ตอนที่แล้วตอนที่ 916 คุกทวีปเซียน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 918 เรื่องที่โหดร้ายที่สุด

ตอนที่ 917 ความรู้สึก


หลังจากเซี่ยอวี่อันรายงานภารกิจต่อนายท่าน  เขาเลิกวางท่าทางผู้บัญชาการด้วยสีหน้าสงบ  แต่ใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย

เขาได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการสูงสุดและไม่พบว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ว่าเขาจะถูกวางตัวไว้แนวหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับสมัครคัดเลือกทหารหรือถ่วงเวลาม่อซินให้ล่าช้าเขาทำทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ  และเป็นการปฏิบัติการทางทหารที่โดดเด่น

สิ่งแรกที่ผู้คนทำเมื่อพวกเขาเห็นคำสั่งคือแสดงความยินดีกับเขา พวกเขาเห็นเซี่ยอวี่อันในฐานะแม่ทัพทหารที่โดดเด่นซึ่งได้รับการสนับสนุน  การเลื่อนขั้นของเซี่ยอวี่อันเป็นเรื่องที่ทุกคนจับตามมอง  ในสายตาคนส่วนใหญ่ไม่มีใครสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่ได้เท่าท่านเซี่ยอวี่อัน

เขากลายเป็นแบบอย่างของภูมิภาคใต้

เซี่ยอวี่อันไม่ได้รับผลกระทบมากนักหลังจากสงครามนองเลือดและกลายเป็นคนที่มั่นคงมากกว่าเดิม  เหรียญตราที่เขาได้รับล้วนอาบเลือดของเหล่าสหายของเขา  และสำหรับเขามันเป็นความรู้สึกที่หนักมาก

และเขารู้ว่าคำสั่งสูงสุดได้สั่งให้เขากลับมาไม่ใช่เพื่อเลื่อนตำแหน่งเขาเท่านั้น  แต่เป็นเพราะสงครามเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว

จากการสูญเสียอย่างร้ายแรงของโกวเฉิงเวิ่นเต้าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทวีปซางโจว ความสำเร็จในการถ่วงเวลาม่อซินและชิวซิ่วหัว  พวกเขาได้ขุดหลุมลึกสำหรับทวีปกวงหมิง

แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้สัมพันธมิตรใต้กุมความได้เปรียบคือมีการขัดแย้งกันของผู้มีอำนาจในทวีปกวงหมิง เซี่ยอวี่อันไม่เคยคาดว่าการขัดแย้งกันภายในจะเกิดขึ้นในทวีปกวงหมิงในช่วงเวลาสำคัญขนาดนั้น  ความขัดแย้งภายในของทวีปกวงหมิงกะทันหันและรุนแรงจนข่าวลือและข่าวนินทากระจายไปทั่วทุกพื้นที่

ความขัดแย้งภายในทวีปกวงหมิงก็คือปมของสงคราม และเป็นปมจุดเปลี่ยนให้สัมพันธมิตรใต้เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุก

คู่สงครามทั้งสองฝ่ายตระหนักว่าสมดุลของสมรภูมิเริ่มเอนเอียงไปทางสัมพันธมิตรใต้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังใจครั้งใหญ่ กำลังใจของสัมพันธมิตรใต้พุ่งสูง และความกลัวที่พวกเขามีต่อทวีปกวงหมิงถูกกวาดหายไปหมดเริ่มมองเห็นชัยชนะในอนาคต ศักดิ์ศรีของสัมพันธมิตรใต้เริ่มสูงเฉิดฉายเหมือนกับพระอาทิตย์เที่ยงวัน  ศัตรูของพวกเขาก็คือทวีปกวงหมิง  วิหารที่ทรงพลังและการเพิ่มขึ้นของชัยชนะของสัมพันธมิตรใต้ทำให้เป็นที่รู้กันว่าพวกเขาก็แข็งแกร่ง

แม้ว่าการสู้รบจะยังไม่จบ แต่ข่าวของสัมพันธมิตรใต้ก็มีการแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคใต้    ในช่วงต้นของการรวมตัวของภูมิภาคใต้  ภายใต้ไฟสงคราม ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาสามารถต้านทานต่อสู้การแทรกซึมของทวีปกวงหมิงได้  และทั้งหมดเข้าร่วมกับสัมพันธมิตรใต้

เทียบกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นของสัมพันธมิตรใต้แล้ว  กำลังใจของทหารจากทวีปกวงหมิงนับวันมีแต่จะตกต่ำลง

ทหารของทวีปกวงหมิงทุกคนเผชิญกับการลอบทำร้ายหรือการต่อต้านก็ตระหนักได้ว่ามีความรุนแรงเกินกว่าเมื่อตอนสงครามเพิ่งเริ่ม พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาติดอยู่ในทรายดูด  การสู้รบกลายเป็นยากลำบากมากขึ้น  และถ้านี่ไม่พอจะให้พวกเขาสูญเสียกำลังใจ อย่างนั้นข่าวการขัดแย้งกันในทวีปกวงหมิงทำให้หัวใจของพวกเขาเย็นยะเยือกชิวซิ่วหัวและม่อซินได้รับผลกระทบมากที่สุด การกระทำของตระกูลชิวและตระกูลม่อทำให้ทั้งสองคนอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัด

พวกเขาลังเลไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไร และกลับกลายเป็นกังวลถึงอนาคตของตน ถ้าสัมพันธมิตรใต้ชนะ ก็คงไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเขา แต่ถ้าวิหารชนะ พวกเขาจะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีที่ฝังศพ

ความกังวลของโกวเฉิงเวิ่นเต้าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงคืนเดียวเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้หรือการป้องกันได้เกิดขึ้นในระหว่างสามแม่ทัพใหญ่

เซี่ยอวี่อันมองเห็นตรงนี้  พวกเขาไม่มีศัตรูใดๆอยู่เบื้องหลังของพวกเขาต่อไปและการเพ่งความสนใจติดตามการสู้รบถูกย้ายไปที่ทวีปซางโจว นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่มีคำบัญชาเรียกตัวเขากลับ เนื่องจากไม่ต้องมีการระวังหลังอีกต่อไป  สำหรับเซี่ยอวี่อันเป็นแม่ทัพทหารที่ทรงพลัง  แต่ถ้าไม่ถูกใช้งาน นับเป็นความสูญเปล่า

เซี่ยอวี่อันดีใจราวกับเป็นแม่ทัพบัญชาการใหม่บริสุทธิ์ เขาเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาอยู่ในสมรภูมิ เพราะการสู้รบนั้นสำคัญมาก

‘ก็เพียงแค่นั้น....’

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขารู้สึกได้ก่อนนั้นความดีใจของเขาลดลง

เมื่อเขารายงานท่านปิง  เขาตระหนักว่าท่านปิงมีร่องรอยกังวลอยู่ในใบหน้า  แม้ว่าปิงจะซ่อนไว้เป็นอย่างดีก็ตาม  แต่เซี่ยอวี่อันก็ยังรู้ได้  เซี่ยอวี่อันกังวลมาก  ‘สถานการณ์ก็ดีทำไมนายท่านถึงยังกังวล?’

ภายในห้องประชุมควันลอยอ้อยอิ่ง

ใบหน้าไพ่ของปิงเลือนรางอยู่ในกลุ่มควันมีเถ้าบุรุษตกอยู่โดยรอบเท้าเขา เขาจ้องมองแผนที่บนผนังและยังคงยืนอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานานโดยไม่ขยับ  ตาของเขาราวกับว่าจะมองทะลุทุกอย่างบนแผนที่และเต็มไปด้วยความกังวล

การเชื่อมโยงของเขากับถังเทียนถูกตัด

ไม่ใช่เป็นครั้งแรก  เมื่อถังเทียนอยู่ในแดนบาป  การเชื่อมโยงของพวกเขาก็ถูกตัดขาด  เวลานั้นเขาไม่ได้กังวล  และยังคงควบคุมและพัฒนาสัมพันธมิตรใต้ เพราะเขารู้สึกว่าถังเทียนจะมีวิธีกลับมายังดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้

‘แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป’

ถังเทียนพบเขาในช่วงเวลาสองวัน และเขาได้ยินรายงานของถังเทียนเกี่ยวกับเรื่องทวีปกวงหมิง ปิงรู้สึกว่าข่าวการขัดแย้งภายในทวีปกวงหมิงถือเป็นโอกาสที่ดีมาก  และโดยพลังของสัมพันธมิตรใต้ พวกเขาได้แพร่กระจายข่าวออกไปอย่างกว้างไกล  แม้แต่โกวเฉิงเวิ่นเต้าและพวกก็ได้รับรับแจ้งผ่านช่องข่าวของปิง

ปิงยังรู้อีกว่าการต่อสู้ที่เด็ดขาดสำหรับถังเทียนและพวกสนิทและเพราะการเชื่อมโยงกับเขา ถังเทียนถูกตัดขาดกะทันหันในช่วงเวลาสำคัญ ปิงรู้สึกถึงอันตรายทันที

ความลึกซึ้งยากจะหยั่งของวิหารและการปิดบังพลังเอาไว้ทำให้ผู้คนกลัวพวกเขา ปิงและวิหารมีการต่อสู้มานานและความรู้ของเขาที่มีต่อวิหารและความตั้งใจของพวกเขาก็มีเหนือมากกว่าคนอื่นไม่ว่าจะเป็นกองทัพของวิหารหรือแม่ทัพใหญ่ ทุกอย่างนั้นโดดเด่นมากแสดงให้เห็นถึงระบบการคัดสรรผู้มีพรสวรรค์และการสร้างกองทัพที่มีเหนือมหาอำนาจอื่น

แม้แต่สัตว์ป่าก็จะดิ้นรนต่อสู้จนพวกมันตายสำหรับพวกโหดร้ายอำมหิตอย่างวิหาร พวกเขาจะรอให้ถูกจับได้อย่างไร?

สัตว์ที่ดุร้ายจะใช้พลังฮึดครั้งสุดท้ายของมันดิ้นรนมากขึ้น  สัมพันธมิตรใต้ยิ่งคุกคามต่อวิหารโดยตรงและปิงเชื่อว่าถ้าเขาเองเห็นจากระยะไกลหลายไมล์ว่า  ระดับสูงของวิหารก็จะต้องเห็นได้ชัดมากกว่าและการตอบโต้ของพวกเขาจะต้องรุนแรงเกินกว่าจะคาด

ด้วยการสนองตอบที่รวดเร็วที่สุดของเขา  ปิงส่งคนจำนวนมากออกไปสังเกตการณ์และพยายามรับข้อมูลมาให้มากและชัดเจนที่สุด  แต่เขารู้ว่าปัญหานั่นไม่สามารถจัดการได้โดยเร็ว  เขาต้องการเวลา การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์อย่างฉับพลันทำให้สัมพันธมิตรใต้ไม่มีเวลาตั้งตัว  มันอยู่นอกเหนืออิทธิพลของพวกเขา

ปิงทำได้แต่เพียงทำงานหนักเพื่อคาดเดาและไตร่ตรอง  วิชาที่เป็นไปได้ที่ทางวิหารอาจใช้ออกและวิธีอื่นที่เขาสามารถช่วยถังเทียนและพวก ถังเทียน  เชียนฮุ่ยและพวกที่เหลือก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่กับการปะทะภายในทวีปกวงหมิง  ปิงไม่สามารถทำอะไรได้มาก  ‘แต่ในสนามรบใหญ่ข้ายังจะสนับสนุนถังเทียนได้ไหม?’

นั่นคือสิ่งที่ปิงกำลังไตร่ตรองอย่างหนัก

‘อย่างน้อยข้าจำเป็นต้องทำบางอย่าง’ ปิงจัดการแยกแยะในใจ การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้เขารู้สึกถึงการขัดแย้งที่แปลกประหลาด  บางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว

และเมื่อลำแสงลงทัณฑ์สุดท้ายยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้าวิหารเซียนจะกลายเป็นสีทองอย่างสมบูรณ์  จะไม่มีดวงอาทิตย์หรือเมฆอีกต่อไป  มีแต่เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยนิ่งอย่างสงบ

ทหารบนพื้นต่างแตกตื่นกันทุกคน  มีบางคนที่พยายามบินขึ้นไปในท้องฟ้า  แต่ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำจัดสลายทันที  ท้องฟ้าถูกผนึกอย่างสิ้นเชิง  เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ปากอ่าวกลายเป็นหนาแน่นยิ่งขึ้น  เรือรบระดับทองพยายามจะหนีผ่านไปให้ได้  แต่เมื่อเข้าไปใกล้เพลิงศักดิ์สิทธิ์  เปลวเพลิงรุนแรงก็พ่นเปลวโจมตีเรือรบ และเรือรบระดับทองที่สรรเสริญกันว่าเด่นในเรื่องพลังป้องกันก็ระเบิดกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ภายในสิบสองวินาที

เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์เผาไหม้ดาดฟ้าเรือทุกตารางนิ้ววัสดุที่แพงและมีค่าโดดเด่นถูกเผาไหม้เหมือนกระดาษ สมาชิกลูกเรือทุกคนไม่ว่าที่พยายามซ่อนอยู่ในเรือหรือพยายามกระโดดหนีล้วนถูกเผาไหม้อยู่ในเปลวเพลิง

เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นและหยุดลงหลังจากเลือดเนื้อสุดท้ายสูญสลายไป

เมื่อการคุกคามสุดท้ายของเปลวเพลิงหายไปจากท้องฟ้า  หน้าของคนที่เป็นประจักษ์พยานต่างก็ไร้สีเลือด

โหดร้ายเกินไป!

“วิหารพยายามจะทำอะไร?”  หัวหน้าตระกูลอ้วนคนหนึ่งปาดเหงื่อและบ่น “เรามักจะทำตามคำสั่งของวิหารไม่เคยจะหักหลังพวกเขามาก่อน”

สายตาเยาะเย้ยมาจากด้านข้าง  คนอ้วนผู้นี้เป็นนักฉวยโอกาส เขาเพียงแต่รอรับผลประโยชน์และฉวยกำไรจากทั้งสองฝ่าย

แต่หลายคนเห็นด้วย  “ถูกแล้ว,ทำไมวิหารถึงทำกับเราเหมือนเป็นศัตรู? เรามีความภักดีต่อพวกเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย”

ตระกูลแทบทั้งหมดยินดีอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะมีความคลุมเครือในเรื่องความภักดี  พวกเขาไม่เคยตัดขาดกับวิหารอย่างเอิกเกริก  เนื่องจากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น  พวกเขาจึงคิดเอาเองว่าวิหารคงไม่ตัดพวกเขาลง  นอกจากนี้ยังมีอีกหลายตระกูลมากที่คาดว่าวิหารจะไม่ฆ่าพวกเขาทั้งหมด

ไม่มีใครเชื่อว่าวิหารจะทำเรื่องอย่างนั้น

ชัยชนะของวิหารอยู่ในสายตาและทุกคนพยายามแสดงการรับใช้ที่โดดเด่น หัวหน้าตระกูลที่ฉลาดทั้งหมดเข้าใจว่าถึงเวลาเปิดเผยความภักดีแล้วและพวกเขาต้องลอยตัวไว้

พวกเขาทั้งหมดรู้สึกไม่สบายใจ ต่อให้พวกเขารู้ว่าวิหารไม่สามารถทำลายทุกตระกูล แต่พวกเขาสามารถฆ่าสักตระกูลหรือสองตระกูลให้เป็นตัวอย่างแก่ตระกูลที่เหลือ  วิหารจะถือความได้เปรียบไว้อย่างแน่นอน  และถ้าพวกเขาไม่ฆ่าสักสองสามตระกูล  พวกเขาจะควบคุมฝูงชนได้ยังไง?  หัวหน้าตระกูลทั้งหมดต่างเฝ้าภาวนาขอให้พวกเขาอย่าได้ถูกเลือก  พวกเขาคุยกันเบาๆ  ว่าจะสามารถแสดงความภักดีกับวิหารได้ยังไง  จะป้องกันตระกูลของพวกเขาไม่ให้ถูกเชือดเป็นตัวอย่างได้ยังไง?

ประมุขผู้อาวุโสจับตามองดูอยู่แต่ไกล  เมื่อลำแสงลงทัณฑ์สุดท้ายเชื่อมโยงเสร็จ  เขาก็เงียบ

‘ทุกอย่างลงตัวแล้ว  ได้เวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์’

เขาไม่รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อย  แต่กลับหนักใจแทน  เขารู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะสูงสุดเขารู้ว่าวิหารจะถือกำเนิดใหม่ แต่ในปัจจุบันนี้เขาไม่ดีใจกับชัยชนะ

ราคาที่เขาต้องจ่ายออกไปเพื่อชัยชนะทำให้เขาเศร้า

ผู้อาวุโสวิหารทั้งหมด อัศวินกวงหมิงทั้งหมดกลายเป็นทุนสำหรับเดิมพันในการพนันครั้งนี้  วิหารต้องใช้เลือด หยาดเหงื่อและน้ำตาและทุกอย่างทุ่มเทไปกับทุกคนเท่าใด?  หลังจากสงครามจบลง  ไม่มีใครเหลืออยู่  เขาไม่รู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะเหลืออยู่เท่าใด  เขายังคงรู้ว่าตระกูลชั้นสูงต้องทุ่มเทมากขนาดไหนพวกเขาจึงจะเติบโตมาถึงจุดที่เป็นอยู่นี้ได้  พวกเขามีพรสวรรค์มากขนาดไหน  เป็นเจ้าของทรัพยากรมากมายขนาดไหน

แต่ทุกอย่างจะมอดไหม้ลงในไฟและถูกแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน

เถ้าถ่านเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งวิหารเอาไว้ใช้สร้างชีวิตใหม่

‘ต้องเป็นแบบนั้น!’

เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบตัวประมุขผู้อาวุโสพุ่งสูงขึ้น

ในความมืดโซเฟียนั่งเท้าคางขณะที่นางมองไปไกลอย่างไร้จุดหมายเหมือนกับว่านางจ้องมองดูความมืด  นางไม่รู้เหตุผลที่เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น เหมือนกับที่นางไม่เข้าใจว่าทำไมโอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์ถึงได้ตายกะทันหัน  และไม่มีโอกาสจะกล่าวคำอำลา

รัศมีแสงภายในดักแด้ค่อยๆหมองลง ร่างภายในแสงดิ้นเพื่อชีวิต แต่โซเฟียรู้ว่าไร้ผล ภายในนั้นนางมองดูแสงทั้งหมดที่ค่อยๆ หมองลงและสูญเสียสายใยของชีวิตทั้งหมด

ดักแด้ทุกรังหมดสัญญาณของชีวิตและหายไปและโอกาสจะกลายเป็นขุนพลวิญญาณก็สูญหายไปด้วย

โซเฟียรู้สึกเย็นยะเยือกเนื่องจากความเศร้าครอบงำใจนาง นางรู้ผลที่จะตามมาแล้ว แต่แล้วยังไงเล่า? ‘พวกเขายังจะรอดได้หรือ, ไม่,พวกเขายังจะรอดได้หรือ?’ เพราะเหตุผลบางอย่าง ความเศร้าในใจของโซเฟียมากขึ้น นางสามารถทุ่มเททุกอย่างเพื่อวิหาร  นางไม่เคยลดความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อวิหาร  แต่ไม่ใช่ในลักษณะอย่างนี้

นางไม่อาจเกลียดประมุขผู้อาวุโสได้  เขาเป็นผู้สร้างนาง  และเขาเป็นเหมือนบิดาของนางผู้ให้ความอบอุ่นและความรักนาง

ไม่มีใครรู้ลึกๆ ในใจของนาง มีการต่อสู้กันของอารมณ์ที่ซับซ้อนและความกลัว

ขณะเมื่อนางตื่นขึ้น นางรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของนางเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด  เหมือนกับว่าชีวิตของนางเป็นแค่ฟองสบู่  มันสะท้อนสีสันที่งดงาม แต่ไม่มีอะไรอยู่ภายในและหลังจากลมพัดใส่ฟองสบู่ จะไม่มีอะไรเหลืออยู่

‘บางทีขุนพลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่มีอะไรเป็นของโลกนี้’

ด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ได้นางข่มความรู้สึกของตัวนางเอง นางยังรักษาระยะห่างกับโลกไว้ ซึ่งนางไม่มีทางข้ามเส้นแบ่งในใจนางได้  แม้เพื่อชาร์ลส์ก็ตาม  ‘บางทีชีวิตของข้าเป็นแค่ฟองสบู่  แต่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างฟองสบู่นี้ยึดถือเอาไว้ให้นานเท่าที่ข้าทำได้’

นางมักจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางทำถูกต้อง

จนกระทั่งชาร์ลส์ตาย  เมื่อนั้นจึงทำให้นางตระหนักว่าสิ่งที่นางพยายามควบคุมนั้นช่างน่าขันเพียงไหน

เมื่อประมุขผู้อาวุโสต้องการให้อัศวินพิเศษกวงหมิงทุกคนที่ฝึกฝนร่วมมากับนางกลายเป็นขุนพลวิญญาณ อารมณ์อย่างเดียวที่เหลือในใจนางก็คือเสียใจ  เพราะช่วงเวลาที่นานที่สุดนางกังวลเรื่องการสร้างขุนพลวิญญาณของประมุขผู้อาวุโสผู้ซึ่งมีชีวิตสีเทาปราศจากอนาคต  ใครจะรู้กันว่าความกังวลของนางได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางปฏิเสธคำสั่งของประมุขผู้อาวุโส  แต่ก็เหมือนกับชีวิตและความกลัวของนาง  มันไร้ผลทั้งหมด

‘ความรุ่งเรืองสุดท้ายของของวิหารต้องการกลุ่มขุนพลวิญญาณไว้ใช่แล้ว, บางทีอาจเป็นชะตากรรมของเรา’

นางไม่เกลียดประมุขผู้อาวุโส

‘เมื่อความมืดกลืนแสงได้ก็หมายถึงวันใหม่จะมาเยือน’

ไม่ว่าจะเป็นความมืดหรือความสว่างก็ไม่ทำให้นางแตกต่างไปเลย

***********

กลุ่มการค้าเมซฟิลด์เงียบลง ซาดราและคนที่เหลือไม่สนใจถังเทียนอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นการรวมกำลังของพวกเขา  พวกเขารู้ว่าหลังจากถูกกักขังไว้ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความโกรธเกรี้ยวของวิหาร  เพราะเรื่องนั้นวิหารได้ทุ่มเทราคาออกไปครั้งใหญ่ ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก ไม่มีใครสงสัยวิธีฆ่าที่น่ากลัวที่ตระเตรียมเอาไว้สำหรับการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่

ความกลัวอย่างรุนแรงทำให้ซาดราและพวกที่เหลือดึงทหารกลับมาซึ่งเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้น

เทียบกับพวกเขาแล้วถังเทียนยังใจเย็นกว่ามาก แม้ว่าซาดราและพวกต้องการจะยึดอำนาจคืนจากวิหาร แต่ในใจพวกเขาก็ยังกลัววิหารและประมุขผู้อาวุโสอยู่  แต่ถังเทียนไม่  ในสายตาของเขา วิหารเป็นศัตรูของเขา  ไม่ว่าวิหารจะทรงพลังมากเพียงไหน  พวกเขาก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน  และเขาไม่เคยมองวิหารในแง่บวก

นอกจากนั้นเขายังมีกองพลเกราะเทพเจ้า เชียนฮุ่ยและอาซิ่นอยู่กับเขา  พลังต่อสู้ของตัวเขาเอง กับความคิดของเชียนฮุ่ยและอาซิ่นทำให้เขามั่นใจมาก

แต่ใครจะรู้กันว่าคนแรกที่ค้นพบบางสิ่งไม่ใช่เชียนฮุ่ยหรืออาซิ่นแต่เป็นเสี่ยวม่านที่เหมือนกับแทบไม่ได้คงอยู่เลย

“คุณหนู, มีบางอย่างผิดปกติ...”  เสี่ยวม่านพูดกับเชียนฮุ่ยเบาๆ  นางมีสีหน้าแปลกประหลาดและน้ำเสียงไม่แน่ใจ  นางชำเลืองมองทุกคน  ‘ทำไมทุกคนไม่รู้สึกเลย  หรือว่าข้าเข้าใจผิด?’  นางไม่มั่นใจ

ในวันธรรมดานอกจากปกป้องเชียนฮุ่ยแล้ว งานของนางคือจะอยู่ในแนวหลังและลอบทำร้ายศัตรู  นางมั่นใจพลังต่อสู้ของนางมากแต่ในด้านอื่น  นางรู้ว่านางด้อยกว่า  ไม่จำเป็นต้องเทียบกับเชียนฮุ่ย  ในใจนางเชียนฮุ่ยเป็นเหมือนเทพธิดาสงคราม แม้แต่อาซิ่นผู้ชอบทำตัวเหลวใหลก็มีสัญชาตญาณต่อการสู้รบ  ใจของเขาทำงานได้รวดเร็ว ล้ำหน้านางไปหลายเท่า

ตอนแรกนางรู้สึกท้อแท้ แต่จากนั้นนางก็ชิน นางชินกับการรอให้อาซิ่นค้นหาปัญหา และเชียนฮุ่ยออกคำสั่ง ซึ่งนางจะสู้อย่างดุเดือดเพื่อคลี่คลายการรบ

‘แต่เวลานี้ดูเหมือนไม่มีใครรู้สึกถึงมัน...หรือว่าข้าจะเข้าใจผิดไป?’

ดังนั้นเมื่อทุกคนมองนาง  นางถึงกับอึดอัด และโพล่งออกมาอย่างกระวนกระวาย“ข้าอาจเข้าใจผิด...”

เชียนฮุ่ยปลอบนางอย่างนุ่มนวล  “เสี่ยวม่าน อย่ากังวลไปเลย ต่อให้เข้าใจผิด บอกเรามาเถอะ”

ถังเทียนงง  เสี่ยวม่านไม่เคยทำตัวเด่นโดยอยู่ข้างๆเชียนฮุ่ย นอกจากมีลงมือลงไม้กับอาซิ่นบ้าง เขาไม่ค่อยเห็นนางมากนัก  อาซิ่นก็ยังประหลาดใจมาก  เขาแค่นเสียง และถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูออกตัวเขาคงก่อกวนนาง

เมื่อเห็นสีหน้าอาซิ่นทำให้เสี่ยวม่านประหม่ากว่าเดิม

โชคดีที่มีคุณหนูคอยปลอบโยนทำให้นางกล้ามากขึ้น  “ข้ารู้สึกว่าพลังของข้าเพิ่มมากขึ้น”

‘พลังเพิ่มมากขึ้น?’

ทุกคนตกใจแม้แต่อาซิ่นที่ร่าเริงก็ยังตกตะลึง

“ถูกแล้ว เพราะเหตุผลบางอย่าง  ข้ารู้สึกว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าอบอุ่นมาก  ให้ความรู้สึกสบายเหมือนกับ  เหมือนอาบอยู่ใต้แสงอาทิตย์” เสี่ยวม่านพยายามอยู่ดีที่สุดที่จะอธิบายความรู้สึกของนาง  แต่นางไม่รู้ว่าอาบแดดมีความรู้สึกยังไงเพราะนางเป็นขุนพลวิญญาณมายาวนานมาก

ขุนพลวิญญาณไม่ชอบแสงแดด

“ตอนแรก, ข้าไม่รู้สึกแต่หลังจากนั้นข้ากังวลว่าจะมีอันตรายแอบแฝง” เสี่ยวม่านค่อยๆ ใจเย็นลงได้ และคำพูดของนางไหลลื่นมากขึ้น “และข้าพิจารณาจากร่างกายของข้าจึงตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นจริงๆ”

ขณะที่พูดอย่างนั้นเสี่ยวม่านกวัดแกว่งดาบยักษ์ฟันอย่างคล่องแคล่วและเกิดรอยฉีกเป็นประกายในท้องฟ้า

ทุกคนตาเป็นประกาย พวกเขาเข้าใจทันทีว่าเสี่ยวม่านหมายความว่ายังไง

แรงฟันของเสี่ยวม่านไม่เกิดเสียงและเงียบมาก  ปกติเสี่ยวม่านสามารถทำได้อยู่แล้วเพียงแต่ไม่ง่ายและสบายๆ อย่างนี้

ตาของเชียนฮุ่ยเป็นประกายแปลกประหลาด  นางพูดทันที “เสี่ยวม่าน, กลับไปตรวจสอบทุกคน”

เสี่ยวม่านตกใจ  แต่รู้ตัวทันที  นางรีบกลับไปที่ค่ายขุนพลวิญญาณ เชียนฮุ่ยมีประสบการณ์การต่อสู้มาจากสนามรบโบราณนับไม่ถ้วน  และเป็นแม่ทัพของกองทัพขุนพลวิญญาณ  หลังจากมีประสบการณ์มายาวนาน  จำนวนพวกเขาที่ติดตามมาลดลงเหลือเพียงสองสามร้อย

ขุนพลวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดถูกคัดเลือกมาอย่างระมัดระวัง  ทุกตนได้รับเลือกมาจากหนึ่งในร้อย และมีพลังมาก

หลังจากได้รับความชัดเจนจากคำของเสี่ยวม่านแล้ว  อาซิ่นตรวจสอบตัวเอง  ความแข็งแรงของเขาก็เพิ่มขึ้น  แต่ก็เพียงตระหนักได้ว่าเมื่อสั่งกองทัพในการสู้รบ การควบคุมร่างกายของเขาไม่อาจเทียบกับเสี่ยวม่านผู้เป็นขุนพลวิญญาณที่มีความเก่งกาจในด้านพลังส่วนตัว

ทันใดนั้นเขาเงยหน้า  ตาของเขาฉายประกาย “ข้าคิดว่าเราค้นพบแล้วว่าวิหารจะวิธีสังหารยังไง”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด