ตอนที่แล้วตอนที่ 755 กลับบ้านเถอะ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 757 ข้าต้องโกรธ

ตอนที่ 756 มีบุรุษให้พึ่งพิงก็ดีเหมือนกัน


มิติผนึกหลุมดำ

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีโมโหมาก เพราะเผ่าเก้าแสงรุกรานเข้าหอทงเทียน นางรู้สึกว่านั่นเป็นพฤติกรรมตบหน้านาง

พวกบ่าวทาสในอดีตกล้ายกตัวจากอาคันตุกะมาเป็นเจ้าของหรือ?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเปรียบเทียบจักรพรรดินีฟ้าในอดีตเป็นหญิงรับใช้ หลังจากจำเสี่ยวเหวินหลีได้ยังกล้าสั่งให้ฆ่าเธอ  เรื่องนี้ทำให้นางพญาเฟ่ยเหวินหลีโกรธจนลืมตัว

ในอดีตนางไม่มีโอกาสพิสูจน์ได้ว่าถูกเผ่าเก้าแสงทรยศ  นางเพียงแต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ หลังจากราชาเผ่าเก้าแสงคนหนึ่งลอบส่งข่าวไปที่ตำหนักกลางแดนสวรรค์  นางยังไม่ทันมีเวลาฆ่าจักรพรรดินีฟ้า นางก็ถูกสุดยอดฝีมือผนึกไว้ในมิติหลุมดำเสียก่อน  ฟังเย่ว์หยางพูดถึงตอนนี้แล้วนางตระหนักได้ทันทีว่าเผ่าเก้าแสงอาจไม่เพียงแค่ส่งข่าวไปที่ตำหนักกลางแดนสวรรค์

นางไม่รู้ว่าจักรพรรดินีฟ้ากล่าวหานางว่าฆ่าตัวเอง  มิฉะนั้นนางคงจะโกรธมากยิ่งกว่านี้

“เผ่าพันธุ์ที่ต่ำต้อย ไม่มีรกรากมีแต่ต้องพึ่งพาให้นักสู้แข็งแกร่งช่วยคุ้มครองไม่อย่างนั้นจะอยู่รอดได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ดึงนักสู้หอทงเทียนของเราไป  เนื่องจากการกวาดล้างพวกแดนสวรรค์ก่อนนั้นอืม.. ไม่สิ พวกบ่าวทาสรังแกผู้เป็นนายมากมายอย่างคาดไม่ถึง  พยายามหาสมบัติลับในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ  น่าชังยิ่งนัก!”  นางพญายังไม่สามารถออกไปจากมิติหลุมดำได้  ถ้านางออกไปจากที่นี่ได้ เกรงว่าแดนสวรรค์จะต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย  นางเอามือทาบอกข่มความโกรธ พูดปลอบใจเย่ว์หยาง  “ดูจากความเร็วในการก้าวหน้าของเจ้าเกินกว่าที่ข้าคาดไปมาก อีกไม่นานเจ้าคงช่วยให้ข้ามีพลังและออกไปจากมิติผนึกหลุมดำได้ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะร่วมมือกันกวาดล้างแดนสวรรค์อีกครั้ง  ดูซิว่าแดนสวรรค์จะต้านทานเราได้อย่างไร?  ตำหนักกลางแดนสวรรค์น่ะหรือ?  ในสุสานจะต้องเต็มไปด้วยกระดูกเพิ่มแน่  ปล่อยให้พวกเขาย่ามใจไปก่อน”   “จักรพรรดินีฟ้าถูกจัดการไปแล้ว  ราชาเก้าแสงก็ถูกจัดการไปแล้ว  ตราบเท่าที่ข้าดูแลรอยแยกมิติที่ทวีปกวงหมิงดีๆหอทงเทียนและแดนล่มสลายแห่งทวยเทพยังจะปลอดภัยชั่วคราว  ข้าไม่ค่อยกังวลนัก”  เย่ว์หยางพูดเบาๆ “เราผ่านการฝึกซ้อมมาได้แต่น่าเสียดายข้าไม่รู้วิธีทำสัญญากับคัมภีร์เทพมิฉะนั้นพลังกฎเทพคงจะใช้ได้ดีมากกว่านี้”

“ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้ไหม?”  นางพญาเฟ่ยเหวินหลีประหลาดใจเล็กน้อย

“ข้ายังไม่ได้ลองดู แต่ก็คงจะได้  เพราะข้าเข้าใจพลังที่เป็นหลักการส่วนหนึ่งการผ่านโล่พลังป้องกันสีทองของคัมภีร์เข้าไปย่อมไม่มีปัญหา”  เย่ว์หยางคิดว่าถ้าเขายังมีพลังไม่ดีพอ  แต่เขายังมีปิงหยินคอยช่วย

“การเข้าไปในโล่พลังปกป้องคัมภีร์ชั้นนอกยังไม่เท่ากับได้สัมผัสตัวคัมภีร์เทพ  เจ้ายังเชี่ยวชาญพลังกฎสวรรค์น้อยเกินไปต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งต่อไป สนามพลังสร้างโลกที่เจ้าถนัดเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จด้านนี้ให้ได้เสียก่อน ในสนามพลังเจ้าคือพระเจ้า เจ้าคือทุกอย่างเจ้าสามารถเห็นดินแดนในสนามพลังสร้างโลกได้” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีบอกความรู้สึกหลายอย่างเกี่ยวกับสนามพลังกับเย่ว์หยางช่วยให้เขาได้รับความรู้แจ้งมากขึ้น

แม้ว่าความรู้สึกของแต่ละคนจะแตกต่างกันพลังรู้แจ้งกฎสวรรค์ก็ยังต่างกัน

อย่างไรก็ตามความรู้สึกก้าวหน้ามักจะส่งผลต่อคนรุ่นหลังได้อย่างคาดไม่ถึง

เมื่อพิจารณาถึงขอบเขต เย่ว์หยางในระดับปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าใจได้ถึงระดับนั้น  เฟ่ยเหวินหลีแค่กล่าว“สามารถพัฒนาได้ระดับพื้นฐาน”  เขายังไม่สามารถเข้าใจระดับขอบเขตของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีได้กระจ่างนักถึงจะเป็นเช่นนั้น  ทั้งหมดนี้ก็ยังทำให้เขาเข้าใจขึ้นบ้าง

ถ้าให้เขาทำความเข้าใจเอง บางทีอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะเข้าใจ

มีนางพญาเฟ่ยเหวินหลีช่วยแนะนำ

เพียงไม่กี่นาทีเขาก็บรรผ่านสภาวะคอขวดของการฝึกฝนในเวลาไม่กี่ปี  และก้าวกระโดดเข้าสู่ขอบเขตใหม่ที่เขายังไม่รู้แจ้ง...

“คัมภีร์เทพ ข้าคิดว่าของอย่างนี้ไม่น่าจะไปบังคับอะไรได้เจ้าเป็นคนค่อนข้างพิเศษ อาจจะได้รับการยอมรับได้ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าเราต้องสงบจิตใจฝึกฝนให้มากขึ้น”

“ตราบใดที่ท่านมีปณิธานเทพราชันย์และพลังของนักสู้ปราณราชันย์ เจ้าไม่จำเป็นต้องได้คัมภีร์เทพก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ไม่ต้องการเครื่องมือใดๆ สามารถเป็นเหมือนเทพเจ้าที่ทำอะไรก็ได้ตามชอบ  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่คัมภีร์เทพ  ไม่ใช่อาวุธสมบัติเทพและไม่ใช่อสูรเทพแต่เป็นบุคคลเสมือนเทพ  อย่างเช่นร่างกายของเจ้า...” นางพญาเฟ่ยเหวินหลี่ยื่นมาจับไหล่เย่ว์หยาง  นางยิ้มให้เขา “ความจริงเจ้าก็เข้าใจอะไรได้มากมายหลายอย่าง  อย่างไรก็ตามข้าต้องเตือนเพิ่มสักอย่างว่า   ข้าเกรงว่าเจ้าจะคิดมากเกินไป  และเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เดินอ้อมหลีกเลี่ยงนั่นไม่ใช่เรื่องดีของคนฉลาดที่เอาแต่วิ่งชนหาเรื่องโดยตรง”

