ตอนที่แล้วตอนที่ 919 ล้มครืนสนั่นหวั่นไหว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 921 ล้างแค้น!

ตอนที่ 920 ความลับสะท้านฟ้า


ความเศร้าโศกเต็มไปทั่วค่าย

หุ่นจักรกลย่ำเท้ากระหึ่มเดินหน้าตามประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาควรจะซ่อนตัว พวกเขาควรจะสร้างแนวป้องกัน พวกเขาควรจะป้องกันปีกและเตรียมรุกโจมตี พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับกองทัพหุ่นบรอนซ์ได้

แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวสักอย่าง เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินอะไร

ทหารรายล้อมมู่จือเสียบางคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่บางคนเช็ดน้ำตาน้ำตาของพวกเขาผสมกับทรายเปรอะเต็มใบหน้าของพวกเขา  ทุกคนดูเหมือนทหารผ่านศึกในสายตาพวกเขาราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาหลุดลอยจากร่าง พวกเขาสูญเสียความกระตือรือร้นและกำลังเดินเหมือนซากศพ

เมื่อแม่ทัพใหญ่และเล่าถังมาถึงพวกเขามองหน้ากันเอง

พวกเขาไม่ได้พบกับการต่อต้านใดๆ มากไปกว่าที่เห็น  แม่ทัพใหญ่และเล่าถังเคร่งขรึมจริงจัง พวกเขาไม่สามารถเชื่อได้ว่าทหารที่อยู่หน้าพวกเขาที่ดูเหมือนทหารนี้คือทหารฝีมือดีที่สุดกับพวกเขาต่อสู้อย่างดุเดือด จนพวกเขาบาดเจ็บกันไปมากมาย

‘เกิดอะไรขึ้น?’

ทั้งสองเคร่งขรึมไม่มีรอยยิ้ม เพราะมีหลายครั้งที่พวกเขาชื่นชมความเข้มงวดและสมองของมู่จือเสียโดยไม่รู้ตัวและยกย่องทหารของมู่จือเสียนับครั้งไม่ถ้วนเพราะพวกเขารักษาสถานการณ์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ตั้งแต่เริ่มพวกเขาสามารถโจมตีกองทัพของมู่จือเสียง่ายๆ  แต่ในเวลาอันรวดเร็วกองทัพของมู่จือเสียก็สู้ได้อย่างยากลำบากมากขึ้น ทำให้พวกเขามีคนบาดเจ็บเพิ่มขึ้น

พวกเขาคือกองทัพที่มีความมุ่งมั่นเหมือนเหล็กมีวินัยที่เข้มงวดแข็งแกร่ง จิตวิญญาณนักสู้เหนียวแน่นสามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนสงครามและกลยุทธได้ แค่เพียงผสานพลังได้ 100% ก็ถือว่าคู่ควรเป็นกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว

มู่จือเสียเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรและน่านับถือและทหารทั้งหลายก็เป็นทหารที่คู่ควรแก่การนับถือ

และเมื่อพวกเขาเห็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรและน่านับถืออยู่กับพื้นทั้งสองไม่มีความยินดีเลย

ไม่ใช่ชัยชนะที่พวกเขาต้องการ

พวกเขาเดินผ่านทหารที่กำลังเศร้าโศกอย่างระมัดระวัง  และเห็นมู่จือเสียนอนอยู่บนพื้นมีดวงตาที่เปื้อนเลือดเหมือนกับละเลงลงบนร่างกายที่เหมือนหยก  พวกเขาตกใจ ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าทำไมทหารจึงสูญเสียพลังต้านทาน  มู่จือเสียคือจิตวิญญาณของกองทัพ  เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขากองทัพจึงไม่ใช่กองทัพอันดับหนึ่งอีกต่อไป

เล่าถังคุกเข่าและมีสีหน้าจริงจัง  เขาตรวจสอบมู่จือเสีย

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันมาอย่างยาวนานและชื่นชมกันและกัน เหตุผลที่มู่จือเสียถูกกองทัพดาวกางเขนใต้ข่มอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เพราะมาตรฐานของเขาตรงกันข้ามเขาเป็นกองทัพเดียวในดินแดนศัตรู ไม่เพียงแต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองทัพดาวกางเขนใต้ พวกเขายังต้องระมัดระวังชนเผ่าทวีปแดนเถื่อน  อีกอย่างหนึ่งประสบการณ์มู่จือเสียเป็นผู้บัญชาการเกินยี่สิบถึงสามสิบปี แต่ไม่เคยพบกับสงครามขนาดใหญ่จะสู้กับแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านการต่อสู้มาตลอดชีวิตและเป็นตัวประหลาดที่ผ่านสงครามขนาดใหญ่มาอย่างโชกโชนเขาจะแข่งขันสู้ได้ยังไง?

