ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 189 หาสถานที่บ่มเพาะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 191 เสี่ยวอันพูด

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 190 จอมยุทธ์ขั้นสาม (อ่านฟรี)


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 190 จอมยุทธ์ขั้นสาม (อ่านฟรี)

แปลโดย iPAT  

สถานที่แห่งนี้ทำให้หลี่ฉิงซานสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หากนิกายเมฆาพิรุณพบเขา เขาสามารถหนีเข้าไปในถ้ำ เขาเพียงต้องเก็บซ่อนกลิ่นอายของตน ด้วยวิธีนี้ นิกายเมฆาพิรุณจะไม่สามารถจับตัวเขา

ใบไม้ร่วงหล่นลงมาปกคลุมคฤหาสน์เอาไว้อีกครั้ง

มันเป็นสถานที่เงียบสงบและมีทิวทัศน์ที่งดงาม ตัวอาคารมีกลิ่นอายของความเก่าแก่และน่าหลงใหล

หลี่ฉิงซานพอใจมาก มันดีกว่าบ้านพักของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อย่างไม่สามารถเปรียบเทียบ “เราน่าจะอยู่ที่นี่สักพัก” เขาลูบศีรษะของเสี่ยวอัน “เมื่อข้าลุกขึ้นอีกครั้ง ข้าจะเคาะประตูทีละบานและทำให้นิกายเมฆาพิรุณหลั่งเลือด พวกเขากำลังฝันหากพวกเขาคิดว่าสามารถพาเจ้าไป ฮ่าฮ่าฮ่า” รอยยิ้มของเขาเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์

เสี่ยวอันหัวเราะไปตามน้ำ นางคิด ‘ถูกต้อง ไม่มีผู้ใดพาข้าไปได้’

เพื่อซื้อสถานที่แห่งนี้ เงินอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ หลี่ฉิงซานต้องพึ่งพาอำนาจของสำนักดาบสะท้านภพเช่นเดียวกับนิกายเถาองุ่นเขียวที่ใช้อำนาจดึงศิษย์ของอวี๋ฉูกวงไป

นี่คือลำดับชั้นทางสังคมที่โหดร้าย

หลี่ฉิงซานถอนหายใจ เขามองคฤหาสน์ก่อนจะค้นหาสถานที่เพื่อขุดอุโมงค์

ทันใดนั้นเสี่ยวอันก็ดึงหนังสือออกมาจากชั้นวาง ด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าด ชั้นวางหนังสือก็เคลื่อนออกไปและเผยให้เห็นบันไดที่นำลงไปด้านล่าง

หลี่ฉิงซานยกนิ้วให้เสี่ยวอัน “ทำได้ดีมาก เข้าไปดูกันเถอะ!”

ทันทีที่หลี่ฉิงซานและเสี่ยวอันก้าวเท้าเข้าไป ชั้นหนังสือก็ปิดลงโดยอัตโนมัติ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด

พวกเขาพบว่านี่คือห้องลับที่มนุษย์สร้างขึ้น มันแบ่งออกเป็นหลายสิบห้องและเชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน นอกจากนี้ยังมีธัญพืชและอาหารมากมาย

หลี่ฉิงซานเคยได้ยินมาว่าครอบครัวที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมักสร้างห้องลับเช่นนี้เมื่อพวกเขาสร้างคฤหาสน์ มันมีไว้เพียงเป็นที่พักพิงในช่วงเวลาที่เกิดการปะทะอย่างกะทันหัน หลุมหลบภัยสามารถปกป้องกองกำลังจากการถูกทำลายล้าง อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็น

สิ่งนี้ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากปัญหาบางอย่าง เขาหยิบแผนที่ใต้ดินออกมาและจับคู่กับห้องลับใต้ดิน จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องๆหนึ่ง เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปอย่างแรง

“บึม!”

พื้นทรุดตัวลงทันที ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ

รูขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนพื้น หลี่ฉิงซานก้มศีรษะลงไปและมองไปรอบๆ ดังคาด มันเชื่อมต่อกับถ้ำใต้ดินที่อยู่ด้านล่าง เขาเผยรอยยิ้มมีความสุข เขาสามารถบ่มเพาะได้อย่างสงบสุขและยังมีเส้นทางล่าถอย

เมื่อกลับขึ้นมาด้านบน อาหารยี่สิบโต๊ะก็ถูกส่งมาแล้ว หลี่ฉิงซานมีความสุขกับอาหารอย่างเต็มที่ เสี่ยวอันกินอาหารเล็กๆน้อยๆของนางก่อนจะวางตะเกียบลงและมองหลี่ฉิงซานกิน

หลังจากกินดื่มจนพอใจแล้ว เสี่ยวอันก็ไปอ่านหนังสือขณะที่หลี่ฉิงซานนั่งสมาธิอยู่ในลานบ้าน เขากลืนเม็ดยารวบรวมพลังปราณสิบเม็ดในครั้งเดียว แก่นปีศาจดูดซับพวกมันเข้าไปทันทีและเปลี่ยนทั้งหมดเป็นปราณปีศาจ

เขาตัดสินใจที่จะบ่มเพาะเคล็ดวิชาจิตวิญญาณเต่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากความก้าวหน้าของมันล่าช้าเกินไป มันจะไม่สามารถยับยั้งพลังปีศาจในตัวเขาขณะที่เขาจะไม่สามารถกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ หากเป็นเช่นนั้นมันจะนำปัญหาใหญ่มาสู่เขา

หมัดปีศาจวัวเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาแต่สิ่งที่ใช้ควบคุมแก่นปีศาจคือทักษะจิตวิญญาณเต่า

ขั้นแรกของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณเต่าทำให้เขาสามารถควบแน่นแก่นปีศาจซึ่งเทียบได้กับจอมยุทธ์ขั้นหก หากเขาบรรลุขั้นที่สอง มันจะทำให้เขากลายเป็นขุนพลปีศาจ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวนิกายเมฆาพิรุณอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามมันยากกว่าการบรรลุขั้นที่สองของเคล็ดวิชาหมัดปีศาจวัวหรือปีศาจพยัคฆ์ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่เป็นเพียงเรื่องของเวลา เขาไม่สามารถเสียเวลาสองสามศตวรรษกับสิ่งนี้ เขายังต้องการไปหากู่เยี่ยนหยินเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะ

หากหนึ่งศตวรรษผ่านไป บางทีนางอาจไม่แก่ แต่มันคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากหากเขายังจำชื่อของนางได้ ไม่ว่าเขาจะตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็นอย่างลึกซึ้งเพียงใด แต่เขาจะทนการกัดเซาะของกาลเวลาได้หรือไม่ เขาต้องพยายามเอาชนะใจนางขณะที่ความรู้สึกนี้ยังอยู่

เขายังสัญญากับซวนเยว่ว่าจะไปหานางที่มณฑลชิงหยาง ผู้ใดจะรู้ว่าการบ่มเพาะของนางจะก้าวหน้าไปเร็วเท่าใดด้วยเม็ดยาจากเจ้านายของนาง นางอาจลงเอยด้วยการบรรลุบางสิ่งและหนีไปคนเดียว เมื่อถึงเวลานั้น คำสัญญาของเขาก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องตลก

และถ้าเขาใช้เวลานานเกินไป พี่วัวที่รอเขาอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้าอาจหมดความอกทน แม้เขาจะไม่เคยเห็นพี่วัวหมดความอดทนมาก่อนก็ตาม

กล่าวได้ว่าเขาต้องอุทิศตนให้กับการบ่มเพาะและก้าวหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วที่สุด เขาต้องการยาจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อปูทางลัดสู่ความสำเร็จของเขา

เขาปิดเปลือกตาลงและดึงดูดปราณจิตวิญญาณธรรมชาติจากภายนอกเข้ามา ในเวลาเดียวกันเขาก็ดูดซับพลังงานจากเม็ดยาอยู่ภายใน

ท้องฟ้ากระจ่างใสแต่มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง เขาปล่อยแก่นปีศาจออกมาหมุนวนอยู่กลางอากาศ มันเปล่งแสงสีน้ำเงินเข้มออกมาเป็นครั้งคราวราวกับจังหวะหายใจ แสงจันทร์ถูกดูดกลืนเข้าไปในแก่นปีศาจเช่นกัน

จิตใจของเขาสงบนิ่งราวกับเต่าที่นอนอยู่ใต้ทะเลลึกและเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นเวลานับพันปี

ปราณจิตวิญญาณธรรมชาติพุ่งเข้าสู่แก่นปีศาจและร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง

ในความเป็นจริงปราณจิตวิญญาณธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ที่ทรงพลังเท่านั้นจึงจะสามารถเพลิดเพลินได้ แต่ตอนนี้มันกลับไหลเข้าสู่ร่างกายของจอมยุทธ์ระดับต่ำเช่นเขา

หากเปรียบเทียบระหว่างปราณจิตวิญญาณธรรมชาติกับพลังงานที่สกัดจากสมุนไพรที่มนุษย์ทุ่มเทสร้างขึ้น สิ่งหลังก็เหมือนกับตะกอนที่นอนอยู่ก้นไหสุรา

หลี่ฉิงซานฝึกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นมาถึงขั้นหกแล้ว เขาอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นสองในฐานะจอมยุทธ์พลังปราณ

การบ่มเพาะขั้นตอนต่อไปของเขาเป็นไปโดยธรรมชาติ เขาเริ่มบ่มเพาะมันโดยที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว

หลี่ฉิงซานไม่ได้ควบคุมพลังปราณของตน ดังนั้นมันจึงไปรวมตัวกันอยู่ที่จุดหนึ่งและไม่ได้ทะลวงขอบเขตใดๆ

อย่างไรก็ตามด้วยการสนับสนุนจากปราณจิตวิญญาณธรรมชาติ พลังปราณในร่างของเขาจึงถูกผลักดันไปข้างหน้าราวกับกระแสน้ำหลาก

เขาไม่ได้พึ่งพาเม็ดยาใดๆ แต่พลังปราณของเขายังเจาะทะลวงจุดชีพจรและปราการด่านต่างๆด้วยตัวของมันเอง

โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนมักพบสิ่งกีดขวางที่ไม่สามารถก้าวข้ามและต้องพึ่งพาเม็ดยาในการทะลวงผ่าน

มันเหมือนกับการเติมน้ำลงในแม่น้ำ แต่ตอนนี้แม่น้ำของหลี่ฉิงซานเชื่อมต่อกับมหาสมุทรอันไร้ขอบเขตโดยตรง เขาสามารถใช้ปราณจิตวิญญาณธรรมชาติได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่ว่าพลังปราณของเขาจะเผชิญหน้ากับเขื่อนกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยอ่อนแรงและจางหายไป มันยังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆแต่มั่นคง

ในที่สุดหลี่ฉิงซานก็สามารถทะลวงผ่านจุดสำคัญทั้งหมดได้อย่างไร้ปัญหา สิ่งนี้ทำให้เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นสามในฐานะจอมยุทธ์พลังปราณได้โดยไม่รู้ตัว

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านต้นไม้ขณะที่ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมาที่ไหล่ของเขา

มือสีขาวที่ละเอียดอ่อนโผล่มาจากบางแห่งและคว้าใบไม้แห้งเอาไว้ก่อนจะโยนทิ้งไป เสี่ยวอันกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาในลานบ้านด้วยไม้กวาดที่นางพบจากที่ไหนสักแห่ง ในขณะเดียวกันหุ่นเชิดมนุษย์และผีดิบเหล็กไหลก็ใช้คราดไม้กวาดใบไม้ไปทิ้งที่ใต้ต้น

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสี่ยวอันเดินไปเปิด ศิษย์สองคนของสำนักดาบผงาดฟ้านำอาหารจำนวนมากมาวางไว้บนขั้นบันไดหินที่ทางเข้า

ชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนกล่าวอย่างสุภาพ “น้องสาว นี่คืออาหารของวันนี้ ท่านหนิวยังปิดประตูฝึกตนอยู่หรือไม่?”

เสี่ยวอันพยักหน้า ก่อนหน้านี้หลี่ฉิงซานรับผิดชอบในการสื่อสารกับผู้คน แต่ตอนนี้เขากำลังบ่มเพาะ ดังนั้นนางจึงต้องรับหน้าที่นี้และยังต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับมัน

ชายหนุ่มเคยมาส่งอาหารแล้วสองสามครั้งก่อนหน้านี้ เขารู้ว่าเสี่ยวอันไม่เคยพูด ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่ามันแปลก เขาถามต่อ “วันนี้เจ้าต้องการให้ข้าเข้าไปส่งอาหารข้างในหรือไม่?”

เสี่ยวอันส่ายศีรษะ

ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาต้องการตรวจสอบท่านหนิวผู้ยิ่งใหญ่ที่อาจารย์ของเขาเคารพบูชาหรือควรกล่าวว่าท่านหนิวที่เป็นหายนะครั้งใหญ่

อวี๋ฉูกวงไม่กล้าขัดคำสั่งของหลี่ฉิงซาน เขาส่งศิษย์ที่ไว้ใจได้สองคนมาส่งอาหารยี่สิบโต๊ะทุกวัน โดยพื้นฐานแล้วศิษย์ทั้งสองเป็นความหวังของเขา พวกเขาเกือบเหมือนบุตรชายของเขา เขายังเตือนทั้งสองนับครั้งไม่ถ้วนถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เช่นเดียวกับความสำคัญของการปิดปากพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้ทั้งสองยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น น่าเสียดายที่พวกเขาพบเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เป็นใบ้ทุกครั้งที่มาที่นี่

ชายหนุ่มอีกคนถาม “น้องสาว ท่านหนิวผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนเช่นไรงั้นหรือ?”

เสี่ยวอันผงะไปเล็กน้อย แม้นางจะพูดได้ แต่นางก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้น

ชายหนุ่มทั้งสองยกบังเหียนขึ้นและขี่ม้าจากไป สิ่งที่เหลืออยู่คือเสี่ยวอันที่ยืนอยู่ที่ทางเข้า นางเก็บกล่องอาหารแต่ทันใดนั้นหัวใจของนางกลับสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย