ตอนที่แล้วตอนที่ 831 มีอาคันตุกะหลายแบบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 834 ภูตพรายฟ้าบุรุษผมแดง

ตอนที่ 833 ข้าทำเช่นนี้เพื่อพวกเจ้า


คนที่เดินเข้ามาก็คือเย่ว์หยางแน่นอน

แม้ว่าพลังของเขาจะอยู่ที่ปราณฟ้าระดับสาม แต่ไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา  ลี่เยี่ยนและไป่ลู่ที่คลุมผ้าบางปกปิดใบหน้าตนเองไว้  ต่อให้เป็นคนตาบอดก็รู้ได้ว่าเด็กหนุ่มที่สวมหน้ากากนี้จัดการได้ไม่ง่าย!

บุรุษผมแดงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์

เขากวาดตามองเย่ว์หยาง ลี่เยี่ยนและไป่ลู่เล็กน้อย และหยุดอยู่โล่วฮัวผู้เฉิดฉาย

สุดท้ายเขามองผู้อาวุโสหวีมู่ “หวีมู่ เขาเอาชนะเจ้าได้ใช่ไหม?”

ผู้อาวุโสหวีมู่พยักหน้าและตอบตามความสัตย์ “และนั่นคือความเร็วที่ดีที่สุดซึ่งเอาชนะเขาได้ด้วยการสนับสนุนจากสมบัติวิเศษ อสูรและทักษะแฝงเร้น”

บัณฑิตเฒ่ามองดูเย่ว์หยางอย่าระมัดระวังและพบว่าที่มือซ้ายของเย่ว์หยางมีกำไลลวงระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่มือขวามีแหวนที่มีระดับใกล้เคียงสมบัติเทพมีความรวดเร็ว แต่ลักษณะสะดุดตา  เขาหรี่ตาลงทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงขณะหันไปทางราชาใจสิงห์ และโบกพัดช้าๆ “มิน่าเล่า, ราชาใจสิงห์ถึงได้มั่นใจนัก  สหายของราชาใจสิงห์ผู้นี้เป็นอาคันตุกะที่ยิ่งใหญ่นี่เอง!”

ราชาใจสิงห์หัวเราะ  “เราซือซินชอบเรื่องครึกครื้นอยู่แล้ว ที่มาในคืนนี้ก็เพราะชอบเรื่องสนุกสนาน  สหายน้อยผู้นี้กับข้าก็เคยสนิทสนมมาก่อน  หากแต่ว่าสถานะของสหายน้อยผู้นี้สูงส่ง  แม้ซือซินเองยากจะคบหาด้วย เพราะสำนึกตัวว่าด้อยกว่า!”  ในท่ามกลางเสียงหัวเราะมีเงาร่างเข้ามาสมทบอีกหลายร่าง พวกเขาเข้ามาในป้อมชมดาว

จำนวนกลุ่มคนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นที่รู้จักเลย

ผู้นำเป็นบุรุษผู้สง่างามมีรัศมีสายฟ้าเป็นประกาย แม้ว่าระดับพลังจะไม่ถึงกับสูงส่ง แค่เพียงปราณฟ้าระดับสี่ขั้นสูง อย่างไรก็ตามรัศมีรอบตัวเขามีแรงกดดันไม่ด้อยไปกว่าลี่เยี่ยนที่มีพลังปราณฟ้าระดับห้า  การปรากฏตัวของเขา แม้แต่ราชาใจสิงห์ก็คาดไม่ถึงและอดเหลือบมองเล็กน้อยไม่ได้

มีอีกสองสามคนที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้ ทุกคนเป็นนักรบแปลกหน้าพลังปราณฟ้าระดับสาม ไม่มีใครรู้จักพวกเขาเลยสักคน แต่คนเหล่านี้มีราศีเยือกเย็นเสียดกระดูก  ที่ด้านหลังมีจอมปีศาจทั่วร่างมีเปลวเพลิงลูกโชน

ที่ท้ายของกลุ่มนี้มีนักสู้ปราณฟ้าหลายคนที่ดูคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย  หลังจากบัณฑิตเฒ่าหนานเป่ยไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง เขายืนยันทันที  “กลุ่มโจรตัวตลก เจ้าคือเยี่ยซิ่วกับหย่งฮุยของกลุ่มโจรตัวตลก”

หย่งฮุยยังคงเงียบเหมือนไม่ได้ยิน

เยี่ยซิ่วฝืนยิ้ม “ท่านหนานเป่ย เราก็แค่ตกกระไดพลอยกระโจนเท่านั้น ขออภัยจริงๆ”

ทั้งสามคนที่อยู่รอบตัวเขาก็เป็นพวกที่ยอมแพ้ยอมจำนน  ขณะที่เฟยหวงและฮัวปันกระจายกำลังกันอย่างกระตือรือร้น ที่ด้านหลังบุรุษผู้งามสง่าซึ่งกระแสไฟฟ้ากระจายอยู่รอบตัวไม่มีใครเผชิญหน้ากับนักสู้ของตำหนักกลางโดยตรง  ความจริงถ้าเป็นเมื่อก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  พวกเขาคงหวาดกลัวฝ่ายตรงข้าม  แต่บัดนี้ต่างจากในอดีต หลังจากมีความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ พวกนี้มีพลังที่ก้าวหน้าพร้อมกับกำลังขวัญที่เพิ่มพูนมากขึ้น

นอกจากอาคันตุกะกลุ่มนี้ที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังมีคนอีกสองกลุ่มที่พวกเขาคุ้นเคย

กลุ่มแรกคือราชินีไท่หลุนและสหายของนาง ซึ่งก็มีไม่มากนักเพียงห้าคนรวมทั้งราชินีไท่หลุน แม้ว่าจะเป็นคนกลุ่มเล็ก แต่พวกเขาก็เป็นสหายของราชาไท่หลุน ต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับผู้นำของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์  พวกเขาก็ยังกล้าจ้องหน้า

กลุ่มที่สองนั้นเกินไปกว่าที่ผู้อาวุโสหวีคาดคิดมากนัก

กลับกลายเป็นเฉียนหู่เจ้าเมืองไถ่ถอนและทอเรนลิมาจอมเจ้าเล่ห์  มีเงาร่างที่ซ่อนตัวอยู่หลังพวกเขาก็คือพ่อบ้านประจำจวนเจ้าเมืองซึ่งยืนตัวสั่นงันงกอยู่

“เป็นเจ้านั่นเอง?  รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป?”  ผู้อาวุโสหวีมู่ถลึงตาเย็นชามองดูเจ้าเมืองเฉียนหู่

“อะแฮ่ม, เรายืนอยู่ฝ่ายตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์แน่นอน  เพราะมีการกล่าวว่าจะมีบางคนมาหาเรื่องที่ป้อมชมดาวซึ่งคาดว่าจะเป็นที่ตั้งกองกำลังของตำหนัก แม้เฉียนหู่จะอ่อนแอ  แต่จิตใจรักความเป็นธรรมไม่อาจวางเฉยได้ ดังนั้นข้าจึงเข้ามาฟังข่าวคราวโดยเฉพาะ” เจ้าเมืองเฉียนหู่ตอบอย่างนี้แม้ว่าเขาจะพูดเหมือนดี  ต่อให้คนหูหนวกทราบเข้าก็รู้ว่าไม่เป็นความจริง แม้แต่ผู้อาวุโสหวีมู่ที่เหมือนกับสมองมีปัญหาก็ยังไม่เชื่อคนอย่างเจ้าเมืองเฉียนหู่

“เจ้าเมืองเฉียนหู่กล้า และฉลาด เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเป็นประสงค์ของทวยเทพ?  เจ้าไม่กลัวว่าคนบางคนแกล้งปลอมแปลงหลอกเจ้าหรือ?” หนานเป่ยถามพร้อมกับยิ้ม

“ท่านหนานเป่ย คงคาดเดาไม่ได้ว่าวันนี้ข้าเฉียนหู่ไปเอาความกล้ามาจากไหน ความจริงข้ายังมิกล้าคิดเลย”  เจ้าเมืองเฉียนหู่คำนับ พร้อมกับยิ้มและแสดงอาการหวาดๆ  อย่างไรก็ตามการกระทำเช่นนั้นของเขากระตุ้นความสนใจราชาใจสิงห์ เขาพยักหน้าและแอบคิดว่าคนผู้นี้สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้โดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนผู้นี้มีความกล้าหาญพอ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังกดดันของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ กล้าเสี่ยงโชคโดยไม่คาดคิด  แม้ว่าราชาใจสิงห์นี้ก่อนที่จะมาป้อมชมดาว เขาคิดวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจมา  คนที่ได้รับแต่งตั้งจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ให้ปกป้องลานสำเร็จโทษนี้ก็ยังกล้าที่จะมา  ความแข็งแกร่งของเขาใช้ได้ ความกล้าหาญก็มากพอ

“ยินดีต้อนรับอาคันตุกะทุกท่าน ราชาใจสิงห์ผู้เป็นที่รู้จักของทุกคนมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง  เจ้าเมืองเฉียนหู่  และราชินีไทหลุนผู้เฉิดฉาย  น่าเสียดายที่อาคันตุกะอื่นข้ายังรู้สึกแปลกหน้าอยู่เล็กน้อย พวกท่านจะแนะนำตนเองได้ไหม?”  บัณฑิตเฒ่าหนานเป่ยโบกพัดในมือและยิ้มด้วยความมั่นใจ   เขาคำนับเย่ว์หยางทำตัวเหมือนเจ้าภาพต้อนรับอาคันตุกะ

“มารสัมฤทธิ์ฟ้า!”  มารสัมฤทธิ์ฟ้าไม่เคยพูดเกินกว่าหนึ่งคำ

“ข้าหลงซ่วน สำหรับท่านหนานเป่ยผู้ทรงภูมิรู้ข้าชื่นชมเสมอมา ถ้ามีเวลาว่างโปรดแนะนำข้ามากๆ”  จักรพรรดิมังกรทำให้บรรยากาศดูสงบขึ้น

ขณะที่จักรพรรดิใต้พิภพและจอมปีศาจบารุธพวกเขาคร้านจะพูด  ไว้รอพูดตอนประสบความสำเร็จไม่ดีหรือ? นอกจากนี้พวกเขาไม่ได้มีความสำคัญในที่นี้ ผู้รับผิดชอบหลักคือเจ้าเด็กเย่ว์หยาง  เขาเป็นหัวขบวนในคืนนี้

หนานเป่ยมองดูมารสัมฤทธิ์ฟ้าและมองดูจักรพรรดิมังกร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนไม่สามารถค้นพบได้ว่าพวกเขามาจากที่ใด แม้ว่าความทรงจำของเขาดี แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาได้ถูกว่าเย่ว์หยางและมารสัมฤทธิ์ฟ้ามาจากหอทงเทียน  ยิ่งคาดเดาก็ยิ่งมืดมิดสับสน

แต่หนานเป่ยรีบปรับตัวและยิ้มเล็กน้อยให้ไป่ลู่และลี่เยี่ยน “เจ้าคือองค์หญิงแห่งแคว้นมรกต  ข้ารู้จักบิดามารดาของเจ้า และอาจบอกได้เลยว่าเจ้าดูเหมือนมารดาเจ้ามาก” คำพูดของเขาทำให้ไป่ลู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางคาดเดาได้สองสามจุดแล้ว บิดามารดาของนางตายถ้าไม่ใช่เพราะหนานเป่ยผู้นี้ฆ่า ก็ต้องเป็นเขาที่วางแผนการร้ายอยู่เบื้องหลัง  เจ้าแคว้นมรกตคนปัจจุบันผางเพ่ยจะกล้าวางแผนฆ่าบิดานางได้อย่างไร? นางข่มความโกรธและไม่พูดอะไร หนานเป่ยเหมือนกับว่าไม่เห็นดวงตาที่แฝงไปด้วยความโกรธของนาง  แต่พยักหน้าและยิ้มให้นาง จากนั้นมองไปทางลี่เยี่ยน “หัวหน้าลี่เยี่ยน หนานเป่ยได้ยินชื่อเสียงความกล้าหาญของหัวหน้าลี่เยี่ยนมานานเพิ่งจะได้พบตัว ดูแล้วหัวหน้าลี่เยี่ยนแข็งแกร่งทรงพลังมาก เหมือนกับว่าบรรลุระดับพลังใหม่ ขอแสดงความยินดีด้วย” ลี่เยี่ยนตอบง่ายๆ  “เฮอะ!” ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ร้อนแรงของนางเป็นไปไม่ได้ที่จะยิ้มตอบเหมือนกับเย่ว์หยาง  นางแสดงความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อหนานเป่ยไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ทั้งหมดเขายังคงรักษารอยยิ้มและคารวะเย่ว์หยางเล็กน้อย  “แม้ว่าท่านผู้สูงศักดิ์จะปิดบังใบหน้าที่สง่างามไว้  แต่หนานเป่ยตาไม่บอดสามารถเห็นได้  ท่านเป็นยอดคนจริงแท้  หนานเป่ยขอบังอาจถามชื่อตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติได้หรือไม่?”

เย่ว์หยางหัวเราะและทำเป็นคารวะคืน แต่มองดูเหมือนจิ้งจอกน้อยมากกว่า  “ท่านหนานเป่ยมากมารยาทจริงๆ ชื่อข้าไม่สำคัญไม่คู่ควรแก่การเอ่ยอ้างถึง ถ้าท่านหนานเป่ยไม่ถือสาโปรดเรียกข้าว่าคุณชายสามก็ได้”

“อา..กลายเป็นคุณชายสามผู้ลือชื่อนี่เอง”  หนานเป่ยไม่เคยได้ยินชื่อของคุณชายสาม แต่ทำเหมือนกับว่ารู้จักกันมานาน

“ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายสาม?” แม้ว่าผู้อาวุโสหวีมู่และหนานเป่ยจะเป็นผู้อาวุโสลงทัณฑ์เหมือนกัน  แต่เขาจะไม่มีทางทำได้เหมือนกับหนานเป่ยได้  กลับมีบางด้านที่คล้ายกับลี่เยี่ยน ที่ชอบพูดตรงไปตรงมา

“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่มาเดินเล่น และอยากติดต่อขอยืมอะไรสักอย่าง”  เย่ว์หยางแสดงทัศนคติเหมือนกับเป็นอาคันตุกะ

“ข้าไม่รู้ว่าคุณชายสามต้องการจะยืมอะไร?” แม่ทัพเถี่ยเจี้ยนถามอย่างเกรงใจ เขารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องพูดคุยถึงสมบัติสำคัญแน่  อาจจะเป็นป้อมชมดาวก็ได้  อย่างไรก็ตามเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ยืมสิ่งของที่เป็นการทำลายชื่อเสียงของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์  ความเป็นไปได้อีกประการก็คือเรียกร้องต้องการตัวราชาไท่หลุน ตราบเท่าที่ช่วยเหลือราชาไท่หลุนออกไป อย่างนั้นการปกป้องความลับที่ลานสำเร็จโทษ อาจถูกปล่อยไปก็ได้กระมัง?

เย่ว์หยางไม่ตอบทันที เขาแค่เดินขึ้นมาข้างหน้าและเดินมาอยู่ด้านตรงข้ามหวีมู่ ห่างไม่ถึงสามเมตรก่อนจะหยุดนิ่ง  เขายิ้มแล้วประสานมือ “สิ่งที่เราบังอาจยืมนั้นเป็นของแพงราคาสูง แต่ก็เป็นเพียงการหาข้ออ้างติดต่อกับตำหนักกลาง  ในแดนสวรรค์ใครเล่าไม่ต้องการคงความสัมพันธ์กับพวกท่านเล่า  แม้แต่เราก็ไม่มีข้อยกเว้น ฮ่าฮ่า สำหรับสิ่งที่เราต้องการยืมนั้นง่ายมาก ก็แค่ศีรษะของภูตพรายฟ้า?”

ต้องการใช้ประโยชน์ศีรษะของภูตพรายฟ้า?  เฉียนหู่รู้ดีว่าเรื่องที่เกิดในวันนี้มิใช่ดำเนินการไปอย่างเป็นมิตร  แต่เมื่อได้ยินเย่ว์หยางพูดเช่นนี้  เขาถึงกับเข่าอ่อน

ขณะที่สหายสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังราชินีไท่หลุน  พวกเขาแทบจะเอาศีรษะโขกกำแพง เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน เขาบ้าระห่ำเกินไปแล้วถึงพูดอย่างนี้!

บุรุษหน้าดุร้ายผมแดงนั่งเงียบเฉยจนกระทั่งเย่ว์หยางพูดคำว่า “ยืมศีรษะ” เขาหัวเราะและกล่าว “ไม่เลว คำว่ายืมศีรษะที่เข้มแข็งนัก ข้าชอบฟัง!  ต่างจากเจ้าพวกโง่ในอดีต ต้องการฆ่าคนโดยไม่มีความเจ็บปวด ข้าทำได้แต่ลอบสังหาร และข้าก็อยากจะลองดู เด็กน้อย ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถพอ เจ้ามาเอาศีรษะนี้ไปได้ทุกเมื่อ...”

“ภูตพรายฟ้าท่านใจกว้างจริงๆ!” เย่ว์หยางชูนิ้วยกย่องฝ่ายตรงข้าม จากนั้นโบกมือและถอยหลังทันที  “เจ้าจะรออะไรอยู่อีก?  ภูตพรายฟ้าตอบรับอย่างสุภาพแล้ว พวกท่านยังจะเกรงใจอะไรอีก?”

“เราไม่กลัวว่าจะมีการลอบทำร้าย!”  ยกเว้นเจ้าเมืองโล่วฮัว ไม่มีใครกล้าพูดล้อเล่นกับเย่ว์หยางในสนามรบ

“การซุ่มโจมตีไม่มีแน่ แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ลงมือ กำลังหนุนของภูตพรายฟ้าจะมาถึง ถ้าข้าจำได้ถูกต้อง ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว มีคนหนึ่งเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วเพื่อเอาข่าวสารไปส่ง” พอเย่ว์หยางพูด มารสัมฤทธิ์ฟ้าและคนอื่นโมโหทันที “เจ้าเด็กบ้านี่ รู้ว่าจะมีกำลังเสริมมาเพิ่มยังกล้าพูดแต่เรื่องไร้สาระหรือนี่?”

ลี่เยี่ยนเกือบเผลอตัวทุบเจ้าเด็กน่าโมโหนี่แล้ว แต่เย่ว์หยางก็รู้ตัวเช่นกัน เขาอธิบายเหตุผลพร้อมกับยิ้ม “ข้าน่ะหรือไม่กลัวโดนลอบโจมตี? ตอนนี้ข้าประจักษ์แล้วว่าภูตพรายฟ้าเป็นคนเปิดเผย ดังนั้นจึงไม่มีการลอบซุ่มโจมตี  ดังนั้นทุกคนเริ่มต้นได้”

ลี่เยี่ยนยังไม่พอใจอยู่ดี นางปรี่เข้าหาเย่ว์หยางแล้วตั้งท่าโจมตี “ก็ในเมื่อเจ้าพบคนส่งจดหมาย แล้วทำไมเจ้าไม่ฆ่าเจ้าลูกเต่านั่น?”

เย่ว์หยางยังคงมีเหตุผล  “ข้าเห็นว่าถ้าทุกคนไม่มีแรงกดเสียบ้าง ก็คงสู้ไม่ออก.. ข้าทำเพื่อประโยชน์ของพวกเจ้าชัดๆ”  นี่คือเหตุผลของเย่ว์หยาง

ทุกคนดูแคลนทันที

แม้แต่เจ้าเมืองเฉียนหูก็ยังรู้สึกอ่อนใจ!-!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด