ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 170 ถ้ำผีดิบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 172 จิตใจมนุษย์

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 171 มิตรภาพ (อ่านฟรี)


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 171 มิตรภาพ (อ่านฟรี)

แปลโดย iPAT  

หลี่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น “ตกลง ข้าจะทำ!”

เขาสามารถสังหารนักพรตผีดิบร่วมกับเสี่ยวอัน อย่างไรก็ตามหากมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาสังหารจอมยุทธ์ขั้นห้าเฉียนเยี่ยนเหนิง มันก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ดังนั้นหากเขาฆ่าจอมยุทธ์ขั้นหกตอนนี้ ทุกคนจะรู้ว่าเขามีไพ่ตายซ่อนอยู่ เขาจะดึงดูดความสนใจของผู้คน แต่แน่นอนว่านี่เป็นความลับที่เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดสืบ

เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติของนักพรตผีดิบมากนัก หลังจากทั้งหมดค่าหัวของนักพรตผีดิบก็มีมากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม แต้มผลงานห้าแต้มสามารถแลกเม็ดยารวบรวมพลังปราณได้หนึ่งเม็ด กล่าวได้ว่าเขาจะได้รับเม็ดยารวบรวมพลังปราณมากกว่าสองพันเม็ดในภารกิจนี้ นี่คือผลประโยชน์ส่วนที่ล้ำค่าที่สุดในการร่วมมือกับศิษย์นิกายม่อจื้อ เขาจะได้รับแต้มผลงานโดยไม่ก่อให้เกิดข้อสงสัยใดๆ

จางหลานฉิงและคนอื่นๆรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขมากกับการตัดสินในของหลี่ฉิงซาน ห่าวปิงหยางก็ยิ้มเช่นกัน

หลี่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “แต่ข้ายังไม่พอใจส่วนแบ่ง”

จางหลานฉิงและคนอื่นๆมองหน้ากันขณะที่ห่าวปิงหยางขมวดคิ้ว เขายังไม่พอใจกับส่วนแบ่งเจ็ดสิบส่วน นั่นไม่โลภไปหน่อยงั้นหรือ? สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงคือหากหลี่ฉิงซานต้องการมากกว่านี้ เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธ

หลี่ฉิงซานยิ้ม “ข้าต้องการสามสิบส่วนเช่นเดียวกับท่าน พี่ห่าว ข้ามั่นใจว่าข้ามีประโยชน์พอๆกับท่าน ส่วนอีกสี่สิบส่วนที่เหลือ พวกเจ้าสามารถแบ่งกัน!”

ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดว่าหลี่ฉิงซานจะปฏิเสธผลประโยชน์เจ็ดสิบส่วนและรับเพียงสี่สิบส่วน

จางหลานฉิงรู้สึกละอายใจกับความประพฤติที่ไม่ดีของตนก่อนหน้านี้ “ฉิงซาน พวกเราไม่สามารถรับมัน”

“โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น หากเจ้าต้องการตอบแทนบุญคุณของข้าก่อนหน้านี้ เจ้าควรเก็บมันไว้ ชีวิตของเจ้ามีค่ามากกว่าผลประโยชน์เหล่านี้” หลี่ฉิงซานไม่เคยเป็นคนขี้เหนียวและเขาก็ชอบศิษย์นิกายม่อจื้อเหล่านี้ ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้พวกเขากลับไปมือเปล่า นี่เป็นวิธีจัดการเรื่องต่างๆของเขา

ดังคำกล่าวที่ว่า ความเอื้ออาทรมาพร้อมกับสายใยแห่งมิตรภาพ คนใจแคบที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆไม่สามารถบรรลุสิ่งสำคัญใดๆ คนใจกว้างและมั่นใจไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีเพื่อน

ห่าวปิงหยางหัวเราะอย่างมีความสุขขณะตบไหล่หลี่ฉิงซาน “ข้าชอบเจ้าจริงๆ!”

สิ่งนี้กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในตัวเหออี้ซื่อ เขากล่าวอย่างจริงจัง “ชีวิตของเรามีค่ากว่าผลประโยชน์ แม้แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากนักพรตผีดิบก็มีค่าน้อยกว่าชีวิตของเรา” เขาไม่ได้โอ้อวด พวกเขาสามารถบรรลุเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่หรือขั้นห้าตั้งแต่อายุยังน้อยและยังมีโอกาสก้าวไปถึงขั้นหก ในอนาคต พวกเขาจะเหนือกว่านักพรตผีดิบอย่างแน่นอน

แม้พวกเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่หุ่นเชิดและกลไกที่พวกเขาสร้างขึ้นจะเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ทุกคนต้องการ พวกมันมีค่ามากกว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณทั่วไป กองทัพผีดิบไม่สามารถเปรียบเทียบกับพวกมัน

พี่น้องจินหยวนและจินเป่าได้รับแรงบันดาลใจเช่นกัน จินหยวนกล่าว “หากเราร่วมมือกัน เรายังต้องกลัวนักพรตผีดิบอีกงั้นหรือ? เราจะแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม!”

จินเป่ากล่าว “ข้ารู้สึกละอายใจนัก ข้าต้องการเปลี่ยนตัวเอง ข้าจะปล่อยให้ผู้อื่นดูถูกพวกเราไม่ได้”

ตอนนี้ห้องเก็บศพที่มืดมนเต็มไปด้วยพลังชีวิตของเด็กหนุ่มเหล่านี้ เดิมทีการฆ่านักพรตผีดิบเป็นภารกิจที่อันตรายและน่ากลัว แต่ตอนนี้มันกลายเป็นภารกิจที่ทำให้พวกเขาสมัครสมานสามัคคี ดังนั้นความกลัวในใจของพวกเขาจึงหายไป

ห่าวปิงหยางยื่นมือออกไป “เช่นนั้นมาร่วมมือกันเถอะ!” หลายมือวางซ้อนกันบนมือเขาขณะที่ทุกคนมองกันและกันด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้สึกใกล้ชิดมากขึ้นอย่างมาก พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อหลี่ฉิงซานเหมือนคนนอกอีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาไม่เหมือนคนที่พึ่งพบกันแต่เป็นสหายเก่าแก่

เสี่ยวอันยื่นมือของนางออกไปขณะที่นางนั่งอยู่บนหลังคาห้องเก็บศพ หลี่ฉิงซานทิ้งนางไว้บนนั้นเพื่อเฝ้าระวัง เขายังบอกให้นางหลี่กเลี่ยงการใช้พลังของนางเว้นเพียงจะมีเหตุจำเป็น ดังนั้นนางจึงทำเพียงเฝ้าดูขณะที่นักพรตผีดิบหลบหนีไป ดวงตาของนางไม่ได้พิเศษแต่นางสามารถมองทะลุภาพลวงตาทั้งหมด ทักษะการปกปิดร่างจริงด้วยภาพลวงตาไร้ประโยชน์กับนางอย่างสิ้นเชิง เดิมทีนางต้องการลงไปเตือนหลี่ฉิงซาน แต่ในเสี่ยวพริบตานักพรตผีดิบก็หนีไปแล้ว ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้น

หากนางไล่ตามไป นางอาจได้ลิ้มรสเนื้อและเลือดสดๆ อย่างไรก็ตามตราบเท่าที่หลี่ฉิงซานบอกให้นางทำบางสิ่ง นางจะเชื่อฟังเขาอย่างเคร่งครัด

แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของนางขณะที่นางฟังบทสนทนาด้านล่าง

การบ่มเพาะเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ทำให้นางเข้าใจโลกมากขึ้น การนิ่งเฉยของนางเกิดจากความเข้าใจอย่างชัดเจนในทุกสิ่ง

การกลืนกินผู้คนด้วยเปลวเพลิงไม่ใช่เรื่องผิวเผินเช่นการดูดซับแก่นแท้พลังงานจากเลือดและเนื้อ แต่มันยังทำให้นางสัมผัสถึงความรู้สึกขุ่นเคือง ความโกรธ ความเจ็บปวด ความหวาดกลัว และอารมณ์อื่นของมนุษย์

การโจมตีของอารมณ์ด้านลบเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้คนทั่วไปพังทลายลงในพริบตา แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่มีจิตใจอันแน่วแน่ก็ยังหวั่นไหวกับสิ่งนี้ นี่เป็นการทดสอบทางจิตวิทยาที่ยากที่สุดบนเส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์

อย่างไรก็ตามนางไม่รู้สึกหนักใจใดๆ ราวกับนางเป็นเทพเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวและแบกรับความทุกข์ของสรรพชีวิตด้วยจิตใจที่แจ่มใสและไม่แยแส ไม่ใช่ว่าอารมณ์ด้านลบเหล่านั้นถูกทำลาย แต่มันไม่สามารถพัฒนาต่อไป

นางจะไม่หวั่นไหวเพียงเพราะมิตรภาพหรือความเร้าร้อน นางจะไม่กังวลกับคำสาปแช่งจากความแค้น ไม่มีความแตกต่างระหว่างมดแดงและมดดำ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างเท่าเทียมกัน ทุกคนสามารถถูกฆ่า เว้นเพียงเขา

ในห้องเก็บศพ พวกเขาเริ่มวางแผนขณะที่ท้องฟ้าทิศตะวันออกค่อยๆสว่างขึ้น

ทันใดนั้นเสี่ยวอันพลันผุดลุกขึ้นยืนและมองไปในระยะไกล เมื่อมองผ่านสถานที่รกร้าง นางก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาด้วยความเร็วสูง นางกระโจนลงจากหลังคาและมาอยู่ข้างกายหลี่ฉิงซาน

ด้วยการสบตากันเพียงครั้งเดียว หลี่ฉิงซานเข้าใจทันที ในที่สุดจ้าวจื่อป๋อก็มาที่นี่ เขากล่าวกับศิษย์นิกายม่อจื้อว่า “พวกเจ้าไปก่อน ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องสะสาง ข้าจะติดต่อพวกเจ้าภายหลัง”

ห่าวปิงหยางกล่าว “มีสิ่งใดสำคัญกว่าการล่านักพรตผีดิบงั้นหรือ?”

หลี่ฉิงซานเพียงเผยรอยยิ้มขณะที่ห่างปิงหยางก็ไม่ได้ถามต่อ เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของหลี่ฉิงซาน ห่าวปิงหยางจึงเปิดปากกล่าว “เอาล่ะ เราจะไปก่อนและรอเจ้าอยู่ที่ทางเข้าถ้ำผีดิบ”

ห้องเก็บศพกล่าวเป็นว่างเปล่า หลี่ฉิงซานจับดาบวายุของเขาขณะเฝ้ารอ หลังจากไม่นาน เขาก็ตะโกนออกมาว่า “ผู้บัญชาการจ้าว เมื่อท่านอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดไม่แสดงตัวออกมา?”