ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 191 เสี่ยวอันพูด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 193 วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 192 ปีศาจกิ้งกือ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 192 ปีศาจกิ้งกือ

แปลโดย iPAT  

ไม่มีสัตว์ปีศาจที่ดุร้ายหรือน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำให้หลี่ฉิงซานตอบสนองเช่นนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่สัตว์ร้ายแต่เป็นมนุษย์ หากกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นมันเหมือนก้อนไขมันที่แผ่ตัวอยู่ท่ามกลางไหสุรา

หัวของชายผู้นี้มันเงา เขาสวมเสื้อคลุมสีชมพูและเผยให้เห็นหน้าท้องที่นูนขาว เขาปลดปล่อยปราณปีศาจและกลิ่นสุราที่เข้มข้นออกมา

หลี่ฉิงซานคิดทันทีว่าเมื่อใดที่ปีศาจจะได้รับร่างมนุษย์

เขาสูดหายใจลึกและกลืนคำหยาบคายที่เขากำลังจะพ่นออกมากลับเข้าไป คนที่แอบเข้ามากินอาหารของเขาเป็นขุนพลปีศาจ!

ตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้เขาเคยเห็นขุนพลปีศาจเพียงสองตนเท่านั้น นั่นคือแมวและหนู แมวซวนเยว่ได้รับการดูแลอย่างดีดุจองค์หญิงน้อยและเอาแต่ใจ ขณะที่หนูเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาที่มีลูกน้องจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ภายในการปกครอง

ขุนพลปีศาจเป็นตัวตนระดับเดียวกับหวังฝูซื่อ หากเป็นมนุษย์ เขาจะยืนอยู่เหนือผู้คนนับล้าน แต่เหตุใดตัวตนเช่นนี้จึงทำเรื่องเสื่อมเสียดังกล่าว

นี่เป็นเหตุผลที่หลี่ฉิงซานไม่เคยคิดถึงความน่าจะเป็นนี้ตั้งแต่แรกและถูกตบหน้าด้วยความจริงอันโหดร้ายในที่สุด

อย่างไรก็ตามหน้าท้องที่สั่นกระเพื่อมของขุนพลปีศาจหัวโล้นส่งเสียงดังสนั่นทำลายความหวังทั้งหมดของหลี่ฉิงซาน มันไม่ได้รับผลกระทบจากพิษ มันแค่เมา

หลี่ฉิงซานและเสี่ยวอันมองหน้ากัน หลี่ฉิงซานถอยหลังอย่างช้าๆขณะที่เสี่ยวอันควบคุมผีดิบเหล็กไหลให้ล่าถอยเช่นกัน พวกเขาสร้างหลุมเพื่อเป็นเส้นทางหลบหนี แต่ผู้ใดจะคิดว่าแท้จริงแล้วมันจะนำไปสู่ถ้ำของตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้อีกต่อไป

“เพล้ง!”

ขุนพลปีศาจหัวโล้นเกาพุงของตนและทำให้ไหสุราแตกกระจาย

มันเหมือนเสียงฟ้าร้องสำหรับหลี่ฉิงซาน เขาหยุดเท้าลงทันที หลังจากชั่วครู่เมื่อเห็นว่าไม่เกิดสิ่งใดขึ้น เขาก็ค่อยๆล่าถอยอีกครั้ง

ภายใต้การควบคุมของเสี่ยวอัน ผีดิบเหล็กไหลเคลื่อนที่อย่างนุ่มนวลเช่นกัน

ทันใดนั้นขุนพลปีศาจพลันเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างกะทันหัน มันบิดตัวในลักษณะที่แปลกประหลาดก่อนจะยืนขึ้น แรกเริ่มน่องของมันเหยียบตรง ต่อมาก็เป็นขา และครึ่งบนของร่างกาย มันมองหลี่ฉิงซานและเสี่ยวอันด้วยความงุนงง

หลี่ฉิงซานรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สิ่งนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยของปีศาจ มันทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าขุนพลปีศาจตนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่เขาสามารถรับมือในเวลานี้

เขาโบกมือส่งยันต์สิบแผ่นออกไป พวกมันเป็นยันต์ระดับต่ำเจ็ดแผ่นและยันต์ระดับกลางสามแผ่น เขาไม่ได้พยายามฆ่าขุนพลปีศาจ เขาเพียงต้องการตรึงมันไว้แม้เพียงเสี้ยววินาทีเพื่อให้เขาและเสี่ยวอันมีโอกาสหลบหนี

ขุนพลปีศาจหัวโล้นดูเหมือนยังไม่สร่างเมา ยันต์สิบแผ่นติดลงบนร่างกายของมันอย่างสมบูรณ์ ยันต์แผ่นหนึ่งกระทั่งติดอยู่บนใบหน้าของมัน

หลี่ฉิงซานดีใจกับโชคดีครั้งนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็ติดยันต์เคลื่อนวายุไว้ที่ขาและพยายามพุ่งออกไป อย่างไรก็ตามเมื่อเขากำลังจะหันหลังกลับ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงขณะที่เขาหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน

ขุนพลปีศาจยืนอยู่ตรงหน้าเขา มันเกือบชนใบหน้าของเขาแล้ว ยันต์ที่ติดอยู่บนร่างกายของมันถูกกินเข้าไปอย่างรวดเร็วและเผยให้เห็นใบหน้าที่มึนงงของมัน

จากมุมนี้หลี่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าขุนพลปีศาจตนนี้ไม่ได้อ้วนมากนัก ร่างของมันค่อนข้างยาวและกลม ขณะที่มันยืนอยู่ตรงนั้น มันสูงกว่าหลี่ฉิงซาน มันต้องก้มลงและมองหลี่ฉิงซานด้วยดวงตาที่ปูดโปนออกมา นี่เป็นภาพที่น่าขนลุกไม่น้อย

เสี่ยวอันตอบสนองด้วยการขยับนิ้ว ผีดิบเหล็กไหลพุ่งเข้ากอดขุนพลปีศาจขณะที่หลี่ฉิงซานฉวยโอกาสนี้ล่าถอย

ขุนพลปีศาจหัวโล้นตัวสั่นและปล่อยควันสีชมพูออกมารอบๆ ผีดิบเหล็กไหลราวกับถูกสาดด้วยน้ำกรด ควันสีขาวลอยขึ้นมาจากร่างของมัน ร่างเหล็กไหลของมันละลายหายไปในพริบตา สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงเปลวเพลิงสีแดงที่บินกลับไปอยู่ในมือของเสี่ยวอันเท่านั้น

ผีดิบเหล็กไหลที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นหกกลับไม่สามารถรับการโจมตีแม้เพียงครั้งเดียวของคู่ต่อสู้ แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามไม่แม้แต่จะต้องขยับนิ้ว

หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจและหวาดกลัวควันสีชมพูนี้มาก

การเคลื่อนไหวของขุนพลปีศาจหัวโล้นรวดเร็วมาก เมื่อตระหนักว่าไม่สามารถหลบหนี หลี่ฉิงซานจึงปล่อยปราณปีศาจออกมาขณะที่ร่างของเขาสูงขึ้นจนศีรษะกระแทกเพดานหิน เขาจับและโยนเสี่ยวอันออกไปข้างนอก “เจ้าไปก่อน!”

ควันสีชมพูกระจายออกเข้ามาปกคลุมอยู่รอบตัวหลี่ฉิงซานขณะที่พื้นหินเริ่มพังทลายลง

ปราการแสงทรงหกเหลี่ยมสีน้ำเงินจำนวนมากปรากฏขึ้นท่ามกลางควันสีชมพู มันป้องกันพื้นที่รอบๆหลี่ฉิงซานเอาไว้จากการบุกรุกของควันสีชมพู นี่ทำให้หลี่ฉิงซานผ่อนคลายลงเล็กน้อย โชคดีที่กระดองเต่าจิตวิญญาณแข็งแกร่งพอ แต่ตอนนี้เขาต้องคิดหาวิธีที่จะออกจากสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็วที่สุด

เขากระทืบเท้าทำให้พื้นแตก จากนั้นเขาก็ส่งตัวเองทะยานขึ้นสู่อากาศ

ขุนพลปีศาจหัวโล้นบิดร่างกายในลักษณะที่แปลกประหลาดอีกครั้ง มันโค้งตัวไปข้างหน้าขณะที่ศีรษะของมันพุ่งขึ้นไปด้านบน ร่างของเขาหดตัวลงเหมือนสปริงที่ถูดกดลงก่อนจะสะท้อนออกไป

ทั้งหมดที่หลี่ฉิงซานเห็นคือร่างที่พร่าเลือนพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเขา

“ปัง!”

รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนกระดองเต่าจิตวิญญาณ หลี่ฉิงซานกระเด็นออกจากวิถีของเขา เขาพุ่งไปในแนวนอนและกระแทกกำแพงหลายชั้นก่อนที่ร่างของเขาจะฝังลึกเข้าไปในชั้นดิน

เขาตกใจมาก เขาพึ่งบรรลุความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว ดังนั้นเขาจึงมั่นใจในพละกำลังของตน แต่ขุนพลปีศาจตนนี้ยังแข็งแกร่งกว่าเขามาก

ขุนพลปีศาจหัวโล้นโผล่ขึ้นมาจากพื้นและลูบศีรษะของตนด้วยความมึนงง มันเงยหน้าขึ้นและมองหลี่ฉิงซานราวกับมันไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะล้มเหลวในการทำลายการป้องกันของฝ่ายตรงข้าม

ทันใดนั้นลูกประคำหัวกะโหลกสองเม็ดก็พุ่งลงมาที่ศีรษะของขุนพลปีศาจโดยตรง

ขุนพลปีศาจเงยหน้าขึ้น ขณะเดียวกันร่างเล็กก็พุ่งเข้ามาด้านหลังมันด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ร่างของเสี่ยวอันลุกโชนด้วยเพลิงสีแดง นางเปลี่ยนร่างของนางให้เป็นคบเพลิงมนุษย์และปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา

หลี่ฉิงซานรู้สึกตื่นตระหนก เขาตะโกน “อย่าโง่! ออกไปจากที่นี่!” ขุนพลปีศาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สามารถเอาชนะได้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกและส่งหมัดออกไปด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมด

ขุนพลปีศาจไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยง มันพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “เจ้าเป็นปีศาจงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงโจมตีข้า?” เสียงของมันค่อนข้างแหบพร่า แต่หลี่ฉิงซานยังเข้าใจสิ่งที่มันพูด

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหยุดนิ่งราวกับมีมือที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ามาแทรกแซง หมัดของหลี่ฉิงซานหยุดลงตรงหน้าขุนพลปีศาจขณะที่ดาบที่ซ่อนอยู่ของเสี่ยวอันหยุดอยู่ห่างจากศีรษะของมันเพียงสามนิ้ว ลูกประคำหัวกะโหลกที่ตกลงมาจากด้านบนหยุดอยู่เหนือศีรษะของขุนพลปีศาจเช่นกัน

หลี่ฉิงซานค่อยๆดึงกำปั้นของเขากลับไปและหัวเราะแห้งๆ “ถูกต้อง ปีศาจไม่ควรต่อสู้กันเอง” เขาชำเลืองมองเสี่ยวอัน “เหตุใดยังไม่มาที่นี่!” เสี่ยวอันเก็บดาบและลูกประคำหัวกะโหลกก่อนจะรีบไปอยู่ด้านข้างหลี่ฉิงซาน

หลี่ฉิงซานกลับคืนสู่ร่างมนุษย์และป้องหมัดขึ้น “ข้าขอทราบนามของท่านขุนพลปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่? ข้าคือไห่ซาน ข้าบ่มเพาะอยู่บนภูเขามาห้าร้อยปีและแทบไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ ข้าไม่มีเจตนาล่วงเกินท่าน มันเป็นความผิดพลาดของข้าจริงๆ”

“ข้าคือปีศาจกิ้งกือ ความผิดพลาดหมายถึงสิ่งใด?”

หลี่ฉิงซานรู้สึกโล่งอกหลังจากยืนยันว่าปีศาจกิ้งกือตัวนี้ไม่ได้โกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนมันจะไม่ฉลาดมากนักและค่อนข้างเฉื่อยชา

หลี่ฉิงซานเข้าใจบางสิ่งในที่สุด เนื่องจากมันเป็นกิ้งกือ มันจึงเคลื่อนที่ได้รวดเร็วแต่ความเร็วในการตอบสนองของมันค่อนข้างช้า

ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินซวนเยว่พูดเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปของปีศาจ สัตว์ปีศาจแบ่งออกเป็นสี่ประเภทคือเกล็ด ขน ปีก และกระดอง

เกล็ดหมายถึงสัตว์น้ำขนหมายถึงสัตว์บก ปีกหมายถึงสัตว์ปีก และกระดองหมายถึงแมลง

ท่ามกลางพวกมัน สัตว์ประเภทกระดองมีความหลากหลายมากที่สุด มีแมลงจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีแมลงกี่ชนิดอยู่บนโลกใบนี้

แมลงเกิดมาโดยขาดสติปัญญา พวกมันจะทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น มีแมลงหลายชนิดสามารถกลายเป็นสัตว์ปีศาจแต่มีน้อยมากที่สามารถเป็นขุนพลปีศาจ

อย่างไรก็ตามปีศาจประเภทแมลงมักแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ความเร็ว ความอดทน หรือความดื้อด้าน พวกมันเหนือกว่าปีศาจประเภทอื่นในระดับเดียวกันทั้งหมด

มดสามารถแบกรับน้ำหนักได้สี่ร้อยเท่าของน้ำหนักตัวของมัน หมัดสามารถกระโดดได้สูงร้อยเท่าของความยาวร่างกายของมันและสามารถกระโดดได้ทุกสี่วินาทีเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมง ความดื้อด้านของแมลงสาบชัดเจนเหมือนเวลากลางวัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนอาศัยอยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหารแต่พวกมันยังมีโอกาสกลายเป็นสัตว์ปีศาจ เมื่อพวกมันไปถึงระดับนั้น พวกมันจะกลายเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุด

อย่างไรก็ตามปีศาจแมลงมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือสติปัญญาที่ต่ำมากของพวกมัน แม้พวกมัจะมีสติสัมปชัญญะหลังจากควบรวมแก่นปีศาจ แต่พวกมันก็ไม่ได้ฉลาดมากนัก

หลี่ฉิงซานเกิดแรงบันดาลใจขึ้นทันที เขาถาม “ปีศาจกิ้งกือ เหตุใดเจ้าจึงกินอาหารของเรา?”

ปีศาจกิ้งกือกล่าว “ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นของเจ้า ไม่ มันเป็นของข้าทั้งหมด ทุกอย่างอยู่ใต้ดิน”

หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าต้องการมากกว่านี้หรือไม่?”

“แน่นอน!” ปีศาจกิ้งกืออ้าปากพร้อมกับน้ำลายที่ไหลออกมา

หลี่ฉิงซานพูด “ที่นี่ไม่มีอาหารอีกแล้ว แต่เหนือพื้นดินมีมากมาย เหตุใดเจ้าไม่ไปที่นั่น?”

ปีศาจกิ้งกือส่ายศีรษะราวกับใบพัดมอเตอร์ “ขึ้นไปบนพื้นดินไม่ได้”

“เพราะเหตุใด?”

ใบหน้าที่ดูมึนงงของปีศาจกิ้งกือเผยให้เห็นถึงเศษเสี้ยวของความหวาดกลัว “คำสั่ง ข้าไม่สามารถขัดคำสั่งพวกเขา”

หลี่ฉิงซานมีความสุข เขาแน่ใจแล้วว่าปีศาจกิ้งกือตนนี้รับมือได้ง่ายกว่าซวนเยว่มาก ความฉลาดเป็นเครื่องมือชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตเสมอ มนุษย์ใช้ข้อดีเพียงอย่างเดียวของพวกเขาเพื่อปราบปรามสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหมด หากพวกมันโง่เขลา มันก็ไร้ประโยชน์แม้พวกมันจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม

“ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ ข้าจะขึ้นไปนำอาหารมาให้เจ้า ดีหรือไม่?”

“ตกลง ตกลง เร็วเข้า เร็วเข้า!” ดวงตาของปีศาจกิ้งกือส่องประกายขณะที่มันกระตุ้นให้หลี่ฉิงซานรีบดำเนินการ

‘ง่ายมาก!’ หลี่ฉิงซานตะลึงเล็กน้อย มันง่ายจนเขารู้สึกละอาย แต่เพื่อให้มันดู่น่าเชื่อถือมากขึ้น เขาจึงกล่าวต่อว่า “แล้วเจ้าชอบกินสิ่งใด?”