ตอนที่แล้วบทที่ 53 - เฆี่ยนด้วยไม้ร้อยครั้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 55 - ต่อสู้กับหยางโม่

บทที่ 54 - ดวล


2/4

บทที่ 54 - ดวล

“นังหนู เจ้าชื่อเฉินเฉินถูกไหม?” หยางหลางเทียนเดินมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

แม้อยู่ในฐานะประมุขตระกูล แต่เขายอมย่อตัวลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้คุยกับเฉินเฉินได้สะดวก เอ่ยอย่างชอบธรรมว่า “ต่อไป ถ้าใครกล้ารังแกเจ้า ขอแค่บอกข้า ข้าประมุขจะไม่ยอมไว้ชีวิตมัน!”

สิ้นเสียง เขาลุกยืนทันใด สายตาดั่งคบเพลิงกวาดไปยังทุกคนที่อยู่ตรงนี้ สื่อความหมายชัดเจน นอกจากนี้ยังเป็นการเตือนสมาชิกตระกูลหยางทุกคน

ได้ยินคำนี้ ทุกคนต่างก้มศีรษะลงด้วยความกลัว

ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังมองหยางซือเล่ยด้วยสายตาอิจฉา

ด้วยประการฉะนี้ เหตุการณ์เล็กๆที่เกิดขึ้นในลานฝึกถือเป็นอันสิ้นสุดลง

สถานที่ที่หยางซือเล่ยและคนอื่นๆต้องเข้าพัก จากเดิมเป็นห้องพักในส่วนทิศเหนือ ได้ถูกเปลี่ยนไปยังพื้นที่ส่วนกลางของคฤหาสน์ พวกเขาไม่ใช่แค่ได้ห้องหรูที่มีพื้นที่แยกเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีคนอารักขาคอยติดตามมาด้วยสองนาย

แต่ตามคำขอของหยางซือเล่ย คนอารักขาทั้งสองได้ถูกแทนที่ด้วยหลิวฉีและฉินหูที่คอยเฝ้าประตูในตอนแรก

ช่วงเย็น อาหารหรูหราฟุ่มเฟื่อยหลายสิบจานถูกนำมาส่งถึงห้อง

นี่แสดงให้เห็นว่าประมุขตระกูลให้ความสำคัญกับหยางเฉินเฉินมากแค่ไหน เอาจริงเขาแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะถลุงทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลให้กับเธอ เพื่อให้เธอพัฒนาเร็วขึ้นแม้ซักวันก็ยังดี

อย่างไรก็ตาม หยางเฉินเฉินอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น ตอนนี้เลยทำได้แค่ดูแลให้ดีเหมือนไข่มุกในอุ้งมือ

หยางซือเล่ยแอบยิ้มอยู่ในใจ ดูท่าอนาคตของเขาในตระกูลหยาง คงได้อาศัยบารมีของบุตรสาวเสียแล้ว

แน่นอน หยางซือเล่ยตระหนักดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานของระบบ

หากไม่ใช่เพราะเนื้อกระป๋องที่ช่วยกระตุ้นจิตวรยุทธให้กับหยางเฉินเฉินในตอนแรก คงไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนมันถึงจะตื่น

ดังนั้นการขายอาวุธ แล้วรับรางวัลแต้มเสริมพลัง ต้องเร่งมือทำห้ามชักช้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานแข่งล่าสัตว์ในเมืองหลงเฟยในอีกสองวันต่อมา ต้องรีบบรรลุภารกิจระบบให้เสร็จสิ้น

...

ในยามค่ำคืนของเมืองหลงเฟย เสียงกุบ กุบ ของกีบม้าดังขึ้น

ไม่นาน กลุ่มคนหนุ่มสาวบนหลังม้าก็มาหยุดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์

รุ่นเยาว์กลุ่มนี้ พวกเขาเป็นลูกหลานของตระกูลสายในหรือก็คือสายตระกูลหลักของตระกูลหยางในเมืองหลงเฟย

เมื่อสองเดือนที่แล้วพวกเขาไปยังเทือกเขาหมี่ชวนเพื่อฝึกฝนด้วยกัน ตอนนี้เมื่อกลับมา พลังรบของทุกคนดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มเสื้อดำเป็นหัวหน้า มีหน้าตาหล่อเหลา ดวงตารุนแรงเฉียบคมราวกับมีด ทั่วตัวแผ่ไปด้วยพลังวิญญาณที่เย็นชาและเย่อหยิ่ง

เหล่ารุ่นเยาว์ที่อยู่ถัดมาข้างหลัง ยามมองไปยังชายหนุ่มชุดดำ แววตาพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดี

เพราะคนๆนี้ คือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลหยาง --หยางโม่!

“ในที่สุดก็มาถึง โชคดีที่ทันเวลา”

หยางโม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองไปยังประตูคฤหาสน์หยาง มุมปากยกยิ้มขี้เล่น “หวังว่าคนที่มาจากตระกูลสาขาในปีนี้ จะทำให้ข้าสนุกได้บ้าง”

ได้ยินแบบนั้น  บุตรชายของหนึ่งในตระกูลสายในข้างๆเขาเริ่มประจบสอพลอ

“พี่โม่ เลิกล้อเล่นเถอะ พวกขยะจากตระกูลสาขา จะดีสักแค่ไหนกันเชียว”

“ใช่ ใช่ แค่พวกเราลูกหลานตระกูลสายในคนเดียว ก็สามารถบดขยี้พวกมันได้แล้ว”

“ในความเห็นของข้า ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องงานประลองคัดเลือกตัวแทนในวันพรุ่งนี้ กระทั่งที่หนึ่งในงานล่า พี่โม่ก็สามารถคว้ามาครองได้ง่ายๆ”

ได้ยินคำชมเชยจากรอบข้าง มุมปากของหยางโม่ยกโค้งด้วยความภาคภูมิใจ อิ่มเอิบไปกับความเพลิดเพลินที่ถูกเยินยอ ให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าผู้ใด

“นายน้อยโม่ ยินดีต้อนรับกลับจากการฝึกขอรับ”

ทหารยามที่ประตูรีบวิ่งเข้ามาด้วยความเคารพ โค้งคำนับเล็กน้อย

หยางโม่พยักหน้าอย่างไม่แยแส สายตากวาดไปที่ประตูที่เงียบงันว่างเปล่า อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ผู้จัดการหลี่อยู่ที่ไหน?”

ตลอดมา ทุกครั้งที่เขากลับจากการเดินทาง ลุงหลี่ค่ายจะมารอเขาอยู่ที่นี่ จัดงานเลี้ยงต้อนรับ

แต่ตอนนี้ ไม่เห็นกระทั่งเงาของเขา

เห็นได้ชัดว่าทหารยามรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหยางโม่และหลี่ค่าย เขาเริ่มพูดติดอ่าง “เอ่อ .. ผู้จัดการหลี่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งวันนี้ เขาไม่อยู่ในคฤหาสน์อีกต่อไปแล้ว”

ได้ฟังแบบนั้น หยางโม่ขมวดคิ้วพูดด้วยความโกรธ “ใครกันที่กล้าทำเช่นนั้น? บังอาจมาไล่ลุงข้า! แล้วท่านปู่ข้าเล่า? เขาคือผู้อาวุโสใหญ่ ไม่มีทางที่เขาจะยอมนิ่งเฉย”

ทหารยามตัวสั่น ใช้เวลาทำใจอยู่นานแล้วพูดว่า “คือ ... เป็นท่านประมุขที่ไล่ผู้จัดการหลี่ไป ตอนนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็อยู่ด้วย แต่ท่านไม่คัดค้านใดๆ”

“ท่านประมุขเป็นคนไล่ด้วยตัวเอง?”

หยางโม่อึ้งไปเล็กน้อย ร่องรอยของความสงสัยฉายวาบในดวงตาของเขา

เขารู้ดี ท่านประมุขตระกูลไม่เคยสนใจเรื่องเล็กน้อยของผู้ใต้บังคับบัญชาในคฤหาสน์ แต่จู่ๆกลับไล่ลุงหลี่ค่ายของเขา หรือว่าท่านลุงจะทำสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยลงไป?

หยางโม่ขมวดคิ้ว เอ่ยปากถาม “บอกข้าที เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“เรื่องมันเป็นแบบนี้......” ทหารยามไม่กล้าปิดบังอะไร บอกเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างหลี่ค่ายกับหยางซือเล่ยในวันนี้ และรวมไปถึงเรื่องที่หยางเฉินเฉินมีจิตวรยุทธขั้นเก้าในครอบครอง

ซู้ดดด——!

หลังจากได้ยินแบบนี้ รุ่นเยาว์รอบๆสูดหายใจลึก

จิตวรยุทธขั้นเก้าหมายความว่ายังไง พวกเขากระจ่างแก่ใจเป็นอย่างดี

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านประมุขจะตื่นตระหนกกับเรื่องนี้ มิน่าเล่าเขาถึงสั่งลงโทษหลี่ค่ายด้วยตัวเอง ทั้งยังขับไล่ออกจากตระกูลหยาง

ความตกใจฉายชัดบนใบหน้าของหยางโม่ แต่ผ่านไปพริบตาเดียว มันก็ถูกความเย็นชาเข้ามาแทนที่

เขาเกิดความรู้สึกได้รางๆ ว่าตำแหน่งของเขาในตระกูลกำลังสั่นคลอนเพราะการปรากฏตัวของหยางเฉินเฉิน

หยางโม่ถามอย่างเย็นชา “หยางซือเล่ยที่เจ้าพูดถึง ใช่ขยะที่ถูกขับไล่ไปเมืองชิงหยางเมื่อสองปีก่อนหรือไม่?”

“เป็นเขา เป็นเขา!”

ได้รับคำยืนยันจากทหารยาม หยางโม่กระโดดลงจากหลังม้า จากนั้นบุกเข้าไปในประตูคฤหาสน์หยาง มุ่งหน้าไปยังลานส่วนตัวที่หยางซือเล่ยอาศัยอยู่ด้วยความโกรธ

เบื้องหลังเขา ลูกหลานตระกูลสายในทั้งหมดก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน เดินตามไปตั้งใจรับชมความสนุก

เวลานี้ หยางซือเล่ยเพิ่งพาบุตรสาวเข้านอนกำลังจะเดินออกจากห้องนอน แต่จู่ๆข้างนอกก็มีเสียงเตะประตูดังขึ้น

ต่อมา เสียงที่เย็นชาและโกรธเกรี้ยวดังขึ้นตาม “หยางซือเล่ย!ไสหัวออกมา!!”

หยางซือเล่ยขมวดคิ้ว หันศีรษะไปมองที่เตียง เห็นบุตรสาวยังหลับอยู่ ก็ถอนหายใจโล่งอก ปล่อยพลังวิญญาณเป็นม่านบางๆคลุมเตียงเอาไว้ ปิดกั้นไม่ให้เสียงเข้าไปรบกวน

หลังจากทำเสร็จ หยางซือเล่ยก็ผลักประตูออกไป สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาเขาคือกลุ่มคนจำนวนมากที่บุกเข้ามาในลานบ้าน ดวงตาของหยางซือเล่ยแคบลง เพ่งมองมัน

จากในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม หน้าตาของรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ ไม่ถือเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาคือลูกหลานตระกูลสายในของตระกูลหยาง

และคนที่เป็นหัวหน้า คือหยางโม่รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลหยาง ซึ่งขณะนี้กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

เฉินซี หลิวฉีและฉินหูที่ได้ยินเสียงเอะอะก็รีบวิ่งออกไป เมื่อเห็นรุ่นเยาว์มากมาย พวกเขาก็เริ่มตื่นตัวเล็กน้อย

เพราะสถานการณ์ดังกล่าว  มันชัดเจนมากว่ามาหาเรื่อง!

หยางโม่เดินเข้ามา จ้องมองหยางซือเล่ยด้วยดวงตาดำมืด เอ่ยเสียงเย็น “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหลี่ค่ายเป็นลุงของข้า”

มุมปากของหยางซือเล่ยโค้งเล็กน้อย เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ก็ถ้ารู้แล้วจะทำไม?”