แต่มู่จือเสียอดทนรับการโจมตีของพวกเขาและต่อสู้พร้อมทั้งเติบโตกล้าแข็งไปด้วยทำให้แม้แต่แม่ทัพอาวุโสพลอยรู้สึกกดดันไปด้วย

“ขอบคุณ”เสียงของมู่จือเสียอ่อนล้าเหมือนกับยุง แต่อารมณ์ของเขายังสงบ  “โปรดอย่าเสียเวลากับข้าอีกต่อไปเลย”

ร่างของมู่จือเสียดูแปลกประหลาด  ผมของเขาหงอกขาวเหมือนหิมะมือที่แข็งแกร่งแต่เดิมเปลี่ยนเป็นเปลี่ยนเป็นอ่อนแสงขาวเลือนรางเปล่งออกมาจากร่างของเขาทำให้ผิวและเลือดเนื้อของเขาดูเนียนตลอดทั้งร่างของเขาดูเหมือนจะเปล่งแสงขาว

เล่าถังมีสีหน้าตกใจพลังชีวิตภายในร่างของมู่จือเสียไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น จนถึงขั้นที่สามารถปล่อยเปลวไฟที่สว่างในราตรีได้  สิ่งที่เป็นเหตุให้ในร่างของมู่จือเสียเปลี่ยนแปลงเสียหายก็คือพลังชีวิตที่กล้าแข็งนี้ มันกำลังแผดเผาและกัดกร่อนร่างของมู่จือเสีย

แม้แต่ด้วยประสบการณ์ของเล่าถังเขายังไม่เคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดแบบนี้

“นี่,คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์” มู่จือเสียพูดเสียงอ่อนล้า

ทหารที่รายล้อมเขาตะลึง  พวกเขาเงยหน้าขึ้นหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ เพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยที่สุดวิชาที่พวกเขาจะต้องใช้ฝึกฝนประจำวัน ฉากภาพที่น่ากลัวนั้นเกิดขึ้นจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?  ในใจของพวกเขาเพลิงศักดิ์สิทธิ์มอบพลังและความกล้าหาญให้พวกเขาและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พวกเขา  และเป็นเครื่องหมายของความภักดีของพวกเขา

‘กลายเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?’

ทันใดนั้นทหารหลายคนคิดถึงเรื่องลำแสงลงทัณฑ์ในวิหาร  ‘หรือว่าวิหารคิดว่านายท่านไม่มีความภักดีแล้ว?  หรือว่าพวกเขาคิดว่านายท่านทำบางอย่างที่ให้พวกเขาเสียเปรียบจนต้องลงโทษเขา?’ ทหารพากันตื่นตัว พวกเขาติดตามนายท่านเข้าดินแดนศัตรูและสู้เสี่ยงชีวิต  ‘ทำไมวิหารถึงลงทัณฑ์นายท่านอย่างไม่มีความยุติธรรม?’

เพลิงศักดิ์สิทธิ์?  เล่าถังและผู้บัญชาการเฒ่ามองหน้ากันเอง  ทั้งสามารถเห็นความตกใจในสายตาของกันและกัน

เลือดเปรอะเปื้อนปิดตาของมู่จือเสียแต่เขารู้สึกได้ถึงความโกลาหลของทหารรอบตัวเขา เขาถอนหายใจ  “ตอนนี้ทวีปเซียนมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นนรกไปแล้ว  เรายอมแพ้, ข้าจะบอกทุกอย่างกับพวกท่าน  โปรดอย่าทำร้ายทหารของข้าเลย  ได้โปรด!”

ทุกคนตะลึงกับคำพูดของมู่จือเสีย  แม้แต่ทหารที่มีอารมณ์แต่เดิมก็พากันตะลึงอีกครั้ง  พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมนายท่านจู่ๆก็พูดถึงทวีปเซียนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิง  นอกจากนี้ ทวีปเซียนเป็นดินแดนที่ตั้งของวิหาร  มีกองทัพมากมายอยู่ที่นั่นและมีกำลังป้องกันหลักที่หนาแน่นที่สุดในทวีปกวงหมิง  นั่นจะกลายเป็นนรกไปได้อย่างไร?

เล่าถังและแม่ทัพใหญ่ไม่เข้าใจ

พวกเขารู้จักเพลิงศักดิ์สิทธิ์และทวีปเซียน  แต่พวกเขาไม่เคยเอาทั้งสองมาเชื่อมโยงกัน

“วางใจได้เราจะไม่ฆ่าอย่างไม่ยั้งคิด” เล่าถังพูดขึ้น

“วิหารมักจะมีแผนการอย่างหนึ่งอยู่เสมอ”  เสียงของมู่จือเสียอ่อนล้ามากเหมือนกับว่าเสียงของเขาถูกเสียงลมกลบ และเขากล่าวอย่างมีอารมณ์ต่อ “แผนนี้สืบเนื่องมาจากการค้นคว้าพลังวิญญาณของวิหาร”

ทุกคนกลั้นลมหายใจ พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของมู่จือเสียกำลังจะเปิดเผยความลับที่ทำให้สวรรค์ตะลึง  ไม่ใช่ความลับที่วิหารค้นคว้าเรื่องพลังวิญญาณ  แม้แต่เด็กสิบขวบก็รู้ได้ และวิหารเป็นตัวแทนมาตรฐานที่สูงสุดของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการค้นคว้าพลังวิญญาณ

“แผนการนี้ตอนแรกเริ่มแค่ต้องการจะสร้างขุนพลวิญญาณมันไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่หลังจากเอาชนะความยากลำบาก พวกเขาก็ทำได้สำเร็จ พวกเขาสร้างขุนพลวิญญาณตนแรก เป็นผู้บัญชาการอัศวินกวงหมิงนามว่าโซเฟีย”

พวกทหารตกใจ ‘อย่างนั้นข่าวลือผู้บัญชาการโซเฟียก็เป็นความจริง!’

อัศวินพิเศษกวงหมิงและผู้บัญชาการโซเฟียได้รับการเคารพนับถือและมีตำแหน่งที่สูงในใจของทุกคน  ความรู้สึกในใจพวกเขาเริ่มกล้าแข็งมากขึ้น  เป็นความลับอย่างหนึ่งนี่เกี่ยวกับคนที่สำคัญมาก แล้วจะเป็นความลับธรรมดาได้ยังไง?

“หลังจากโซเฟียถูกสร้างขึ้น  นางแสดงออกได้โดดเด่น  ความสามารถในการเรียนรู้และเติบโตของนาง  ทุกอย่างเป็นไปตามเป้า  ในเวลานี้มีการค้นพบอีกครั้ง วิหารค้นพบว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีคุณสมบัติเฉพาะ และนั่นก็คือขุนพลวิญญาณสามารถดูดซับไว้ได้  วิธีนี้ในช่วงกรอบเวลาสั้นๆสามารถเพิ่มพลังให้กับขุนพลวิญญาณได้”

“แผนการไร้ที่ติ”  มู่จือเสียพูดต่อ  “ในช่วงเวลาสั้นๆ ความแข็งแกร่งของโซเฟียเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า และเพียงก้าวเดียวก็กลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหาร  แต่จากนั้นปัญหาก็ตาม  การเติบโตของโซเฟียติดอยู่ที่คอขวดและการดูดซับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผลอีกต่อไป วิหารค้นคว้าเพิ่มขึ้น และตระหนักได้ว่าพลังของโซเฟียถึงขีดจำกัดแล้ว  และถ้าจะบรรลุไปให้ได้ปริมาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่นางต้องดูดซับคงมากอย่างน่าประหลาดใจ”

ทุกคนต่างรับรู้เรื่องราวทั้งหมด

มู่จือเสียรู้ว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังลุกโหมในตัวเขาและกล่าว  “ดังนั้นวิหารเริ่มสร้างเพลิงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ พวกเจ้าทุกคนคงจะจำเวลานั้น วิหารเริ่มวางแผนต่อเนื่อง”

ในสถานที่นั้นเงียบสนิท  คำพูดเหมือนกับสายฟ้าฟาดพวกเขาและการคาดการที่น่ากลัวผุดขึ้นในใจพวกเขา  ‘ไม่มีทาง....ไม่มีทาง!  วิหารทำเช่นนั้นได้ยังไง!’

แม้ว่าเขาสามารถได้ยินความกลัวของพวกเขา มู่จือเสียก็พูดบอกสายใยความหวังสุดท้ายในใจเขา  “ถูกแล้ว เป็นอย่างที่พวกเจ้าคาดเดา”

“เป็นไปไม่ได้! วิหารเป็นแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อำมหิตผิดมนุษย์เกินไปแล้ว...”

“วิหารบ้าไปแล้วหรือ?”

ความเงียบแผ่ลามไป

ทหารหลายคนเอามือกุมศีรษะ  หน้าของพวกเขาปรากฏแววเหลือเชื่อ วิหารที่พวกเขาศรัทธาเสมอมาและเป็นเหมือนเทพเจ้าสำหรับพวกเขา  ถ้าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่มู่จือเสียพูดออกมาเองบุรุษที่พวกเขาเชื่อถือหมดใจ พวกเขาคงได้ทำลายคนที่พูดดูหมิ่นอย่างนั้นเป็นแน่

พวกเขารอให้เสียงฮือฮาสงบลง  สายตาของทุกคนหันกลับไปมองมู่จือเสีย  เวลานั้น ไม่มีใครมีอารมณ์ต่อไป  พวกเขาหนาวยะเยือกไปทั้งตัว เพียงคนเดียวที่สามารถให้คำตอบพวกเขาก็คือเจ้านายของพวกเขา

หน้าที่เปื้อนคราบเลือดของเจ้านายเต็มไปด้วยราศีประหลาดหน้าของเขาโปร่งใสขึ้นเล็กน้อย และพวกเขาสามารถเห็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวอยู่ใต้ผิวของเขา

ทันใดนั้นมู่จือเสียนึกถึงวันแรกที่เขาเข้าวิหารและคาดว่าเขาอายุไม่เกินสิบสองปี เมื่อประมุขผู้อาวุโสตอนนั้น ไม่ใช่ประมุขผู้อาวุโสคนปัจจุบัน  เป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ฉายแสงสว่างและประมุขผู้อาวุโสยิ้มอบอุ่นให้เขา

ความเจ็บปวดปรากฏอยู่ในดวงตาเขาดึงเขากลับสู่ความเป็นจริง ความมืดมิดที่โหดร้ายและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลอยู่ในตัวของเขาแม้จะคล้ายกลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ทะลุเข้าไปในกระดูกของเขา

“วิหารไม่ได้ทำเพื่อโซเฟีย”

มู่จือเสียถอนหายใจ  “หลังจากมุ่งมั่นมาเป็นเวลานานและบวกกับข่าวจากวิหารเซียนของสวรรค์วิถีก็เข้ามา การค้นคว้าเรื่องพลังวิญญาณของวิหารกวงหมิงก็ได้รับความก้าวหน้าในที่สุดและหนึ่งในผลการค้นคว้าที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาค้นพบวิธีเอาชนะพลังกัดกร่อนได้  นั่นหมายความว่าขุนพลวิญญาณจะมีชีวิตอยู่ได้นานเหมือนกับว่าเป็นร่างอมตะ”

เมื่อได้ยินถึงจุดนี้แม่ทัพเฒ่าก็สรุปใจความสำคัญได้แล้ว

สายตาของเขาซับซ้อน  ‘นั่นก็ถูก,ขุนพลวิญญาณจะมีอายุขัยยาวนาน แต่อายุขัยที่ยาวนานนี้คือความทุกข์ทรมานไม่มีจบสิ้น  จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความเจ็บปวดนั้น?ต้องเห็นสหายของตนเองเติบโต แก่และตายไปต่อหน้าต่อตาท่าน ความเดียวดายที่คงอยู่มาเป็นเวลานานมากเจ็บปวดมากกว่าพลังงานกัดกร่อนนั้นเสียอีกเวลาที่ยาวนานทำให้ท่านลืมกลุ่มคนที่ท่านรักทำลายความทรงจำที่ดีที่สุดของท่าน และแม้แต่ความเชื่อมั่นและความฝันก็เน่าและตายไป  ขณะที่ท่านอยู่อย่างเดียวดายในโลกนี้  นั่นน่าเศร้าและน่าเจ็บปวดเพียงไหน

‘ชีวิตอมตะ ฮึ...’

เขาฝืนหัวเราะในใจ นั่นมีแต่จะนำความขมขื่นและความเดียวดายผ่านกาลเวลามาให้

“โดยการเปลี่ยนมนุษย์ไปเป็นขุนพลวิญญาณนั่นคือรูปแบบชีวิตอมตะ แม้ว่าโซเฟียจะประสบความสำเร็จ แต่นางไม่มีความทรงจำของนางเอง ข้อสงสัยใหม่ก็คือวิธีเปลี่ยนขุนพลวิญญาณและรักษาความทรงจำไว้ได้คำถามนี้ไม่ได้ทำให้วิหารสับสน และรีบสร้างให้เร็ว   แต่เนื่องจากเป็นไปตามธรรมชาติของโลกจึงมีความเสี่ยงอย่างมากมาย ความสำเร็จในการเปลี่ยนเป็นขุนพลวิญญาณต่ำมากประการแรกผู้ที่จะลองจะต้องเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมีกำลังใจสูง  เขาต้องมอบชีวิตให้กับวิหาร  เขาเชื่อหนักแน่นว่าถ้าให้เวลาเพียงพอ  เขาสามารถสร้างวิหารใหม่  กำจัดจุดบกพร่องให้วิหาร  เพื่อฝันนี้ เขายินดีจะเสี่ยงแม้ว่าเขาอาจจะต้องสละชีวิต ไม่ว่าจะเป็นของเขาหรือของคนอื่น

“เขาคือประมุขผู้อาวุโสของเรา”

เกิดความเงียบอีกครั้ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด