ตอนที่แล้วบทที่ 9: น้องสาวและพี่ชาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11: พี่น้องมู่หรง

บทที่ 10: อาวุธและโรงงานร้างที่จู่ ๆ ก็โผล่มา


พอพูดจบไอ้ซูเฟิงมันก็กระโดดขึ้นรถและสตาร์ทรถจะขับหนีไปทันที

เห็นแบบนั้นถังเจิ้นจึงรีบไปคว้าตัวมันเอาไว้ก่อน  ใครจะไปปล่อยมันทั้ง ๆ ที่เรื่องยังไม่เคลียร์กันเล่า “เฮ่ยมึงจะไปไหนวะ  กูเองก็เป็นผู้ใหญ่พอ  ยอมรับความจริงได้เว่ย  เอาจริง ๆ คือกูจะไปหาของเก่าในหุบเขาเร็ว ๆ นี้  แต่กูไม่รู้ที่รู้ทางอย่างน้อย ๆ ก็จะเอาไว้ป้องกันตัวไม่ก็ขู่คนอื่นเว่ย”

“อมพระมาพูดกูก็ไม่เชื่อมึงหรอก!”

“ไอ้ชิบหาย!  มึงพี่น้องกูจริงมั้ยหนิ?  ช่วยกูซักครั้งเถอะหน่า  อย่าบอกว่ามึงทำไม่ได้เชียว  แบบนั้นต่อให้อมพระมาพูดกูก็ไม่เชื่อมึงเหมือนกันแหละ!”

ซูเฟิงหยุดดิ้นแล้วนวด ๆ ร่างกายตัวเองก่อนจะมองหน้าถังเจิ้นขึ้น ๆ ลง ๆ และเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะอารมณ์เสียก็เลยยอม “อะ ๆ ยังไงมึงก็พี่น้องกู  กูเตือนแล้วมึงไม่ฟังงั้นก็ช่วยไม่ได้  ในเมื่อมึงขอมางี้งั้นรอแป๊บ  กูมีปืนพกกระบอกนึงกะกระสุนหมื่นนัด  แค่นี้แหละเอาไม่เอา?”

“ดี ๆ ๆ ให้จ่ายเงินเด๋วนี้เลยก็ได้”

ถังเจิ้นมีความสุขมากเมื่อได้ยินแบบนั้นและรีบพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนไก่จิกข้าวสารพร้อมกับเสนอว่าจะจ่ายเงินเลย

อันที่จริงถังเจิ้นอยากได้ปืนลูกซอง  ทว่ามันเด่นเกินไปหน่อยจึงยังไม่ได้ขอตอนนี้

“ว่าแต่ของจะได้เมื่อไหร่อะ  คือฉันต้องการอย่างด่วนว่ะเพื่อน  ยิ่งเร็วยิ่งดี” เขาถาม

“เด๋วโทสับแป๊บ”

ซูเฟิงมองถังเจิ้นด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกแล้วพึมพำอะไรเบา ๆ นิดหน่อยก่อนจะวางสาย

จากนั้นอีกไม่ถึงสิบนาทีได้มีรถฮอนด้าสีดำมาจอดเทียบและมีชายบึกบึนสูงร้อยเก้าสิบลงมาจากรถแล้วโค้งให้ซูเฟิงพร้อมกับทักทาย “พี่เฟิง”

ซูเฟิงมันเอียงคอมายักคิ้วยึก ๆ ให้ถังเจิ้น  ไอ้คนตัวสูงมันก็หันมามองเขาด้วยเหมือนกัน  จากนั้นมันก็กวักมือเรียกถังเจิ้นไปนั่งที่เบาะหลังรถส่วนตัวมันไปหยิบถุงพลาสติกสีดำจากที่นั่งข้างคนขับ

ถังเจิ้นเข้าไปในรถและเปิดถุงพลาสติกออกดู  ข้างในเป็นปืนพกสีดำเมี่ยมใหม่เอี่ยมอ่องดูวิบวับ  นอกจากปืนแล้วยีงมีแมกกาซีนกับกระสุนอีกเพียบ

เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของถังเจิ้นที่เล่นปืนพกซูเฟิงก็ยิ้มเยาะ  แต่แววตาของมันก็ยังคงดูสงสัยทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

“เจ๋งเป้ง  เอานี่แหล่ะ!”

ถังเจิ้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ  แม้ว่าจะไม่รู้วิธีทดสอบปืนก็ตาม  แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีกับซูเฟิงแล้วเขาไม่มีความสงสัยในเพื่อนของตน

เขาหยิบแบงก์เงินสดสีแดงเป็นฟ่อน ๆ ยื่นให้ซูเฟิงส่ง ๆ แต่อีกฝ่ายไม่รับ  เป็นชายร่างใหญ่ที่รับมาแล้วลองทดสอบดู  เมื่อรู้ว่าเป็นเงินจริงมันก็เอาใส่กระเป๋าตัวเองทันที

เมื่อก้าวลงจากรถถังเจิ้นก็รู้สึกถึงความปลอดภัยที่มากกว่าเดิมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ทันทีที่สัมผัสกับน้ำหนักในกระเป๋าเป้

ซูเฟิงสูบบุหรี่อยู่พักหนึ่งก่อนจะโยนก้นบุหรี่ทิ้งจากนั้นก็ชี้ที่หน้าอกของถังเจิ้น “ฉันน่ะนะเพื่อนตายอยู่แล้ว  เพราะงั้นถ้านายมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้เลย  ฉันพอจะมีเส้นสายในเมืองนี้กับในอำเภอรอบ ๆ อยู่นิดหน่อย  แต่ถ้านายไปหาที่ตายล่ะก็ฉันไม่ไปตามเก็บศพให้หรอกนะเว่ยเพื่อน!

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”

ถังเจิ้นหัวเราะ “ไอ้กระหม่อมไม่กล้ารบกวนเวลาหื่น ๆ ขององค์ชายซูหรอกพะยะค่า~  ฉันรู้หน่าว่านายไม่มีเวลาว่างเพราะต้องรีบไปเข้าซอย  แต่ก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเทอะ!  ถ้าไปโดยสูบจนแห้งตายล่ะก็ฉันเองก็ไม่ไปเก็บศพให้นายหรอกนะเว่ยเพื่อน!”

ซูเฟิงได้ยินก็ทำหน้าเหยเก “ปากมึงนี่นะตดเหม็นชิบหาย”

หลังจากพูดจบซูเฟิงก็ขึ้นรถไปอีกรอบแล้วโบกมือบ๊ายบายให้แล้วออกรถไปทันที

เมื่อซูเฟิงไปแล้วถังเจิ้ยก็เรียกแท็กซี่กลับบ้าน

หลังจากลงจากรถและเลี้ยวเข้าซอยหน้าบ้านไปก็เห็นว่ามีรถ BMW สีดำขับแซงเขาแล้วไปจอดอยู่ริมถนนหน้าบ้านห่างออกไปจากตัวเขาตอนนี้ประมาณสามสิบเมตร

ประตูรถถูกเปิดออกอย่างเบามือ  หญิงสาวร่างสูงและสวยในชุดกระโปรงสั้นผ้าไหมสีดำได้ก้าวลงมาจากที่นั่งข้างคนขับพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างบอบบางเล็กน้อยในชุดเสื้อผ้าแบรนด์เนม

ขอบตาของถังเจิ้นกระตุกเล็กน้อย  และเขายืนอยู่เฉย ๆ รอให้คนทั้งคู่เดินผ่านไปก่อน

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นถังเจิ้นก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน  ตอนนี้สีหน้าของเธอมีแต่ความสับสน

ถังเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง  จากนั้นจู่ ๆ ก็โบกมือทักทายด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจังนะ  นี่แฟนเหรอ”

ถังเจิ้นพยักหน้าให้ชายคนนั้นด้วยสายตาและรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติ

“อืม” ฟางอวี่เจี๋ยเองก็ปั้นยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติตอบ

ไม่เค็มไม่จืดเหมือนเพื่อน ๆ ที่พบหน้ากัน

ถังเจิ้นชำเลืองมองฝ่ายชายและพยักหน้าให้เบา ๆ

ชายหนุ่มเองก็ยิ้มอย่างมีมารยาทเช่นกันจากนั้นก็หันไปมองแฟนสาวตัวเอง

หลังจากทักทายกันแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป  ทว่าในความธรรมดานี้กลับแฝงความไม่ธรรมดาเอาไว้

เพราะไม่รู้ด้วยเหตุอันใด  หญิงสาวกลับมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายเกิดขึ้นในใจ  ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญในชีวิตมาก ๆ ไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของแฟนสาวเหมือนจะผิดปกติไปชายหนุ่มคนนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง “เจี๋ย ๆ เป็นไรรึเปล่า  ไปโรงบาลมั้ย?”

ฟางอวี่เจี๋ยยิ้มตอบพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร  จากนั้นหางตาก็แอบมองถังเจิ้นที่หายลับตาไปแล้วและลองเอาเขามาเปรียบเทียบกับชายหนุ่มข้าง ๆ นี้ดู

และสุดท้ายผลลัพธ์จากการเปรียบเทียบก็ยังคงเหมือนเดิม  ในความคิดของเธอแม้ว่าถังเจิ้นจะจริงใจและซื่อตรง  สูงโปร่ง  แถมหน้าตายังดีกว่าหนุ่ม ๆ โดยทั่วไปมาก  รวมไปถึงอารมณ์ก็มีความเป็นผู้ใหญ่พึ่งพาได้ก็ตาม  ทว่าครอบครัวของเขามันก็...

‘ช่างมัน ๆ จะคิดให้ปวดหัวไปทำไม  เรากับเขาถูกกับหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเส้นขนานที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้!’

เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอก็หันไปยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มคนใกล้ชิดควงแขนเขาไปที่บ้านตัวเอง  และเมื่อก้าวเข้าบ้าน  จังหวะที่หันกลับมาปิดประตูเธอก็แอบกวาดตามองไปยังทิศที่ถังเจิ้นเดินหายไปโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่  จากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น

ทางด้านถังเจิ้นนั้นพอเจอฟางอวี่เจี๋ยเข้าก็อารมณ์บูด  ยิ่งอีกฝ่ายมากับผู้ชายคนอื่นด้วยแล้วยิ่งบูดหนักเข้าไปใหญ่

ถังเจิ้นที่บอกว่าตัวเองยอมแพ้เรื่องเธอไปแล้วตอนนี้กำลังคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว  และถ้าฟางอวี่เจี๋ยรู้ว่าเขาจะรวยล่ะก็เธอจะเปลี่ยนใจมั้ย?

แต่ถ้าเธอยอมตกลงเป็นแฟนกับเขาเพราะเหตุนี้จริง ๆ ล่ะก็เขาจะยังรักเธอเหมือนที่เป็นอยู่ตลอดห้าปีมานี้หรือไม่?

จิตใจของถังเจิ้นยุ่งเหยิงอยู่พักหนึ่งดังนั้นเขาจึงนั่งลงที่ขอบทางแล้วเอาบุหรี่มาจุดสูบ

เช้าวันต่อมา

หลังจากที่อาบน้ำกินข้าวอิ่มแล้วถังเจิ้นก็นั่งรถไปที่ตลาดขายของเก่าใกล้ ๆ บ้าน  หลังจากที่เดินซื้อของไปเรื่อยก็มาถึงแผงขายแผงหนึ่ง  เขาหยิบแหนบรถยนต์เก่า ๆ โบร้านโบราณอันหนึ่งขึ้นมา  จากนั้นก็ไปหยิบเอาท่อเหล็กกับแผ่นเหล็กอีกอย่างละชิ้นแล้วไปจ่ายเงิน  จากนั้นก็ช้อปต่อ

ถังเจิ้นกลับบ้านมาพร้อมกับของเก่ามากมายหลายชิ้น  หลังจากที่พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้วก็ต่อไฟเริ่มลงมือทำงาน  เขามีงานอดิเรกคือการสร้างอาวุธและเครื่องป้องกัน  ดังนั้นกระบวนการจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น

เมื่อถึงเที่ยงคืนในที่สุดถังเจิ้นก็ทำงานเสร็จ  เขามองผลงานที่ได้  จากนั้นก็บิดขี้เกียจและดื่มน้ำแก้วหนึ่งก่อนจะเอาของมาแต่งตัวปรับขนาดให้พอดี

ชุดเกราะนั้นดูเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง  ทำจากหนังและแผ่นเหล็กบาง ๆ การสวมใส่มันบนร่างกายไม่ยุ่งยากและดูไม่เกะกะด้วย

ดาบยาวเล่มหนึ่งที่ตีและหลอมจากแหนบรถยนต์  น้ำหนักพอเหมาะ  จุดศูนย์ถ่วงปานกลาง  เป็นอาวุธสังหารที่แท้ทรู  คันธนูปีกโค้งกลับพร้อมด้วยลูกธนูที่ลำทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์หัวแหลมไว้ยิงสัตว์ที่ซื้อมาจากร้านทั้งชุด  และหอกอันคมกริบอีกด้าม

หากเอาของทั้งหมดนี่มาประดับไว้บนร่างกายล่ะก็คงเกะกะจนเดินไม่ได้อย่างแน่นอน  ทว่าถังเจิ้นไม่จำเป็นต้องถืออยู่แล้ว  เขามีช่องเก็บของที่สามารถเอาของทั้งหมดนี้ใส่ลงไปได้โดยไม่ต้องแบกให้มันหนัก

หลังจากเตรียมตัวอีก 2 วันถังเจิ้นก็ได้ปรับความคิดจิตใจของตนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้ว  และทำการเทเลพอร์ต

เมื่อภาพหมุน ๆ ม้วน ๆ หายไปสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาไม่ใช้กอหญ้าที่สูงท่วมหัวเหมือนก่อนที่เขาจะกลับบ้าน  แต่เป็นอาคารที่ทรุดโทรม!

หัวใจของถังเจิ้นถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ  เขารีบชักปืนพกออกจากเอวพร้อมปลดเซฟตี้ทันที

พอมีปืนแล้วความมั่นใจก็มาเต็ม  เขาเริ่มสังเกตสาภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระแวดระวัง

ดูจากลักษณะอาคารนี้แล้วน่าจะเป็นอาคารโรงงาน  ส่วนเขาในตอนนี้อยู่ตรงกลางของพื้นที่โรงงาน  โดยพื้นที่ของโรงงานมีขนาดใหญ่มากและดูเหมือนว่าจะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี  บางแห่งได้พังทลายลงไปแล้ว  ถังเจิ้นสรุปว่าอาคารป่านี่น่าจะพึ่งโผล่มาแหงม ๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงได้ไม่เห็นมอนสเตอร์เลย?

บริเวณลานกว้างของโรงงานมีหญ้าสูงประมาณเมตรกว่า  อีกทั้งยังมีพืชแปลก ๆ ที่มีหนามแข็ง ๆ เป็นจำนวนมากอยู่ด้วย  โชคยังดีที่ถังเจิ้นใส่กางเกงหนา ๆ มา  ไม่อย่างนั้นคงมีการเลือดตกยากออกกันตั้งแต่พริบตาที่มาถึง

เขากลั้นหายใจและก้าวเดินออกไปอย่างระมัดระวัง  ในขณะเดียวกันก็เปิดแอปแผนที่เพื่อเช็กดูสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วย  เผื่อว่าจู่ ๆ ไอ้พวกมอนสเตอร์มันโผล่มาจะได้รู้ทัน

เมื่อเขาพยายามจะสังเกตสถานการณ์ในอาคารโรงงานจากทางหน้าต่างอยู่นั้นเองเสียงกรีดร้องแหลม ๆ ก็ดังออกมาจากซากปรักหักพัง

ถังเจิ้นสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ด  และเขารู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงคน  ดูท่าจะเป็นเด็กผู้หญิงด้วย  ถังเจิ้นล็อคเป้าตามทิศทางของเสียงและวิ่งตรงไปอย่างระมัดระวัง

หลังจากวิ่งไปได้ประมาณ 300 เมตร  เลี้ยวหลบอาคารโรงงานไปสุดท้ายก็มาเจอเข้ากับจุดที่เป็นทุ่งที่มีวัชพืชขึ้นอยู่ประปราย  และยังเห็นเจ้าของเสียงที่กำลังกรี๊ดอยู่ด้วย

เป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดแต่งกายด้วยเสื้อผ้าซอมซ่อ  มือน้อย ๆ นั่นกวัดแกว่งมีดเล็ก ๆ ที่ทำจากเหล็กด้วยสีหน้าอันสิ้นหวังเพื่อปกป้องเด็กหญิงตัวน้อย ๆ อีกคนที่สวมกระสอบและมีสีหน้าหวาดกลัวในอ้อมแขน

ในเวลานี้ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความสำนึกผิด  และดวงตากลมโตของเธอตอนนี้มีน้ำตาไหลอาบหน้า  ปากก็กรีดร้องคำรามปานสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ  ชุดที่สวมอยู่เหมือนเอาถุงมาปะ ๆ ติดกัน  แขนขาที่ไม่มีอะไรปกปิดตอนนี้เปื้อนไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่ถูกหญ้าบาด

หญิงสาวนั้นถังเจิ้นเพียงแค่ชำเลืองมอง  แต่โฟกัสจริง ๆ ของเขาอยู่ที่สาเหตุที่ทำให้เธอกรีดร้อง  ซึ่งมันคือสิ่งมีชีวิตประหลาด 5 ตัวที่ตีกรอบล้อมเธอพลางส่งเสียงประหลาด ๆ

มอนสเตอร์ทั้ง 5 สูงเพียง 112 เซนฯ  หัวโต ๆ เหมือนหมากับหนูผสมกัน  ลำตัวงองุ้ม  ในมือไม่ถือไม้ก็สิ่วเหล็ก  ส่วนกลิ่นของพวกมันนี่คือปลาตายแท้ ๆ

และตอนนี้พวกมันทั้งห้าต่างอ้าปากกว้างซะจนใหญ่พอที่จะกลืนหัวคนทั้งหัวลงคอได้เลยทีเดียว  ซึ่งไอ้กลิ่นปลาตายดังกล่าวก็กลิ่นปากพวกเวรนี่นี่แหล่ะ  มันเหมือนจงใจปล่อยกลิ่งปากใส่อย่างต่อเนื่องเลย  แถมปากของพวกมันยังจะมีน้ำลายที่เหม็นยิ่งกว่าหยดแหมะ ๆ ปานเจออาหารอันโอชะอีกต่างหาก  มันจับจ้องมองเหยื่อทั้งสองอย่างไม่วางตา  แม้แต่ถังเจิ้นที่จู่ ๆ ก็โผล่มายังไม่อาจที่จะดึงความสนใจไปจากเธอทั้งสองนั่นได้เลย

นัยน์ตาของเขาบีบรัดตัว ‘พวกห่านี่มันมอนไรวะ?’

ขณะที่ตั้งคำถามจู่ ๆ แผงข้อมูลของพวกมันที่มีตัวหนังสือสีแดงกำกับไว้ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า!

[ตัวกินขยะ  เลเวล 1 โคตรโสโครก  สายตาแย่  แรงกัดมหาศาล]

‘อ้อ  ตกลงว่ามันชื่อตัวกินขยะนี่เอง  เรื่องพลังอยู่ที่เลเวลหนึ่ง  ถ้าไม่ประมาทล่ะก็ฆ่าได้เกลี้ยงอยู่แหล่ะหน่า’

เมื่อประเมินเสร็จแล้วถังเจิ้นก็วิ่งเข้าไปบวกกับพวกมันทันที!

5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด