ตอนที่แล้วบทที่ 11: พี่น้องมู่หรง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13: ร้านอาวุธและการซุ่มโจมตี

บทที่ 12: ร้านขายของชำ


การกระทำของมู่หรงจื่อเหยียนทำให้ร่างกายของถังเจิ้นแข็งค้าง  ที่มือเหมือนมีแรงสะท้อนหยุ่น ๆ นุ่ม ๆ แบบว่าไม่เคยโดนมาก่อนเลยในชีวิต

“อะ  อ๊า……!”

หญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามหน้าแดงและร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด

เมื่อถังเจิ้นตั้งสติได้ก็สัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อนุ่ม ๆ ในฝ่ามือ  ทว่าอารมณ์ของเขากลับสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ

จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช้คนประเภทที่หมกมุ่นเรื่องเพศ  แต่ตอนนี้แค่ไม่ทันตั้งตัว

เขาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นสัญญาณให้มู่หรงจื่อเหยียนปล่อยมือ  จากนั้นก็ค่อย ๆ กดเธอให้นั่งลงกับพื้น

ถังเจิ้นแหวกผมยาวที่ปรกหน้ามู่หรงจื่อเหยียนออกและรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าแม้ใบหน้าของหญิงสาวจะเปื้อนไปด้วยโคลน  แต่รูปร่างหน้าตาเดิมของเธอนั้นสวยงามมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดื้อเบา ๆ แฝงความฉลาดอย่างคนเป็นแม่ที่ทำให้คนเห็นเป็นต้องใจสั่น

“ฉันช่วยเธอได้  แต่ไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนอะไร  จงสัญญากับฉันซะว่าอย่าได้ทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองไปอย่างง่าย ๆ แบบนี้อีก  เพราะเธอมีค่ามากพอให้ฉันนับถือ”

น้ำเสียงของถังเจิ้นอ่อนโยนมาก  เขาพูดช้า ๆ ชัด ๆ ไม่เร่งรีบ

ประโยคนี้ส่งออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ และเธอเองก็สามารถติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาได้  หลังจากที่ได้เห็นสาว ๆ บูชาเงินมาหลายคนแล้ว  เมื่อเทียบกับเธอตรงหน้าที่ยอมสละตนเองเพื่อความปลอดภัยของน้องสาว  ความรักความเมตตาของเธอจึงไม่เหมือนสาว ๆ ที่ยอมเสียตัวให้กับคนรวย ๆ เพื่อเอาเงินของเขามาบำเรอตนเอง  และยังควรค่าแก่การนับถือด้วย

“ฉันชื่อถังเจิ้น  ต่อไปนี้เรียกว่าพี่ถังแล้วกัน!”

เมื่อเห็นถังเจิ้นพูดด้วยใบหน้าที่สงบมู่หรงจื่อเหยียนก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง  หลังจากได้สัญญากับถังเจิ้นแล้วประกายแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาที่ว่างเปล่าของเธอ

แม้ว่าการเคลื่อนไหวเมื่อกี๊จะประมาทหุนหันพลันแล่นเกินไปก็จริง  แต่ถ้าต้องย้อนเวลากลับไปเลือกอีกรอบเธอก็จะทำอย่างเดิมอย่างไม่ลังเล

ไม่มีทางเลือก  เพราะไม่ว่าจะความดื้อรั้นหรือความทะนงในตัวเองก็ไม่สามารถดึงพลังอันแข็งแกร่งออกมาจากร่างอันบอบบางของเธอได้  ไม่อาจทำให้ทั้งตัวเธอและน้องสาวอิ่มท้องได้  และไม่อาจทำให้ทั้งตัวเธอและน้องสาวอยู่ห่างจากอันตรายที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งได้  ดังนั้นที่เธอทำจึงไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง  แต่เพื่อน้องสาวเป็นสำคัญ

หากอยากได้อะไรมาก็ต้องเอาอะไรไปแลก  และร่างกายกับชีวิตนั่นคืออะไรทั้งหมดตัวที่เธอมีในตอนนี้

แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีแต่เธอก็ไม่บ่นหรือเสียใจใด ๆ เพราะยังไงมันก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

โอกาสเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เดียว  แต่มู่หรงจื่อเหยียนก็ยังคว้ามันไว้ได้  ต้องยอมรับว่าเธอมีสายตาที่ดีและมีการตัดสินใจที่ค่อนข้างเด็ดขาด

มู่หรงจื่อเหยียนมองชายตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน  แต่หัวใจของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย

จากพลังที่ชายผู้นี่แสดงให้ดูเธอมั่นใจเลยว่าตัวเองกับน้องสาวมีความหวังที่จะมาชีวิตรอดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว  นั่นก็ส่วนหนึ่ง  เอาจริง ๆ ตั้งแต่ที่ถังเจิ้นได้ช่วยเธอกับน้องสาวจากมอนสเตอร์เหล่านั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ในใจทันที

ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดในถิ่นทุรกันดาร  เธอไม่ต้องการอะไรฟุ่มเฟือยเลยตราบเท่าที่เธอสามารถรักษาชีวิตตัวเองและน้องสาวไว้ได้จะเอาอะไรก็ยอมหมด

ด้านถังเจิ้นเมื่อเห็นมู่หรงจื่อเหยียนซึ่งกำลังต่อสู้เหมือนหมาป่าที่บาดเจ็บเพื่อปกป้องลูกวัวในตอนนั้น  แต่กลับดูผ่อนคลายเหมือนลูกแมวที่ทำอะไรไม่ถูกในตอนนี้  ถังเจิ้นก็นึกไปถึงวันที่น่าสังเวชเมื่อเขาและน้องสาวต้องคอยพึ่งพาอาศัยกันและกัน  เขาอดไม่ได้ที่จะจับมือเล็ก ๆ ที่หยาบเล็กน้อยของเธอแล้วดึงตัวเธอมากอด

มู่หรงจื่อเหยียนก็ขยับร่างกายและไปตามแรงอย่างเชื่อฟัง

ตอนนี้ถังเจิ้นไม่ได้มีความคิดลามกอนาจารใด ๆ ในใจเขาแค่ต้องการกอดหญิงสาวที่โดดเดี่ยวและดื้อรั้นคนนี้เท่านั้น  เหมือนกับตัวเองที่ต้องกัดฟันสู้ดูแลน้องสาว  อยากช่วยให้ร่างกายที่อ่อนแอของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างก็แค่นั้น

มู่หรงจื่อเหยียนในอ้อมแขนเห็นว่าเขาแค่กอดเธอเบา ๆ เท่านั้น  และแล้วในใจเธอฉากหนึ่งก็ปรากฏ  ฉากวันคืนอันแสนมีความสุขของเธอกับพ่อแม่ในอดีต  เธอกอดคอถังเจิ้นเบา ๆ พลางสะอื้นไห้  น้ำตาแห่งความโศกเศร้าและคับแค้นใจในที่สุดได้พรั่งพรูออกมา

ตอนนี้มูหรงจื่อเหยียนคิดว่าถังเจิ้นเป็นพวกเดียวกันแล้ว  เมื่ออยู่ในอ้อมแขนอันอ่อนโยนของเขาความอัดอั้นตันใจที่เก็บสั่งสมมานานรวมถึงภาระทั้งหมดก็ถูกวาง  ทำให้เธอไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้อีกต่อไป

“ฮือ~~~~~~”

“แง้~~~~~~”

“ดูเธอสิ  คนอะไรร้องไห้แล้วหน้าเหมือนแมว...  อ่าวจื่อเยว่ก็ร้องไห้ด้วเรอะ!”

ถังเจิ้นรีบ ๆ ปลอบทั้งหญิงใหญ่หญิงเล็กเป็นพัลวัน  ท่าทางเงอะงะของเขาทำให้มู้หรงจื่อเหยียนที่ร้องไห้อยู่หัวเราะออกมาได้  จากนั้นเธอก็รีบหันหลังไปเช็ดน้ำตาอย่างเขินอายแล้วขยับตัวไปปลอบจื่อเยว่น้อยที่ยังไม่หยุดร้องไห้

ฉากนี้แม้จะดูซึ้ง  แต่ก็เกิดมาจากความโหดร้าย

พี่น้องคนสวยทั้งสองต้องอดทนต่อความทรมานและความยากลำบากมากเกินไปตั้งแต่วัยนี้  วัยที่ควรได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่

เมื่อมองดูสองพี่น้องที่มอบชีวิตและอนาคตให้กับตนเองด้วยสายตาที่อ่อนโยนแล้ว  ถังเจิ้นก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ ความไว้วางใจของอีกฝ่ายที่ถึงขั้นมอบชีวิตของพวกเธอให้เขาทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เดิมทีเขาถือว่าตัวเองเป็นเพียงนักเดินทางข้ามโลก  เข้ามาแล้วก็กวาดเอาทรัพย์สมบัติที่ต้องการกลับโลกเดิมไปเท่านั้น  แต่ตอนนี้ได้มีสิ่งที่ต้องแบกรับมาอยู่บนบ่าของตนซะแล้ว

เมื่อเห็นจื่อเยว่น้อยยิ้มแย้มแจ่มใสถังเจิ้นก็ค่อย ๆ เข้าไปใกล้เพราะเห็นแล้วหมั่นใส้อยากแกล้ง  แต่เด็กน้อยเป็นคนขี้อายพอถังเจิ้นเข้าใกล้ก็แอบหลบด้วยดวงตากลมโตน่ารักที่รื้นน้ำตาอีกรอบ

เจอแบบนี้เข้าไปถังเจิ้นจึงยักไหล่อย่างไม่มีทางเลือกและเลิกคิดจะแกล้งเด็กน้อยแล้วนั่งลงครุ่นคิดอะไรเงียบ ๆ

ถังเจิ้นถูกความแปรปรวนของโลกนี้ทำให้ตั้งตัวไม่ค่อยถูก  แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องทำนองเดียวกันจากเฉียนหลงมาก่อนก็ตาม  แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น  และความประมาทก็ทำให้เขาต้องเจออันตราบที่มากขึ้น

‘ตอนนี้เรามีแค่ปืนพกกระบอกเดียวกับกระสุนอีกจำกัด  เห็นได้ชัดว่าไม่สมควรผูกทั้งชีวิตเอาไว้กับมันเลย  และแม้จะมีมีดดาบหรือธนูหน้าไม้ที่เตรียมมาเพียบแล้วก็ยังมีอันตรายถึงชีวิตอยู่ดี  เพราะแม้จะมีแต่กลับขาดทักษะการใช้งานอย่างเชี่ยวชาญ  หากต้องเจอกับฝูงมอนสเตอร์ล่ะก็ไม่มีทางใช้ออกได้อย่างทรงประสิทธิภาพชัวร์’

หากจะใส่เดี่ยวกับมอนสเตอร์หลายตัวเพียงลำพัง  อาวุธในมือจะต้องเอาเปรียบพวกมันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  ไม่อย่างนั้นคงถูกพวกมันใช้จำนวนที่มากกว่าโถมเข้าใส่จนเอาตัวไม่รอด

เมื่อเห็นถังเจิ้นที่กำลังครุ่นคิดพี่น้องมู่หรงก็รู้งานเลยไม่ได้เข้าไปกวนและมองดูเขาเงียบ ๆ พลางคิดอะไรของตนไปด้วย

ในเมื่อได้เลือกไปแล้วก็หมายความว่าตั้งแต่นี้ต่อไปไม่รู้ว่าจะไปได้ถึงไหน  แต่ผู้ชายตรงหน้านี้คือที่พึ่งหนึ่งเดียวที่พวกเธอสามารถพึ่งพาได้  ในใจของมู่หรงจื่อเหยียนยังคงมีความกลัว  ความคาดหวังซึ่งแฝงความเศร้าอยู่ด้วย

ในโลกที่สับสนวุ่นวายใบนี้การพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของตัวเองและน้องสาวได้อย่างแน่นอน  แต่ชายผู้นี้ที่ฆ่ามอนสเตอร์ 5 ตัวได้อย่างง่ายดายนั้นทำให้เธอเกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

‘ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก  แถมยังไม่รังแกเราด้วย  บางทีเราอาจเลือกไม่ผิดก็เป็นได้!’

มู่หรงจื่อเหยียนพยายามคิดแบบนี้ไว้ในใจและมองถังเจิ้นด้วยแววตาที่อ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ

วันนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสนทนากันเป็นระยะ ๆ ระหว่างถังเจิ้นกับมู่หรงจื่อเหยียน  ในระหว่างนั้นเขาได้สอบถามรายละเอียดในเรื่อง ๆ ต่าง ๆ อย่างโลกใบนี้ทั้งใบว่าเป็นยังไง  แต่มู่หรงจื่อเหยียนเองก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรมากนัก

ทว่าก็ยังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มู่หรงจื่อเหยียนมั่นใจ  นั่นคือโหลวเฉิงนั้นมหัศจรรย์มากและพื้นที่ของโหลวเฉิงในตำนานบางแห่งก็ไม่น้อยไปกว่าแผ่นดินใหญ่!

แน่นอนว่ามู่หรงจื่อเหยียนไม่รู้จักคำว่า ‘แผ่นดินใหญ่’ ดังนั้นคำอธิบายที่เธอให้คือขี่ม้าเร็วโดยไม่หยุดอย่างต่อเนื่องหลายเดือนกว่าจะออกจากโหลวเฉิงแห่งนั้นได้!

เมื่อได้ยินข้อมูลแบบนี้ถังเจิ้นก็ถึงกับต้องตะลึง  เพราะพื้นที่อาคารขนาดใหญ่แบบนั้นมันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!

แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ในรายละเอียดต่าง ๆ เธอกลับไม่ได้รู้อะไรมาก  นี่ถ้าไม่ได้มีพ่อเป็นเจ้าเมืองมาก่อนล่ะก็คาดว่าคงไม่รู้อะไรเลยล่ะมั้ง

แต่ถังเจิ้นก็ไม่สนใจนัก  เพราะข้อมูลที่เขาได้รับในวันนี้ก็น่าตกใจพอสมควรแล้ว  และเขาเชื่อว่าหากยังคงทำการสำรวจอย่างค่อยเป็นค่อยไปล่ะก็ในที่สุดเขาจะค้นพบข้อมูลรายละเอียดที่แท้จริงทั้งหมดของโลกใบนี้อย่างแน่นอน

ค่ำคืนหนึ่งได้ผ่านไปในชั่วพริบตา  และเมื่อถังเจิ้นตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นพี่น้องสองคนยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่มุมห้อง

เห็นได้ชัดว่าเพราะมีถังเจิ้นอยู่ด้วยพวกเธอเลยสามารถนอนหลับสนิทได้

ถังเจิ้นแอบถอนหายใจแล้วปลุกมู่หรงจื่อเหยียนที่กำลังหลับ  เมื่อเห็นเธองัวเงียตื่นขึ้นมาเขาก็บอกเธอว่าจะไม่อยู่ซักวันสองวันและกำชับว่าห้ามพวกเธอออกไปไหนในช่วงสองวันนี้เด็ดขาด

จากนั้นเขาก็เอาอาหารมากมายออกมาให้สองพี่น้องก่อนจะออกจากช่องใต้ดินภายใต้สายตากังวลของเด็กสาวทั้งสอง

ถังเจิ้นมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองผู้พเนจร  ระหว่างทางเขาก็เห็นมอนส์เตอร์อยู่สองสามตัวแต่ว่าไม่ได้ไปทำอะไรพวกมันและพยายามหลีกเลี่ยงอย่างระมัดระวังตัว

ในไม่ช้าเมืองผู้พเนจรก็ปรากฏต่อหน้า  และผู้พเนจรเข้า ๆ ออก ๆ ประตูเมืองกันขวักไขว่  เมื่อถังเจิ้นจะเข้าประตูไปบ้างก็เห็นมีทหารในชุดเกราะหนังหยาบ ๆ พร้อมดามยาวเข้ามาขวางทางพร้อมกับเรียกเก็บค่าธรรมเนียม

ถังเจิ้นหยิบโดมิโนออกมาจากกระเป๋า  มันคือหลักฐานที่เขาได้รับเมื่อเขากับเฉียนหลงได้จ่ายลูกปัดสมองเป็นค่าเข้าเมืองเมื่อครั้งก่อนซึ่งอันนี้บอกว่าเขาอยู่ได้ 1 เดือน  เมื่อทหารเฝ้าประตูเห็นโดมิโนเขาก็เตือนให้ถังเจิ้นผูกมันไว้กับเอวด้วย  จากนั้นก็ปล่อยให้เขาเข้าเมืองไป

เห็นได้ชัดว่าตลาดในช่วงกลางวันมีชีวิตชีวามาก  สองข้างถนนเต็มไปด้วยผู้พเนจรนั่งอยู่ตามพื้นโดยมีของตั้งวางขายอยู่ข้างหน้าตน  เมื่อผ่านคอกม้าถังเจิ้นก็บังเอิญพบกลุ่มนกที่ดูเหมือนไก่บ้านถูกขังอยู่ในกรง

พอถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้ทางนั้นก็ตอบว่าเป็นไก่ฟ้าที่ไปดักมาได้

ถังเจิ้นเลยเถียงอยู่ในใจว่า ‘มึงล้อเล่นป๊ะเนี่ย  แค่ไก่ฟ้ากับไก่บ้านยังแยกไม่ออกเนี่ยนะ?’

แต่พอมาคิดว่านี่มันต่างโลกไม่ใช่โลกเดิมซักหน่อยเขาก็เลยเลิกคิดกับเรื่องบ้าบอนี้  นอกจากไก่ฟ้าที่หน้าเหมือนไก่บ้านนี่แล้วก็ยังมีนกอื่น ๆ ในกรงที่ติดกับดักมาอีก  และมีบางตัวโดนลูกธนูยิงมาด้วย

ในคอกใกล้ ๆ กันนั้นมีสัตว์อีกหลายตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งส่วนใหญ่จะถูกทำความสะอาดและรอการขาย

ถังเจิ้นมองไปรอบ ๆ อยู่แป๊บหนึ่งและเจอเข้ากับของที่มีประโยชน์กับตัวเองด้วย  ทว่าเขาก็ไม่รีบไปหาแลกมา  แต่เดินตรงไปที่โรงแรมแทน

เมื่อเข้าไปในโรงแรมก็ไม่พบเฉียนหลงเลยลองถามเจ้าของดูก็รู้ว่าหมอนั่นออกไปซื้อของ  ถังเจิ้นได้ยินก็ประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเดินผ่านถนนมานี้เขาไม่เห็นเฉียนหลง ‘แล้วมันไปตั้งแผงขายที่ไหนล่ะเนี่ย?’

พอถามรายละเอียดจากเจ้าของโรงแรมทางนั้นก็บอกว่าที่ที่เฉียนหลงไปซื้อของนั้นเป็นร้านขายของชำในตลาดไม่ใช่แผงลอยริมถนน

แล้วก็ถามทางต่อเลย  ในไม่ช้าถังเจิ้นก็มาถึงประตูของอาคารอิฐที่ค่อนข้างสูงมีผนังทาด้วยสีน้ำตาลซึ่งดูสบายตากว่าอาคารข้าง ๆ กันเยอะ

ถังเจิ้นมองชายที่ดูแข็งแกร่งที่ยืนเฝ้าประตูจากนั้นก็เดินเข้าประตูไป

ทันทีที่เขาเข้าไปในร้านแสงสว่างแต่เดิมก็หม่นลง  แต่ไม่นานสายตาเขาก็ปรับโฟกัสได้ใหม่และมองเห็นเครื่องเรือนภายในร้านได้อย่างชัดเจน

เมื่อเทียบกับร้านแผงลอยข้างถนนแล้วของในร้านนี้หรูหรากว่าเยอะ  มีเสบียงที่ผู้พเนจรไปหามาจากอาคารป่ามากมายเถมยังมีของจากโหลวเฉิงด้วย

ซึ่งสินค้าที่นี่มีปัจจัยสี่ครบถ้วนแต่ราคาแพงมาก

ส่วนเฉียนหลงกำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ของร้านและยิ้มให้เล็กน้อยหลังจากเห็นถังเจิ้น

“ไง  ระหว่างทางกลับปลอดภัยมั้ย?  ได้ยินมาว่าจำนวนมอนสเตอร์ใกล้ ๆ นี่มันเพิ่มขึ้นเพียบเลยหนิ  เพราะมันมีอาคารป่าโผล่มาแถวนี้เลยมีมอนสเตอร์เก่ง ๆ มาออกันเยอะ...”

เฉียนหลงพูดอย่างฉะฉานส่วนถังเจิ้นตอบกลับเป็นครั้งคราว

จากนั้นก็มีชายรูปร่างสันทัดออกมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์ถืออ่างเคลือบขนาดเล็กในมือ  ในอ่างเต็มไปด้วยลูกปัดสมองขาวโพลนมากมายส่งเสียงกร็อกแกร็กให้ได้ยิน

เมื่อได้ยินเสียงนี้ถังเจิ้นก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงอย่างโหยหาดวงตาก็เอาแต่จับจ้องที่ลูกปัดสมองเหล่านั้นอย่างไม่วางตา  ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลืนมันทั้งอ่างปะทุอยู่ในอกราวกับภูเขาไฟระเบิด

“ตามราคาต่อรอง  ลูกปัดสมองเลเวลหนึ่งสี่ร้อยเม็ด  เชิญนับ!”

ชายคนนั้นส่งลูกปัดสมองให้เฉียนหลง  แต่เฉียนหลงไม่มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์มากนัก  ดังนั้นจึงมองมาที่ถังเจิ้นซึ่งเขาก็พยักหน้าให้  เห็นแบบนั้นก็ยื่นอ่างให้ถังเจิ้นนับ

หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าจำนวนถูกต้องทั้งสองก็หันหลังออกจากร้านขายของชำและกลับไปที่โรงแรมที่เคยเข้าพัก

และหลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปนั้นได้มีผู้พเนจรที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้โดดเด่นเดินออกมาจากร้านขายของชำด้วย  มันชำเลืองมองที่ที่พวกถังเจิ้นกำลังจะไปด้วยดวงตาที่หรี่แคบและเย้ยหยัน  จากนั้นมันก็หันกลับเข้าไปในอาคารอิฐที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด