ตอนที่ 756 มีบุรุษให้พึ่งพิงก็ดีเหมือนกัน
มิติผนึกหลุมดำ
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีโมโหมาก เพราะเผ่าเก้าแสงรุกรานเข้าหอทงเทียน นางรู้สึกว่านั่นเป็นพฤติกรรมตบหน้านาง
พวกบ่าวทาสในอดีตกล้ายกตัวจากอาคันตุกะมาเป็นเจ้าของหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเปรียบเทียบจักรพรรดินีฟ้าในอดีตเป็นหญิงรับใช้ หลังจากจำเสี่ยวเหวินหลีได้ยังกล้าสั่งให้ฆ่าเธอ เรื่องนี้ทำให้นางพญาเฟ่ยเหวินหลีโกรธจนลืมตัว
ในอดีตนางไม่มีโอกาสพิสูจน์ได้ว่าถูกเผ่าเก้าแสงทรยศ นางเพียงแต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ หลังจากราชาเผ่าเก้าแสงคนหนึ่งลอบส่งข่าวไปที่ตำหนักกลางแดนสวรรค์ นางยังไม่ทันมีเวลาฆ่าจักรพรรดินีฟ้า นางก็ถูกสุดยอดฝีมือผนึกไว้ในมิติหลุมดำเสียก่อน ฟังเย่ว์หยางพูดถึงตอนนี้แล้วนางตระหนักได้ทันทีว่าเผ่าเก้าแสงอาจไม่เพียงแค่ส่งข่าวไปที่ตำหนักกลางแดนสวรรค์
นางไม่รู้ว่าจักรพรรดินีฟ้ากล่าวหานางว่าฆ่าตัวเอง มิฉะนั้นนางคงจะโกรธมากยิ่งกว่านี้
“เผ่าพันธุ์ที่ต่ำต้อย ไม่มีรกรากมีแต่ต้องพึ่งพาให้นักสู้แข็งแกร่งช่วยคุ้มครองไม่อย่างนั้นจะอยู่รอดได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ดึงนักสู้หอทงเทียนของเราไป เนื่องจากการกวาดล้างพวกแดนสวรรค์ก่อนนั้นอืม.. ไม่สิ พวกบ่าวทาสรังแกผู้เป็นนายมากมายอย่างคาดไม่ถึง พยายามหาสมบัติลับในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ น่าชังยิ่งนัก!” นางพญายังไม่สามารถออกไปจากมิติหลุมดำได้ ถ้านางออกไปจากที่นี่ได้ เกรงว่าแดนสวรรค์จะต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย นางเอามือทาบอกข่มความโกรธ พูดปลอบใจเย่ว์หยาง “ดูจากความเร็วในการก้าวหน้าของเจ้าเกินกว่าที่ข้าคาดไปมาก อีกไม่นานเจ้าคงช่วยให้ข้ามีพลังและออกไปจากมิติผนึกหลุมดำได้ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะร่วมมือกันกวาดล้างแดนสวรรค์อีกครั้ง ดูซิว่าแดนสวรรค์จะต้านทานเราได้อย่างไร? ตำหนักกลางแดนสวรรค์น่ะหรือ? ในสุสานจะต้องเต็มไปด้วยกระดูกเพิ่มแน่ ปล่อยให้พวกเขาย่ามใจไปก่อน” “จักรพรรดินีฟ้าถูกจัดการไปแล้ว ราชาเก้าแสงก็ถูกจัดการไปแล้ว ตราบเท่าที่ข้าดูแลรอยแยกมิติที่ทวีปกวงหมิงดีๆหอทงเทียนและแดนล่มสลายแห่งทวยเทพยังจะปลอดภัยชั่วคราว ข้าไม่ค่อยกังวลนัก” เย่ว์หยางพูดเบาๆ “เราผ่านการฝึกซ้อมมาได้แต่น่าเสียดายข้าไม่รู้วิธีทำสัญญากับคัมภีร์เทพมิฉะนั้นพลังกฎเทพคงจะใช้ได้ดีมากกว่านี้”
“ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้ไหม?” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้ายังไม่ได้ลองดู แต่ก็คงจะได้ เพราะข้าเข้าใจพลังที่เป็นหลักการส่วนหนึ่งการผ่านโล่พลังป้องกันสีทองของคัมภีร์เข้าไปย่อมไม่มีปัญหา” เย่ว์หยางคิดว่าถ้าเขายังมีพลังไม่ดีพอ แต่เขายังมีปิงหยินคอยช่วย
“การเข้าไปในโล่พลังปกป้องคัมภีร์ชั้นนอกยังไม่เท่ากับได้สัมผัสตัวคัมภีร์เทพ เจ้ายังเชี่ยวชาญพลังกฎสวรรค์น้อยเกินไปต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งต่อไป สนามพลังสร้างโลกที่เจ้าถนัดเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จด้านนี้ให้ได้เสียก่อน ในสนามพลังเจ้าคือพระเจ้า เจ้าคือทุกอย่างเจ้าสามารถเห็นดินแดนในสนามพลังสร้างโลกได้” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีบอกความรู้สึกหลายอย่างเกี่ยวกับสนามพลังกับเย่ว์หยางช่วยให้เขาได้รับความรู้แจ้งมากขึ้น
แม้ว่าความรู้สึกของแต่ละคนจะแตกต่างกันพลังรู้แจ้งกฎสวรรค์ก็ยังต่างกัน
อย่างไรก็ตามความรู้สึกก้าวหน้ามักจะส่งผลต่อคนรุ่นหลังได้อย่างคาดไม่ถึง
เมื่อพิจารณาถึงขอบเขต เย่ว์หยางในระดับปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าใจได้ถึงระดับนั้น เฟ่ยเหวินหลีแค่กล่าว“สามารถพัฒนาได้ระดับพื้นฐาน” เขายังไม่สามารถเข้าใจระดับขอบเขตของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีได้กระจ่างนักถึงจะเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดนี้ก็ยังทำให้เขาเข้าใจขึ้นบ้าง
ถ้าให้เขาทำความเข้าใจเอง บางทีอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะเข้าใจ
มีนางพญาเฟ่ยเหวินหลีช่วยแนะนำ
เพียงไม่กี่นาทีเขาก็บรรผ่านสภาวะคอขวดของการฝึกฝนในเวลาไม่กี่ปี และก้าวกระโดดเข้าสู่ขอบเขตใหม่ที่เขายังไม่รู้แจ้ง...
“คัมภีร์เทพ ข้าคิดว่าของอย่างนี้ไม่น่าจะไปบังคับอะไรได้เจ้าเป็นคนค่อนข้างพิเศษ อาจจะได้รับการยอมรับได้ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าเราต้องสงบจิตใจฝึกฝนให้มากขึ้น”
“ตราบใดที่ท่านมีปณิธานเทพราชันย์และพลังของนักสู้ปราณราชันย์ เจ้าไม่จำเป็นต้องได้คัมภีร์เทพก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ไม่ต้องการเครื่องมือใดๆ สามารถเป็นเหมือนเทพเจ้าที่ทำอะไรก็ได้ตามชอบ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่คัมภีร์เทพ ไม่ใช่อาวุธสมบัติเทพและไม่ใช่อสูรเทพแต่เป็นบุคคลเสมือนเทพ อย่างเช่นร่างกายของเจ้า...” นางพญาเฟ่ยเหวินหลี่ยื่นมาจับไหล่เย่ว์หยาง นางยิ้มให้เขา “ความจริงเจ้าก็เข้าใจอะไรได้มากมายหลายอย่าง อย่างไรก็ตามข้าต้องเตือนเพิ่มสักอย่างว่า ข้าเกรงว่าเจ้าจะคิดมากเกินไป และเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เดินอ้อมหลีกเลี่ยงนั่นไม่ใช่เรื่องดีของคนฉลาดที่เอาแต่วิ่งชนหาเรื่องโดยตรง”
“หลังจากออกไปแล้ว ท่านมีอะไรต้องทำไหม? แดนสวรรค์ยังมีคนเก่าแก่เหลืออยู่หรือเปล่า?” เย่ว์หยางกำลังจะออกไปเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
ในอดีตพอนางพญาเฟ่ยเหวินหลีถูกผนึก กองทัพพิชิตศึกของนางไม่น่าจะแตกกระจายไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากหมื่นปีผ่านไปแม้ว่าจะเหลือคนไม่มากแต่ก็ไม่พอเป็นกองทัพได้
บางทีอาจมีสหายเก่าเหลืออยู่
เผ่าปีศาจอสรพิษจากแดนปีศาจหอทงเทียนและนักสู้เผ่าปีศาจหลายคนย้ายเข้าไปอยู่ในแดนสวรรค์แล้ว
ในช่วงแรกก็มีกลับมาหอทงเทียนเป็นครั้งคราว ตั้งแต่จักรพรรดิอวี้และสามจอมภพแดนสวรรค์ทำสงครามกัน หอทงเทียนและแดนสวรรค์ก็ค่อยๆขาดการติดต่อและบันทึกประวัติเหล่านี้สูญหายไป บางทีอาจมีเผ่าปีศาจอสรพิษตามเผ่าปีศาจแดนนรกมายังแดนสวรรค์ก็ได้
เย่ว์หยางไม่ต้องการตามหาพันธมิตรที่ไม่จริงใจเหล่านี้แต่เขาคิดว่าในการท่องเที่ยวในแดนสวรรค์หากจะต้องพบเจอคู่ต่อสู้ที่เคยเป็นบริวารของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีทั้งสองฝ่ายต้องมาสู้เพราะไม่รู้จักกันและในที่สุดจะกลายเป็นเรื่องเสียหายไปโดยเปล่าประโยชน์ นี่เป็นเรื่องที่น่าอาย เย่ว์หยางหวังจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ แน่นอนเขาจงใจถามเฟ่ยเหวินหลีถึงสหายเก่าของนาง
เฟ่ยเหวินหลีขมวดคิ้วสีทองของนางและไตร่ตรอง
“บริวารเก่าของข้ามีมากมายนักข้าเล่าให้ฟังทั้งหมดรวดเดียวไม่ได้ มีการรวมกลุ่มที่มีชื่อเสียงกันอย่างคึกคัก เรื่องความจงรักภักดียากจะบ่งบอกได้โดยไม่ใช้เวลาพิสูจน์ ก็เหมือนกับเผ่าเก้าแสงนั่นแหละ ในอนาคตข้าจะต้องอยู่กับเจ้า ต่อให้ข้าชี้ผิด ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญใครให้เขาเป็นศัตรูกับเจ้าเล่า” มุมมองที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีมีต่อเย่ว์หยางต่างจากที่มองบริวารของนางเย่ว์หยางหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นบิดาของเสี่ยวเหวินหลีทั้งยังทำสัญญาวิญญาณโลหิตกับนาง
“ข้าจะไปถามดูในแดนสวรรค์” เย่ว์หยางรู้นิสัยของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี แต่เขารู้สึกว่าการสู้รบที่ไม่จำเป็นบางอย่าง ถ้าหลีกเลี่ยงได้เป็นดีที่สุด
“เมื่อเจ้าพูดอย่างนี้ จู่ๆ ข้าก็นึกถึงบางคนขึ้นมาได้ทันที” นางพญาเฟ่ยเหวินหลียิ้ม
เหมือนกับว่านางนึกถึงเรื่องสนุกได้ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นนางผ่อนคลายและยื่นมือแตะไหล่เย่ว์หยาง “เจ้าสามารถหาคนผู้หนึ่งขอให้เขาช่วยเจ้าได้ คนผู้นั้นมักจะขลาดกลัวต่อการสู้ในสนามรบชอบข่มเหงคนอ่อนแอ แต่กลัวคนแข็งแกร่ง ชอบมองหาคนอ่อนแอที่สุดมาต่อสู้ด้วย โดยเฉพาะพวกฝีมือกะเรวราก เทียบได้กับเจ้าอ้วนไห่ที่เจ้าเคยพูดถึงว่าเขาภักดีต่อเจ้า แต่เจ้าผู้นี้ก็ภักดีต่อข้าเมื่อข้าข้ามทะเลไร้ขอบเขตในหอทงเทียนชั้นสิบ ข้าพบว่าเขาเป็นโจรสลัด หลังจากข้าทุบตีเขา เขาตัดสินใจยอมแพ้เลิกอาชีพโจรสลัดเข้าร่วมกลุ่มกับข้าเดินทางไปแดนสวรรค์ ข้านำเขาไปด้วย และถล่มแดนสวรรค์ เขาคือสหายคนหนึ่งที่อยู่กับข้าในหอทงเทียนมานาน ถ้าไม่ตายในการต่อสู้เขาคงยืนหยัดอยู่ด้วยตนเองได้ มีเพียงเขานั่นแหละที่ยินยอมติดตามข้า”
เย่ว์หยางถามชื่อของคนผู้นี้ และนางพญาเฟ่ยเหวินหลีตอบว่า เสี่ยวซี
เสี่ยวซี?
ชื่อเหมือนกับขาดหายหรือเปล่า?
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ชื่อเดิมของเขาดูเหมือนจะชื่อคุ้ก เพราะโจรสลัดแคริเบียนมีทักษะการใช้ดาบโค้งได้ดีมักจะวาดฟันเป็นแนวโค้ง แต่ยากจะจินตนาการทุกคนเรียกชื่อเขาว่าเสี่ยวซี จนลืมว่าเดิมเขาชื่อคุ้กไปแล้ว ”คุ้ก แคริบเบียนผู้นี้มีลักษณะหน้าตายังไง?” เย่ว์หยางไม่กล้าเรียกคนอายุหมื่นปีนี้ว่าเสี่ยวซีแน่
“เขาชอบสวมชุดโจรสลัด ที่มือซ้ายมีตะขอเหล็กบนศีรษะสวมหมวกกัปตันเรือเป็นสีเขียวดอกไม้ ตาของเขาแข็งไว้หนวดโค้งดูเหมือนเลขแปดน่าเกลียด” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีอธิบายลักษณะให้เย่ว์หยางฟังจนเขาอดเหงื่อตกมิได้
แม้ว่าในแดนสวรรค์ในทุกวันนี้จะมีนักสู้มากมายแต่เย่ว์หยางไม่รู้จักนักสู้เช่นนั้น
เขาหวังว่าคุ้ก แคริบเบียนผู้นี้คงไม่ถูกฆ่าตายไปแล้ว
หมื่นปีผ่านไปค่อยไปแดนสวรรค์เพื่อตามหาสหายเก่า เฟ่ยเหวินหลีและเย่ว์หยางไม่ใส่ใจเท่าใดนักคิดเสียว่าเป็นแค่การเสี่ยงโชค
ที่สำคัญคือเวลาผ่านมานานมากเกินไปความผันแปรมีมากเกินกว่าจะมีโอกาสตามหาเสี่ยวซีสหายเก่าเจอ แดนสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาลมากจะไปตามหาอดีตผู้ติดตามเฟ่ยเหวินหลีจากที่ไหน
ก่อนจะออกจากมิติหลุมดำเพื่อส่งเสริมเสี่ยวเหวินหลีให้มีพลังก้าวหน้าเฟ่ยเหวินหลีสอนเธอมากเป็นพิเศษ
วิธีสอนของนางนั้นง่ายมาก
แต่ได้ผล
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีทำคล้ายกับพี่สาวของแม่สี่ถ่ายทอดความรู้วิทยายุทธผ่านสมองของเสี่ยวเหวินหลีโดยตรง
พลังความรู้ที่ถ่ายทอดให้เสี่ยวเหวินหลีมีแต่ความรู้ด้านการต่อสู้เท่านั้น ส่วนที่พี่สาวแม่สี่ตกทอดให้เย่ว์หยางเป็นความรู้ที่กว้างขวาง เสี่ยวเหวินหลีในตอนนี้ยังไม่สามารถรองรับพลังความรู้การต่อสู้ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีตรงๆได้ และนางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ถนัดกับการถ่ายทอดความรู้มากนัก นางใช้นิ้วแตะที่หน้าผากเสี่ยวเหวินหลีถ่ายทอดความรู้เสร็จในหนึ่งวินาที เสี่ยวเหวินเปลี่ยนร่างเป็นแสงรุ้งและกลับเข้าไปอยู่ในร่างของเย่ว์หยางและสงบนิ่งเพื่อค่อยๆย่อยความรู้
อสูรพิทักษ์ของเสี่ยวเหวินหลี เมดูซาศิลา นางเงือกวายุนาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็ง เพราะต้องต่อสู้ใช้งานมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้เฟ่ยเหวินหลีรู้สึกว่าพลังของพวกนางยังไม่เพียงพอนั่นจะส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตก้าวหน้าของเสี่ยวเหวินหลีและความปลอดภัยของเย่ว์หยาง
ดังนั้นพวกนางได้รับเลือดพิเศษคนละหยด
อย่าเห็นว่าเป็นแค่เพียงเลือดหยดเดียว
นี่คือเลือดที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีรวบรวมพลังกลั่นออกมาเทียบกับเลือดเทพแล้วเลือดของนางเหมาะกับการเติบโตกับพวกเมดูซ่าศิลามากกว่า
เมื่อเฟ่ยเหวินหลีกัดนิ้วชี้นางและหยดใส่ปากเมดูซาศิลานางเงือกวายุ นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็งพวกนางหลอมรวมพลังและบรรลุพลังระดับใหม่มีพลังเหนือกว่าเลือดเทพที่อาหงหลอมรวมเสียอีก
เกล็ดบนร่างของพวกนางแตกร่วง
หลังจากหลอมรวมกับ ‘เลือดเทพ’ นี้ เลือดเนื้อ เอ็นกระดูกของพวกนางเริ่มเปลี่ยนแปลงจนแทบใกล้เคียงกับอสูรเทพร่างพวกนางสว่างอย่างรวดเร็ว
“น่าเสียดายที่ข้ายังคงอยู่ในช่วงอ่อนแอ พลังงานในเลือดจึงยังไม่มีเต็มที่ มิฉะนั้นทั้งสี่จะต้องมีความก้าวหน้ามากกว่านี้” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีถอนหายใจ หลังจากได้ยินเสียงนางถอนหายใจเย่ว์หยางรู้สึกละอายใจ เขารู้ว่าเขาต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อฝึกพวกนาง ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถเทียบได้กับเลือดหยดเดียวของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี!
“ขอให้ผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่งข้าจะพาท่านออกไปได้แน่!” เย่ว์หยางไม่ต้องการให้เฟ่ยเหวินหลีใช้เลือดมากเพื่อให้อสูรศึกก้าวหน้า สิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็คือพานางออกไปจากมิติหลุมดำ
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารอมาได้หมื่นปีรออีกสักสองสามปีจะเป็นไรไป” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีมีความสุข นางกอดเย่ว์หยางและหอมเขาดังฟอด
เมื่อเมดูซาศิลาและพวกกลายเป็นแสงกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์
เย่ว์หยางจึงกล่าวอำลาและออกมา
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีก่อนที่นางจะเข้าสู่ห้วงนิทรานางอดรำพึงด้วยความสุขใจมิได้ “มีบุรุษให้พึ่งพิงอาศัย ก็รู้สึกดีเหมือนกัน”! ~!