“หลังจากออกไปแล้ว ท่านมีอะไรต้องทำไหม?  แดนสวรรค์ยังมีคนเก่าแก่เหลืออยู่หรือเปล่า?” เย่ว์หยางกำลังจะออกไปเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

ในอดีตพอนางพญาเฟ่ยเหวินหลีถูกผนึก กองทัพพิชิตศึกของนางไม่น่าจะแตกกระจายไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากหมื่นปีผ่านไปแม้ว่าจะเหลือคนไม่มากแต่ก็ไม่พอเป็นกองทัพได้

บางทีอาจมีสหายเก่าเหลืออยู่

เผ่าปีศาจอสรพิษจากแดนปีศาจหอทงเทียนและนักสู้เผ่าปีศาจหลายคนย้ายเข้าไปอยู่ในแดนสวรรค์แล้ว

ในช่วงแรกก็มีกลับมาหอทงเทียนเป็นครั้งคราว ตั้งแต่จักรพรรดิอวี้และสามจอมภพแดนสวรรค์ทำสงครามกัน  หอทงเทียนและแดนสวรรค์ก็ค่อยๆขาดการติดต่อและบันทึกประวัติเหล่านี้สูญหายไป บางทีอาจมีเผ่าปีศาจอสรพิษตามเผ่าปีศาจแดนนรกมายังแดนสวรรค์ก็ได้

เย่ว์หยางไม่ต้องการตามหาพันธมิตรที่ไม่จริงใจเหล่านี้แต่เขาคิดว่าในการท่องเที่ยวในแดนสวรรค์หากจะต้องพบเจอคู่ต่อสู้ที่เคยเป็นบริวารของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีทั้งสองฝ่ายต้องมาสู้เพราะไม่รู้จักกันและในที่สุดจะกลายเป็นเรื่องเสียหายไปโดยเปล่าประโยชน์  นี่เป็นเรื่องที่น่าอาย เย่ว์หยางหวังจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้  แน่นอนเขาจงใจถามเฟ่ยเหวินหลีถึงสหายเก่าของนาง

เฟ่ยเหวินหลีขมวดคิ้วสีทองของนางและไตร่ตรอง

“บริวารเก่าของข้ามีมากมายนักข้าเล่าให้ฟังทั้งหมดรวดเดียวไม่ได้ มีการรวมกลุ่มที่มีชื่อเสียงกันอย่างคึกคัก เรื่องความจงรักภักดียากจะบ่งบอกได้โดยไม่ใช้เวลาพิสูจน์  ก็เหมือนกับเผ่าเก้าแสงนั่นแหละ  ในอนาคตข้าจะต้องอยู่กับเจ้า  ต่อให้ข้าชี้ผิด ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญใครให้เขาเป็นศัตรูกับเจ้าเล่า” มุมมองที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีมีต่อเย่ว์หยางต่างจากที่มองบริวารของนางเย่ว์หยางหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นบิดาของเสี่ยวเหวินหลีทั้งยังทำสัญญาวิญญาณโลหิตกับนาง

“ข้าจะไปถามดูในแดนสวรรค์” เย่ว์หยางรู้นิสัยของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี แต่เขารู้สึกว่าการสู้รบที่ไม่จำเป็นบางอย่าง ถ้าหลีกเลี่ยงได้เป็นดีที่สุด

“เมื่อเจ้าพูดอย่างนี้ จู่ๆ ข้าก็นึกถึงบางคนขึ้นมาได้ทันที”  นางพญาเฟ่ยเหวินหลียิ้ม

เหมือนกับว่านางนึกถึงเรื่องสนุกได้ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นนางผ่อนคลายและยื่นมือแตะไหล่เย่ว์หยาง “เจ้าสามารถหาคนผู้หนึ่งขอให้เขาช่วยเจ้าได้   คนผู้นั้นมักจะขลาดกลัวต่อการสู้ในสนามรบชอบข่มเหงคนอ่อนแอ แต่กลัวคนแข็งแกร่ง ชอบมองหาคนอ่อนแอที่สุดมาต่อสู้ด้วย โดยเฉพาะพวกฝีมือกะเรวราก เทียบได้กับเจ้าอ้วนไห่ที่เจ้าเคยพูดถึงว่าเขาภักดีต่อเจ้า  แต่เจ้าผู้นี้ก็ภักดีต่อข้าเมื่อข้าข้ามทะเลไร้ขอบเขตในหอทงเทียนชั้นสิบ ข้าพบว่าเขาเป็นโจรสลัด หลังจากข้าทุบตีเขา เขาตัดสินใจยอมแพ้เลิกอาชีพโจรสลัดเข้าร่วมกลุ่มกับข้าเดินทางไปแดนสวรรค์  ข้านำเขาไปด้วย และถล่มแดนสวรรค์   เขาคือสหายคนหนึ่งที่อยู่กับข้าในหอทงเทียนมานาน ถ้าไม่ตายในการต่อสู้เขาคงยืนหยัดอยู่ด้วยตนเองได้  มีเพียงเขานั่นแหละที่ยินยอมติดตามข้า”

เย่ว์หยางถามชื่อของคนผู้นี้  และนางพญาเฟ่ยเหวินหลีตอบว่า เสี่ยวซี

เสี่ยวซี?

ชื่อเหมือนกับขาดหายหรือเปล่า?

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีอธิบายอย่างอารมณ์ดี  “ชื่อเดิมของเขาดูเหมือนจะชื่อคุ้ก  เพราะโจรสลัดแคริเบียนมีทักษะการใช้ดาบโค้งได้ดีมักจะวาดฟันเป็นแนวโค้ง  แต่ยากจะจินตนาการทุกคนเรียกชื่อเขาว่าเสี่ยวซี จนลืมว่าเดิมเขาชื่อคุ้กไปแล้ว ”คุ้ก แคริบเบียนผู้นี้มีลักษณะหน้าตายังไง?” เย่ว์หยางไม่กล้าเรียกคนอายุหมื่นปีนี้ว่าเสี่ยวซีแน่

“เขาชอบสวมชุดโจรสลัด ที่มือซ้ายมีตะขอเหล็กบนศีรษะสวมหมวกกัปตันเรือเป็นสีเขียวดอกไม้ ตาของเขาแข็งไว้หนวดโค้งดูเหมือนเลขแปดน่าเกลียด” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีอธิบายลักษณะให้เย่ว์หยางฟังจนเขาอดเหงื่อตกมิได้

แม้ว่าในแดนสวรรค์ในทุกวันนี้จะมีนักสู้มากมายแต่เย่ว์หยางไม่รู้จักนักสู้เช่นนั้น

เขาหวังว่าคุ้ก แคริบเบียนผู้นี้คงไม่ถูกฆ่าตายไปแล้ว

หมื่นปีผ่านไปค่อยไปแดนสวรรค์เพื่อตามหาสหายเก่า  เฟ่ยเหวินหลีและเย่ว์หยางไม่ใส่ใจเท่าใดนักคิดเสียว่าเป็นแค่การเสี่ยงโชค

ที่สำคัญคือเวลาผ่านมานานมากเกินไปความผันแปรมีมากเกินกว่าจะมีโอกาสตามหาเสี่ยวซีสหายเก่าเจอ  แดนสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาลมากจะไปตามหาอดีตผู้ติดตามเฟ่ยเหวินหลีจากที่ไหน

ก่อนจะออกจากมิติหลุมดำเพื่อส่งเสริมเสี่ยวเหวินหลีให้มีพลังก้าวหน้าเฟ่ยเหวินหลีสอนเธอมากเป็นพิเศษ

วิธีสอนของนางนั้นง่ายมาก

แต่ได้ผล

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีทำคล้ายกับพี่สาวของแม่สี่ถ่ายทอดความรู้วิทยายุทธผ่านสมองของเสี่ยวเหวินหลีโดยตรง

พลังความรู้ที่ถ่ายทอดให้เสี่ยวเหวินหลีมีแต่ความรู้ด้านการต่อสู้เท่านั้น  ส่วนที่พี่สาวแม่สี่ตกทอดให้เย่ว์หยางเป็นความรู้ที่กว้างขวาง เสี่ยวเหวินหลีในตอนนี้ยังไม่สามารถรองรับพลังความรู้การต่อสู้ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีตรงๆได้ และนางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ถนัดกับการถ่ายทอดความรู้มากนัก  นางใช้นิ้วแตะที่หน้าผากเสี่ยวเหวินหลีถ่ายทอดความรู้เสร็จในหนึ่งวินาที เสี่ยวเหวินเปลี่ยนร่างเป็นแสงรุ้งและกลับเข้าไปอยู่ในร่างของเย่ว์หยางและสงบนิ่งเพื่อค่อยๆย่อยความรู้

อสูรพิทักษ์ของเสี่ยวเหวินหลี เมดูซาศิลา นางเงือกวายุนาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็ง เพราะต้องต่อสู้ใช้งานมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้เฟ่ยเหวินหลีรู้สึกว่าพลังของพวกนางยังไม่เพียงพอนั่นจะส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตก้าวหน้าของเสี่ยวเหวินหลีและความปลอดภัยของเย่ว์หยาง

ดังนั้นพวกนางได้รับเลือดพิเศษคนละหยด

อย่าเห็นว่าเป็นแค่เพียงเลือดหยดเดียว

นี่คือเลือดที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีรวบรวมพลังกลั่นออกมาเทียบกับเลือดเทพแล้วเลือดของนางเหมาะกับการเติบโตกับพวกเมดูซ่าศิลามากกว่า

เมื่อเฟ่ยเหวินหลีกัดนิ้วชี้นางและหยดใส่ปากเมดูซาศิลานางเงือกวายุ นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็งพวกนางหลอมรวมพลังและบรรลุพลังระดับใหม่มีพลังเหนือกว่าเลือดเทพที่อาหงหลอมรวมเสียอีก

เกล็ดบนร่างของพวกนางแตกร่วง

หลังจากหลอมรวมกับ ‘เลือดเทพ’ นี้  เลือดเนื้อ เอ็นกระดูกของพวกนางเริ่มเปลี่ยนแปลงจนแทบใกล้เคียงกับอสูรเทพร่างพวกนางสว่างอย่างรวดเร็ว

“น่าเสียดายที่ข้ายังคงอยู่ในช่วงอ่อนแอ พลังงานในเลือดจึงยังไม่มีเต็มที่  มิฉะนั้นทั้งสี่จะต้องมีความก้าวหน้ามากกว่านี้”  นางพญาเฟ่ยเหวินหลีถอนหายใจ  หลังจากได้ยินเสียงนางถอนหายใจเย่ว์หยางรู้สึกละอายใจ เขารู้ว่าเขาต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อฝึกพวกนาง ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถเทียบได้กับเลือดหยดเดียวของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี!

“ขอให้ผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่งข้าจะพาท่านออกไปได้แน่!”  เย่ว์หยางไม่ต้องการให้เฟ่ยเหวินหลีใช้เลือดมากเพื่อให้อสูรศึกก้าวหน้า สิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็คือพานางออกไปจากมิติหลุมดำ

“ไม่ต้องกังวลไป  ข้ารอมาได้หมื่นปีรออีกสักสองสามปีจะเป็นไรไป” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีมีความสุข นางกอดเย่ว์หยางและหอมเขาดังฟอด

เมื่อเมดูซาศิลาและพวกกลายเป็นแสงกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์

เย่ว์หยางจึงกล่าวอำลาและออกมา

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีก่อนที่นางจะเข้าสู่ห้วงนิทรานางอดรำพึงด้วยความสุขใจมิได้ “มีบุรุษให้พึ่งพิงอาศัย ก็รู้สึกดีเหมือนกัน”! ~!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด