนี้ก็หลั้งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดกลัว

ภาพมโนความรู้สึกที่ตนเองโดนลูกดอกนี้เสียบทะลุหัวใจทำเอาขนหัวลุกซู่

หลังจากหลีกเลี่ยงการลอบโจมตีที่ร้ายกาจนี้แล้วทั้งสองก็ชักอาวุธออกมาพร้อมกันและหันหลังชนกันอย่างระมัดระวังโดยชี้ปลายอาวุธไปที่กอหญ้าสูง ๆ รก ๆ โดยรอบ

เมื่อตั้งท่าพร้อมรบแล้วก็เห็นว่ามีสามคนกระโดดออกมาจากกอหญ้าแต่ละด้านจริง ๆ และทำการล้อมหน้าล้อมหลังทั้งคู่  อาวุธในมือพวกมันสะท้อนแสงเย็นเยียบ

คนเหล่านี้ยังแต่งกายด้วยผ้าขี้ริ้ว  แต่เมื่อเทียบกับผู้พเนจรทั่วไปแล้วท่าทีของพวกมันดูจะดุร้ายเกินไปเยอะแถมแววตาของพวกมันยังเผยนัยยะว่า ‘กูจะลอกคราบพวกมึงให้เกลี้ยง’ ด้วยความโล�

“กลุ่มโจร!”

เฉียนหลงมองพวกมันด้วยสีหน้าระแวดระวังพลางกระซิบเบา ๆ

ถังเจิ้นรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินและแอบคิดว่าซวยชิบหาย

กลุ่มโจรในหมู่ผู้พเนจรมีชื่อเสียที่โด่งดังมากว่าเป็นไอ้พวกบ้าไร้อารยะธรรมที่เอาแต่แหกปากกู่ร้องไล่ทุบตีคนไม่ต่างจากหมาข้างถนน

ไอ้พวกนี้ทำทุกอย่างตามใจชอบโดยไม่มีลิมิต  ดังนั้นการฆ่าเพื่องสนองนีตจึงเป็นเรื่องธรรมดา  แม้แต่เนื้อคนด้วยกันพวกมันก็ยังเอามากินอย่างเอร็ดอร่อย

ในบรรดาโหลวเฉิงหลายแห่งในโลกนี้มีวิธีลับในการสื่อสารระหว่างกัน  และมีองค์กรที่คล้ายกับสหภาพแรงงานรับจ้างอยู่ด้วย  และด้วยความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มการติดต่อนี้ทำให้สามารถเผยแพร่ค่าหัวของคนได้  โดยชายสิบอันดับแรกที่มีค่าหัวสูงสุดล้วนมาจากกลุ่มโจรในแดนทุรกันดาร

เมื่อสมาชิกของกลุ่มโจรถูกจับได้พวกมันจะถูกแขวนคอ 100% และส่วนใหญ่เมื่อถูกรวบจะถูกรวบกันหมด  มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หลุดลอดตาข่ายได้

วิกลจริต  ทำชั่วสารพัด!

นั่นคือคำแปลแรกที่ถังเจิ้นใช้กำกับกลุ่มโจรพวกนี้  และตอนนี้ไอ้พวกเวรนี่มันก็กำลังหมายหัวเขาอยู่

สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านพื้นที่รกร้าง  และถังเจิ้นรู้สึกได้ถึงความอยากฆ่าที่สาดเข้ามาได้บาง ๆ

หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มโจรดูคุ้นเคย  และถังเจิ้นก็จำได้ในทันทีว่าตนเองเคยเห็นหน้าไอ้นี่ที่ร้านของชำมาก่อนนี่หว่า!

‘จะว่าไปตอนนั้นเรากะเฉียนหลงกะลังนับลูกปัดสมองอยู่เลยหนิ  แล้วไอ้ห่านี่แม่งก็อยู่ด้วย  มาคิด ๆ ดูแล้วมันน่าจะเป็นหน่วยสอดแนมสินะ!’

‘เห็นทีพวกมันจะเล็งเราไว้ก่อนแล้ว  พอเห็นพวกเราออกจากเมืองผู้พเนจรมาก็เลยล่วงหน้ามาดักปล้น’

‘ถ้าแม่งปล้นสำเร็จทั้งชีวิตกูกะเฉียนหลงก็จะโดนพวกแม่งเอาไปด้วย  พวกเวรนี่ไม่มีทางปล่อยให้เราเอาชีวิตรอดกลับไปได้อยู่แล้ว  ไม่งั้นเรื่องของพวกมันคงแดงแล้วจะไปแอบส่องเหยื่อในเมืองผู้พเนจนไม่ได้ง่าย ๆ อีก’

การปล้นแกะอ้วนจากเมืองผู้พเนจรเองก็เป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของโจรกลุ่มนี้

แต่น่าเสียดาย!

พวกมันเสือกเข้ามากยุ่งกับลูกปืน!

ในเมื่อเป็นการเอากันถึงตายงั้นก็ไม่มีอะไรต้องลังเล

ก่อนที่ฝ่ายมันจะพูดอะไรเฉียนหลงก็ตะโกนด้วยความโกรธแล้วเงื้อแขนขว้างดอกสว่านยาวหนึ่งฟุตที่โดนเหลาจนแหลมออกไป!

ดอกสว่านเหล็กที่ทั้งหนาและหนักได้พุ่งใส่ไอ้ตัวตรงหน้า

กลายเป็นว่าเจ้าเฉียนหลงนี่ได้เอาอาวุธที่คล้ายเข็มเบอร์ใหญ่นี้ซุกไว้ที่ซองหนังต้นขาซึ่งสามารถชักออกมาปาได้ทันทีที่พบศัตรู

‘อาวุธลับ’ ที่มีน้ำหนักกว่าหนึ่งจินนี้ทรงพลังมากพอที่จะปาทะลุหัวโจรที่อยู่ตรงหน้าได้เลย

ถังเจิ้นเหมือนจะได้ยินเสียง “โผละ” เบา ๆ จากนั้นก็เห็นอาวุธลับเจาะเข้าไปในหัวกะโหลกของโจร  ไอ้ตัวที่โดนก็มุมปากกระตุกยิก ๆ แล้วพยายามเงื้อแขนแต่ก็ร่วงลงไปนอนคุยกับรากหญ้าอย่างไม่เหลือเรี่ยวแรง

หลังจากโจมตีสำเร็จเฉียนหลงยังคงเดินวนรอบ ๆ โดยกวัดแกว่งดาบยาวเข้าต่อสู้กับพวกโจร

แต่ละกระบวนท่าที่ใช้ออกล้วนทรงพลัง  การควบคุมกำลังทำได้อย่าละเอียดละออแม่นยำ  การเคลื่อนไหวไหลลื่นสบายไม่ต่างจากหายใจ  รวมกับอาวุธมีคมในมือแล้วสามารถต่อกรกับคนสองคนโดยไม่มีอาการหอบเลยแม้แต่น้อย

แต่เพราะศัตรูมันเยอะกว่าดังนั้นเฉียนหลงจึงถูกตีโต้และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในไม่ช้า

ถังเจิ้นซึ่งแต่เดิมอยากเอามีดไปฟันกับพวกมันก็ต้องลังเลเมื่อเห็นฉากนี้  ฝั่งเขาที่ต้องเจอกับสามคนเลยไม่กล้าลังเลต่อจัดการชักปืนพกออกจากเอวแล้วเหนี่ยวไกใส่พวกมันทั้งสามที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

เขาไม่คิดจะวัดกำลังกับพวกมันอีกต่อไป  คิดแค่ว่าต้องให้พวกมันชะงักเพื่อช่วยเฉียนหลงไปพร้อม ๆ กัน

และด้วยระยะห่างที่สั้นมากแถมพวกมันยังไม่รู้ด้วยว่าถังเจิ้นมีปืนดังนั้นถังเจิ้นเลยมีโอกาสยิงใส่พวกมันชนิดที่โดนเข้าเต็ม ๆ

“ปัง  ปัง  ปัง...!”

เขารัวหมดแม็กในชั่วพริบตาโดยโจรทั้งสามที่ได้ลูกปืนไปกินก็ร่วงลงพื้นในสภาพศพที่โชกไปด้วยเลือด

พลังของลูกปืนนั้นรุนแรงพอที่จะปลิดชีพพวกมันทั้งสามก่อนที่จะมีโอกาสได้เข้าถึงตัวถังเจิ้นซะอีก

และเสียงปืนที่ระเบิดรัวปานเหมือนเม็ดฝนพร้อมพลังสังหารอันกล้าแกร่งก็ทำให้ไอ้พวกโจรที่เหลือต้องนิ่งและมองศพทั้งสามด้วยสายตาตื่นตระหนก

พวกมันรู้ดีว่าอาวุธในมือของถังเจิ้นคือปืน  และยังเป็นปืนยิงซ้ำได้ที่มีราคาแพงมาก!  พวกมันเคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ของอาวุธสังหารชนิดนี้  แต่ไม่คิดว่าไอ้แกะอ้วนสองตัวนี่จะถือครองมันอยู่!

‘กลายเป็นว่าไอ้แกะอ้วนสองตัวนี่ดันไม่ใช่แกะ  แต่เป็นปีศาจอ้วนที่รอพวกเรามาเป็นเหยื่อ!’

บังเอิญพวกโจรดันเกิดความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวสมองทำให้พวกมันทุนกคนเสียสมาธิไป

เฉียนหลงที่ตาแดงก่ำไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว  เขาฉวยจังหวะนี้ฆ่าไอ้ฝั่งตัวเองไปหนึ่งตัวก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ถังเจิ้นอย่างว่องไว

ตอนนี้แม็กเก่าว่างเปล่าถังเจิ้นเลยหยิบแม็กใหม่มาเปลี่ยนอย่างลก ๆ เนื่องจากไม่เคยฝึกฝนมาก่อนทำให้ใส่แม็กใหม่พลาดไปสามรอบจนทำให้วิตกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว

ถ้าไอ้พวกโจรมันบุกเข้ามาตอนนี้เลยล่ะก็เขาคงเสร็จพวกมันไปแล้ว

แต่ก็พวกมันก็ไม่เข้ามาทำให้เขาเสียบแม็กสำเร็จในครั้งที่สี่  และไอ้พวกโจรที่เห็นดังนั้นก็หันหลังหนีกันอย่างไวด้วยความอับอายขายหน้า!

แม้พวกมันจะบ้าแต่ว่าไม่โง่  ย่อมรู้ดีว่าถ้าจะเอาต่อล่ะก็ได้ตายกันตรงนี้แน่นอน  ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเป็นแค่แกะอ้วนสองตัวในสายตาพวกมัน  ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะกลายเป็นพญามารแบบนี้  ครั้งนี้พวกมันขาดทุนย่อยยับแล้ว

อาวุธของศัตรูทรงพลังมาก  ไม่วิ่งตอนนี้แล้วจะวิ่งตอนไหน?

เมื่อเห็นโจรวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวทั้งสองก็หันมองหน้ากันและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลังจากเช็คแอปแผนที่และยืนยันว่าพวกโจรได้หนีไปหมดแล้วถังเจิ้นก็เก็บอาวุธด้วยมือที่สั่นเทาพร้อมกับสบถด้วยความขมขื่น “เชี่ยเอ๊ย...!”

เฉียนหลงนั่งหอบกับพื้นอย่างหนัก  เพราะการต่อสู้เมื่อกี้ทำให้เขาหมดพลังงานไปมาก

หลังจากพักผ่อนชั่วครู่เฉียนหลงตรวจดูบาดแผลที่แขนตนเองอยู่ครู่หนึ่ง  จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มลอกคราบศพของพวกโจร  เพราะไหน ๆ ก็เป็นถึงกลุ่มโจรที่ออกปล้นในแดนทุรกันดารจนมีชื่อเสียขนาดนี้แล้วน่าจะพกของดี ๆ อะไรมาบ้างใช่มั้ยล่ะ?

แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องราวไม่ได้ง่ายอย่างที่หวัง  ไอ้พวกนี้มันยากจนข้นแค้นกว่าพวกเขาเยอะ  ดังนั้นของที่ได้มาจึงมีแค่ลูกปัดสมองที่หลักสิบเม็ดกับสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

ในบรรดาอาวุธที่พวกโจรทิ้งไว้บางชิ้นก็ดูดี  และเฉียนหลงเป็นคนเก็บมันไปทั้งหมด

ถังเจิ้นไม่ชอบของพวกนี้อยู่แล้วจึงบอกเฉียนหลงให้รีบ ๆ ออกจากที่นี่เร็ว ๆ เพราะไม่อยากรอให้ไอ้พวกโจรมันไปเอาพวกกลับมาฆ่า

หลังจากนี้การเดินทางของทั้งคู่เต็มไปด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น  ถังเจิ้นนี่มือไม่ห่างจากปืน  ทางด้านเฉียนหลงเองก็อยากรู้เลยถามออกมา  ถังเจิ้นเอาปืนให้อีกฝ่ายเล่น  หลังจากเล่นจนอิ่มแล้วก็ส่งคืนให้เขา

เดิมทีถังเจิ้นคิดว่าเฉียนหลงจะสนใจอาวุธปืน  แต่กลับไม่ใช่  ตอนเอาไปเล่นสีหน้าของอีกฝ่ายดูจะไม่ได้กระตือรือร้นและเหมือนจะสนใจพวกอาวุธทั่วไปมากกว่า

ตลอดทางข้างหน้าโชคดีที่ไม่มีทางคดเคี้ยวใด ๆ และหลังจากหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์ที่เดินไปมารอบ ๆ โรงงานร้างแล้วทั้งสองก็มาถึงทางเข้าเข้าช่องใต้ดินที่ซ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ

ถังเจิ้นส่งเสียงเบา ๆ ใส่ไม้กระดานเพื่อยืนยันตัวตน

จากนั้นข้างในก็มีเสียงเสียดสีเบา ๆ ตามด้วยเสียงร้องออกแรงของผู้หญิงและไม้กระดานก็ถูกเลื่อนออกเผยให้เห็นใบหน้าประหลาดใจของมู่หรงจื่อเหยียน

เธอหลีกทางให้ทั้งสองคนเข้ามาและรีบเอาไม้กระดานปิดกลับไปทันที

“พี่ถังกลับมาแล้ว!”

มู่หรงจื่อเหยียนจับแขนของถังเจิ้นด้วยความยินดี

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ถือบิสกิตครึ่งชิ้นไว้ในมือพยักหน้าแสดงท่าทาง “อื้ม ๆ!”

ถังเจิ้นตบไหล่มู่หรงจื่อเหยียนด้วยรอยยิ้มและแนะนำเฉียนหลงให้เธอรู้จัก

ไอ้เจ้าเฉียนหลงใช้จังหวะที่มู่หรงจื่อเหยียนหันไปทางอื่นแอบขยิบตาแบบประสาที่ผู้ชายทุกคนรู้ ๆ กันให้ถังเจิ้น

ถังเจิ้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้วหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่าย

ขณะพักผ่อนถังเจิ้นก็บอกมู่หรงจื่อเหยียนถึงความคิดในการสร้างโหลวเฉิงของตน  เมื่อเทียบกับความรู้อันจำกัดของเฉียนหลงแล้ว  มู่หรงจื่อเหยียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกสาวเจ้าเมืองของโหลวเฉิงแห่งหนึ่งน่าจะมีความรู้มากกว่าและให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เขาได้

หลังจากได้ยินความคิดของถังเจิ้นแล้วมู่หรงจื่อเหยียนก็ตกใจอยู่เหมือนกัน  เมื่อได้สติแล้วเธอก็บอกรายละเอียดบางอย่างในการสร้างโหลวเฉินที่เฉียนหลงไม่ได้พูดถึงมาก่อนให้ถังเจิ้นฟัง

เมื่อเทียบกับคำบอกเล่าของเฉียนหลงแล้วข้อมูลจากมู่หรงจื่อเหยียนมีรายละเอียดและแม่นยำกว่ามาก

ปรากฎว่านอกจากศิลาเสาเอกแล้วการสร้างโหลวเฉิงยังต้องใช้ลูกปัดสมองมอนสเตอร์เลเวล 6 ขึ้นไปด้วย!

ในโลกนี้เมื่อเลเวลของผู้พเนจรถึงเลเวล 5 การเลื่อนขั้นของพลังการต่อสู้จะถึงจุดคอขวด  มีเพียงการเซ่นไหว้ที่แท่นบูชาของโหลวเฉิงและได้รับพลังวิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถเลื่อนขั้นต่อไปเป็นเลเวล 6 ได้

หลังจากเซ่นไหว้เพื่อรับพลังวิเศษแล้วบางคนจะมีความสามารถในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้  และบางคนจะมีความสามารถในการฝึกฝนศิลปะเวทมนตร์  แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตามพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างมากโดยไม่มีข้อยกเว้น

ผู้ฝึกฝนและมอนสเตอร์ในโลกนี้การแบ่งเกรดกันด้วย  อาจกล่าวได้ว่าการนับเลเวลที่แท้จริงของผู้ฝึกฝนจะเริ่มต้นหลังจากได้รับพลังวิเศษก็ไม่ผิด  หลังจากเลเวล 6 แล้วทุกครั้งที่ผู้ฝึกฝนเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวลจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

มอนสเตอร์ที่มีเลเวลต่ำกว่า 5 เองก็จะถือว่าเป็นมอนสเตอร์ธรรมดาเท่านั้น  หลังจากถึงเลเวล 6 แล้ว พวกมันเองก็สามารถได้รับพลังวิเศษและได้รับการเลื่อนขั้นเป็นปีศาจที่ทรงพลังได้เช่นกัน  เมื่อมาถึงตอนนี้ลูกปัดสมองของมอนสเตอร์ชนิดนี้จะมีค่ามากสามารถใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ได้และยังสามารถใช้ช่วยในการฝึกฝนด้วย  ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าประเมินค่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด