ตอนที่แล้วบทที่ 20: บ้านพักบนเขา! อัปเกรดอีกครั้ง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 22: แปลงปลูกเลเวล 3! เฟื่องฟ้าประดับเจ็ดสี!

บทที่ 21: ได้บ้านไร่มาไว้ในมือ! ทะเลเฟื่องฟ้า!


ฉินหลินเช็คหน้าจอเกม

ตัวละครในเกมของเขาเลเวลอัพอีกแล้ว  ส่วนการแจ้งเตือนนั้นบอกว่าเขาสามารถบุกเบิกแปลงปลูกเลเวล 1 ได้อีกรอบ  และอัปเกรดแปลงปลูกเป็นเลวล 3 ได้อีก 1 แปลง

แปลงเลเวล 3 สามารถปลูกพืชที่มีค่าสูงขึ้นได้

แน่นอนว่าการอัปเกรดเป็นเลเวล 3 ต้องใช้เหรียญทองในเกม  และเขาก็เอาพืชผลทั้งหมดในเกมออกมาขายในโลกความจริงหมดจนตอนนี้ไม่เหลือเหรียญทองในเกมแล้ว

แต่ยังโชคดีที่มีปลาที่เขาฆ่าเวลาตกเล่นทุกวัน ๆ

เขาเลยตัดสินใจขายปลาเลเวล 1 ทั้งหมดทันที  เหลือแค่ปลาตะเพียนป่า  ปลาเฉาป่า  และปลาคาร์ปดำป่าเลเวล 2 ไว้

จะขายทำไมล่ะในเมื่อมันเป็นของดีมีประโยชน์ในโลกจริงซะขนาดนั้น

กระนั้นแม้เขาจะขายปลาเลเวล 1 ทั้งหมดจนได้เหรียญทองมาเพียบแต่ก็ยังไม่พอให้อัปเกรดแปลงปลูกขึ้นเป็นเลเวล 3

ซึ่งก็ปกติของเกม  เลเวลยิ่งสูงค่าอัพเวลยิ่งแพง

ฉินหลินเลยสั่งตัวละครออกไปบุกเบิกแปลงปลูกเลเวล 1 ที่สามารถเปิดใหม่ได้ก่อน

ถอนหญ้า  ทุบหิน  ขุดตอไม้...  เสียเวลาไปพอสมควรก็ได้แปลงปลูกเพิ่มขึ้นมาใหม่อีก 6 แปลงซึ่งเขาปลูกกระเจี๊ยบเขียวล้วน ๆ

โดยกระเจี๊ยบเขียวพวกนี้ไม่ได้จะปลูกแล้วเอาออกมาขายในโลกจริง  แต่จะขายเอาเงินในเกม

เพราะไม่ว่ายังไงตอนนี้สิ่งสำคัญคือแปลงปลูกเลเวล 3 ต้องได้มาโดยเร็วที่สุด

และเขาวางแผนไว้ว่าต้องแบ่งแปลงปลูกส่วนหนึ่งเพื่อจะขายผลผลิตจากแปลงเหล่านั้นในเกมด้วย  เวลาตัวละครเวลอัพจะได้มีเงินในการอัปเกรดอะไร ๆ ในทันทีไม่ต้องเจอกับสภาพแบบนี้อีก

และแล้วเวลาก็ผ่านไป

14.00 น.

ฉินหลินได้รับข้อความว่าการประมูลทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากการพิจารณาคดีได้เริ่มขึ้นแล้ว

ด้วยการพัฒนาของสังคมแบบโลกาภิวัตน์  อะไร ๆ ก็ออนไลน์  ดังนั้นการจัดประมูลทรัพย์สินที่ถูกศาลสั่งยึดโดยต้องเอาคนไปอยู่รวมกันในโถงประมูลจึงมีน้อยลงเรื่อย ๆ โดยทางศาลได้มีการจัดประมูลเป็นแบบออนไลน์มากขึ้น

ฉินหลินล็อคอินเข้าร่วมประมูลและได้หมายเลขประจำตัวผู้ประมูลในทันที

จากนั้นทรัพย์สินที่ถูกสำนักงานจัดเก็บภาษีไปยึดมาตามคำสั่งศาลก็เริ่มถูกวางประมูล

จากนั้นในไม่ช้าบ้านไร่ฟู่ไห่ก็ถูกนำออกมาประมูล

และเป็นดังคาด  มีคนเห็นค่าของมันเหมือนเขาเลย

ทันทีที่เริ่มประมูลก็มีคนแข่งกันสู้ราคากันสามคนตั้งแต่เริ่ม 600,000, 610,000, 620,000, 630,000…  จนถึง 700,000 หยวน

ทั้งสามคนนี้เพิ่มทีละ 10,000 หยวนทำให้ราคาเพิ่มทีละนิด ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นต้องการซื้อในราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยเพิ่มทีละต่ำ ๆ

ฉินหลินกำลังคิดว่าตัวเองมีงบแค่ประมาณ 1.28 ล้าน  แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่น ๆ มีงบเท่าไหร่กับบ้าง

เขาไม่คิดจะทำเหมือนคนพวกนี้  เพราะมายด์เซตของคนทั้งสามมันแปลก ๆ คือคิดว่าถ้าตัวเองแข่งโดยเพิ่มทีละหมื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วอีกไม่นานอีกสองคนจะยอมแพ้ไปเอง

ทั้ง ๆ ที่ 10,000 หยวนไม่ได้กดดันอะไรเลย 10 ครั้งก็แค่ 100,000 หยวน

แต่หากว่าเพิ่มทีละแสนเลยล่ะ?  มันจะสามารถกดดันคนอื่น ๆ ได้แบบคนละเรื่องกันไปเลยทีเดียว

เมื่อคิดได้แบบนี้ฉินหลินก็คิดที่จะเพิ่มซัก 100,000 ไปเลย  แต่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีคนที่สี่เสนอราคา 800,000 หยวนตัดหน้าเขาซะงั้น!

แม้แต่เรื่องเพิ่มราคาทีละแสนก็ยังมีคนคิดแบบเดียวกับเขาด้วย!

ซึ่งวิธีนี้ได้ผลจริง  เพราะสามคนก่อนหน้าที่เพิ่มทีละหมื่นได้หยุดกึกกันไปหมดแล้ว

เพิ่มทีละแสนดูเหมือนจะกดดันคนทั้งสามได้มากจริง ๆ และยังแปลว่าทั้งสามนั้นไม่มีงบเพียงพอที่จะเอามาซื้อ  เพียงแค่ลองเสี่ยงโชคดูเผื่อจะได้

ฉินหลินรู้สึกหงุดหงิด

เพราะตอนนี้เขาเจอคู่แข่งเข้าแล้ว  และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมีงบเตรียมไว้มากน้อยแค่ไหน

“ช่างมัน!  คิดแล้วปวดสมองว่ะ  จะได้ไม่ได้ให้โชคชะตากำหนดไปเลยดีกว่า” ฉินหลินพึมพำและเสนอราคาไป 1.2 ล้าน!

สองเท่าของราคาเริ่มต้น!

ก็แค่ทำให้คนกลัวไม่ใช่เหรอ?  ลองดูหน่อยซิว่าใครกันแน่ที่ต้องกลัว

ตัวฉินหลินไม่ได้อะไรมากอยู่แล้ว  เพราะเงินล้านสองนี่เขาได้มาแบบไร้ต้นทุน

ถ้าอีกฝ่ายเอาไปได้ล่ะก็แปลว่าเขาแค่ชะตาไม่ต้องกับบ้านไร่นั่นก็เท่านั้นเอง

ณ ตอนนี้

ในห้องห้องหนึ่ง  มีชายหนุ่มสามคนกำลังดูจอคอมอย่างภาคภูมิใจ

หนึ่งในนั้นยิ้ม “นึกแล้วว่าเพิ่มทีละแสนต้องทำให้เจ้าปลาหมึกทั้งสามตัวนั่นต้องสะดุ้งกันหมด  ถ้าเราเข้าร่วมแข่งกับพวกมันทีละหมื่น ๆ สุดท้ายได้จ่ายเกินแสนไปเยอะแน่ ๆ”

เหล่าคนรุ่นเยาว์จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นทำงานอย่างหนักก่อน  จากนั้นถึงค่อยเริ่มเป็นนักธุรกิจระดับบอส  ทั้งสามหนุ่มเองก็เป็นคนแบบนี้ด้วย  โดยทั้งสามวางแผนจะเดินทางทั่วประเทศเพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้มาก ๆ เข้าไว้ซักหลาย ๆ ปี  จากนั้นจึงจะเอาประสบการณ์ที่ได้กลับไปเปิดธุรกิจของตนที่บ้านเกิด

ทั้งสามต่างเห็นพ้องต้องกันว่าบ้านไร่ฟู่ไห่มีแนวโน้มจะรุ่ง  ดังนั้นทั้งสามจึงระดมเงินทุนมาเพื่อที่จะประมูลมาให้ได้

และเมื่อเห็นว่าแผนของตนสำเร็จ  คนทั้งสามต่างมองหน้ากันอย่างอารมณ์ดี

“q43 เสนอราคา 1.2 ล้าน!”

จู่ ๆ ที่หน้าจอคอมก็แสดงให้เห็นว่ามีคนเสนอราคาเพิ่มเข้ามา

“ฉิบหาย  ยังจะมีคนเอาอีกเหรอวะ!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยความหงุดหงิด

1.2 ล้าน?

ทั้งสามได้เห็นราคานี้เป็นต้องอึ้ง

เพราะตัวเองเพิ่มทีละ 100,000 แต่เจ้าคนมาใหม่กลับเพิ่มทีเดียว 400,000?

“ไอ้นี่มันบ้าไปแล้ว!”

“โคตรบ้าของแท้!”

ทั้งสามคนบ่น

ทั้งสามไม่รู้ว่า 400,000 ที่เพิ่มมานั้นเป็นการบลัฟหรือไม่  แต่ 100,000 ที่ตัวเองเพิ่มไปก่อนหน้านี้เป็นการบลัฟแน่นอน 100%

บางคนว่าโหด  แต่บางคนโหดกว่า

“เรา…  จะต่อป่าว?” มีคนถาม

อีกสองคนก็ครุ่นคิด  เพราะนี่มันเกินงบที่ตั้งไว้มาก

“เฮ่อ~”

หนึ่งในนั้นถอนหายใจและพูดว่า “ลืมไปเถอะ  เรายังเป็นแค่เด็กอยู่ดี  ยังมีโอกาสรออยู่ข้างหน้าอีกเยอะ”

“งั้นก็รอโอกาสหน้า!” อีกคนพูด

“โอเค  รอโอกาสหน้า!” คนที่สามว่าตาม

.................................................................................................................................…

“ขอแสดงความยินดีกับคุณ q43 ที่ประมูลบ้านไรฟู่ไห่สำเร็จ  กรุณาชำระเงินตามข้อมูลที่ได้รับหลังไมค์และดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง”

ฉินหลินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ดูท่าฝ่ายนั้นเองก็บลัฟด้วยเหมือนกัน  และการบลัฟแบบเอาตามโชคชะตาของเขาเองก็ได้ผล

เมื่อประมูลบ้านไร่ได้แล้วฉินหลินก็ไม่รอช้าอีกต่อไป  เขารีบไปดำเนินการตามขั้นตอนที่ศาลและชำระเงิน 1.2 ล้านหยวน

ทว่าโดยปกติแล้วกระบวนการขั้นตอนในการโอนกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์พวกนี้ก็แสนจะยุ่งยากวุ่นวาย  ไม่ใช่แค่ให้ศาลยืนยันและออกใบเสร็จรับเงินให้เท่านั้น  ศาลยังต้องออกจดหมายให้กรมบังคับคดีไปติดต่อขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมจัดการด้วย...

กว่าจะจบกระบวนการทั้งหมดก็กินเวลาไปสองสามวัน

ทว่ากระบวนการเหล่านั้นสามารถจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากที่จ่ายเงิน 1.2 ล้านและได้รับการยืนยันและใบเสร็จรับเงินจากแล้วได้  ถึงยังไงผู้มีอำนาจจัดการประมูลในครั้งนี้คือสำนักงานจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีหน่วยงานอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว  ไม่อย่างนั้นหากมีข่าวหลุดออกไปล่ะก็ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของสำนักงานจัดเก็บภาษีมันจะมีปัญหาเอาได้

ตกตอนเย็น

ฉินหลินเอาสตรอว์เบอร์รี่กับกระเจี๊ยบเขียวไปส่งไปที่ RT-Mart และเมื่อเงินก้อนนี้เข้ามายอดเงินคงเหลือในบัญชีจากที่เหลือ 80,000 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 120,000 หยวน

หลังจากนั้นเขาก็ขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไปรับจ้าวโม่ชิงที่สำนักงานจัดเก็บภาษีโดยหมายจะไปบอกข่าวดีเรื่องที่เขาซื้อบ้านไร่ฟู่ไห่ให้เธอฟัง

จ้าวโม่ชิงวิ่งออกมาอย่างเร็วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“โห~  หน้าบานมาเลย  วันนี้มีเรื่องดี ๆ งั้นเหรอ?” ฉินหลินถาม

จ้าวโม่ชิงที่ยังยิ้มไม่หุบตอบว่า “ช่ายแล้น~  วันนี้ของที่สำรักงานจัดเก็บภาษีเอาออกประมูลได้ผลดีกว่าที่คาดไว้เยอะ  เดือนนี้เลยมีโบนัสขึ้นอื้อซ่ามีฟามสุขสุด ๆ อะ”

“ยิ่งบ้านไร่ฟู่ไห่นะยิ่งสุด  ดูท่าคนซื้อจะชอบมากเลยยอมจ่ายตั้งล้านสองแหน่ะ!”

“ราคานี้เกินกว่าที่เราประเมินไว้ตั้งเยอะ  ทุก ๆ คนถึงกับบอกว่าเพราะคนอื่น ๆ กลัวจนไม่กล้าสู้ต่อ  ไม่งั้นล่ะก็คนรวยที่มีเงินขนาดใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดนั่นต้องยอมจ่ายมากกว่านี้แน่นอนด้วย”

“…” ฉินหลิน

‘รวย?’

‘มีเงินใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด?’

‘นี่ ๆ เมียจ๋า  เตงแน่ใจนะว่าพูดถึงเค้าอยู่จริง ๆ อะ?’

ทันใดนั้นฉินหลินก็เลิกคิดที่จะบอกความจริงกับจ้าวโม่ชิงเรื่องบ้านไร่แล้ว

เขาคิดว่าจะไปทำให้บ้านไร่นั่นเป็นที่นิยมก่อนดีกว่า  แล้วค่อยพาเธอไปเซอร์ไพรส์

‘แบบนั้นมันต้องเจ๋งมาก ๆ แน่เลย  หึหึ’

“ว่าก็ว่าเถอะ  ใช้เงินขนาดนั้นซื้อบ้านไร่ฟู่ไห่แสดงว่าคนที่ซื้อต้องจริงจังกับการพัฒนามันมาก ๆ เลยว่ามั้ย?” จ้าวโม่ชิงพูดต่อ

“ที่บ้านไร่นั่นมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเยอะมาก  ถ้าเราปลูกเฟื่องฟ้าสวย ๆ เยอะ ๆ จนเหมือนทะเลมหาสมุทรได้ล่ะก็ต้องดึงดูดให้คนมาเที่ยวได้เพียบแน่ ๆ เลย”

“อ้อ~  ทะเลเฟื่องฟ้านะ!”

ฉินหลินแอบจำคำพูดของจ้าวโม่ชิงไว้เงียบ ๆ

‘ก่อนอื่นก็ต้องทะเลเฟื่องฟ้า~  อืม ๆ’

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด