ตอนที่แล้วบทที่ 47 - ข้าบอกตอนไหนว่าจะปล่อยเจ้าไป?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 49 - จำไว้ ข้าสกุลหยาง!

บทที่ 48 - เยือนคฤหาสน์ตระกูลหยาง


2/6

บทที่ 48 - เยือนคฤหาสน์ตระกูลหยาง

เกิดเหตุเลือดสาดกะทันหัน ฝูงชนรอบๆตื่นตกใจ

ดวงตาที่หวาดกลัวนับไม่ถ้วนมุ่งตรงไปยังหยางซือเล่ย

เห็นแค่เพียงเขาถืออาวุธโลหะสีดำไว้ในมือ ชัดเจนว่าเสียงระเบิดเมื่อครู่เกิดจากเจ้าสิ่งนี้

คาดไม่ถึงเลยว่าแค่ของชิ้นเล็กๆชิ้นเดียว จะมีอานุภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ กระทั่งม่านพลังวิญญาณคุ้มภัยของนักบู๊ระดับสูงก็ยังไม่อาจต้านทานได้!

“วิชาตัวเบาที่เขาเพิ่งใช้ดูเหมือนว่าจะเป็น ..... ท่าร่างเงามังกร?” ดวงตาของเหลิงลู่หยานหรี่ลงเล็กน้อย ในใจเกิดความฉงน

เธอเคยเห็นท่านจ้าวทำเนียบใช้วิชาตัวเบานี้มาก่อน มันคือศาสตร์วรยุทธในขั้น 7 เคล็ดโชคเก้ามังกร

กระนั้น ท่านจ้าวทำเนียบก็ยังไม่สามารถสำแดงท่าร่างเงามังกรได้สมบูรณ์แบบเท่าหยางซือเล่ย

ระหว่างที่กำลังเกิดคำถามในใจ เห็นแค่เพียงหยางซือเล่ยเดินเข้ามา

“ขอบเจ้าสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า แต่ขอโทษด้วย บุตรสาวของข้ายังไม่คิดเป็นศิษย์ของทำเนียบยุทธชางเฉียง”

ได้ยินหยางซือเล่ยพูดแบบนี้ คนรอบข้างต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

“เจ้าหนูนี่สมองเพี้ยนไปแล้วหรือไร?”

คนที่มีสายตาเฉียบแหลมสามารถเห็นได้ว่าเหลิงลู่หยานเพียงมองหาเหตุผลที่จะปกป้องหยางเฉินเฉิน และถือโอกาสนี้รับเด็กสาวเข้าสู่ทำเนียบยุทธ

ด้วยภูมิหลังและรากฐานของทำเนียบยุทธชางเฉียง การได้เป็นศิษย์สายตรงนับเป็นเกียรติอันยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย อนาคตไร้สิ้นสุด!

แต่ไม่นึกเลย ว่าหยางซือเล่ยจะไม่สนใจความรุ่งโรจน์นั้น เอ่ยคำพูดเป็นนัยยะปฏิเสธออกมาตรงๆ

“บุตรสาวเจ้ามีพรสวรรค์เป็นเลิศ มีเพียงการเข้าสู่ทำเนียบยุทธชางเฉียงเท่านั้น นางถึงจะได้รับการฝึกฝนที่ดีที่สุด”

เหลิงลู่หยานมีบุคลิกเย็นชาก็จริง แต่เธอไม่ชอบบังคับใคร

“เอาเถิด หากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ขอให้มาหาข้าที่ทำเนียบยุทธชางเฉียง”

ว่าจบ เหลิงลู่หยานยื่นมือหยกของเธอออกมา สัมผัสศีรษะของหยางเฉินเฉินเบาๆ ดวงตาที่สวยงามเย็นชาปรากฏร่องรอยของความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่ง

เมื่อยกมือออก ร่างของเธอก็ลอยขึ้น

หยางซือเล่ยจ้องเขม็ง และพบว่าใต้เท้าของเหลิงลู่หยาน ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด มันได้ปรากฏดอกบัวหิมะขนาดใหญ่ ทุกย่างก้าวก่อเกล็ดน้ำแข็งกระเซ็น สะท้อนแสงแวววาว

“นี่คือ ...... จิตวรยุทธขั้นเก้าประเภทพืช --บัวหิมะผลึกน้ำแข็ง!”

เห็นจิตวรยุทธของเหลิงลู่หยานที่อยู่ในขั้นสูงสุดของประเภทพืช ฝูงชนต่างทอดถอนหายใจด้วยความอิจฉา

ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ มิน่าเล่าเหลิงลู่หยานถึงได้เป็นผู้อาวุโสของทำเนียบยุทธตั้งแต่อายุยังน้อย ที่แท้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของจิตวรยุทธของนางนี่เอง

แต่พอพวกเขาลองคิดดูดีๆ ด้วยพรสวรรค์ของหยางเฉินเฉินที่มีจิตวรยุทธขั้น 9 เช่นกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าหากเข้าร่วมทำเนียบยุทธชางเฉียง ไม่ใช่ว่าในอนาคตนางก็จะได้กลายเป็นบุคคลระดับอาวุโสเช่นกันหรอกหรือ?

คิดได้แบบนี้ ฝูงชนทั้งชื่นชมทั้งริษยา

ดูท่าว่าตระกูลหยางจะติดปีกโบยบินเหนือกว่าตระกูลอื่นๆในเมืองซะแล้ว!

ท่ามกลางเสียงสนทนารอบด้าน หยางซือเล่ยไม่แสดงปฏิกิริยาว่าสนอกสนใจแต่อย่างใด

ไปทำเนียบยุทธชางเฉียง?

เจ้ากำลังล้อเล่น?

นั่นไม่เท่ากับเป็นการพาตัวเองไปสู่ตาข่ายที่ดิ้นไม่หลุดหรอกหรือ!

ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด เฉินซีรู้ว่าหยางซือเล่ยกำลังคิดอะไรอยู่ รีบจัดรถม้ากลับเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วขับออกจากที่นี่ไป

...

ณ คฤหาสน์ตระกูลหยาง ที่นี่ตั้งอยู่ในย่านที่คึกคักทางตอนใต้ของเมือง ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางมาก หากมองจากมุมสูง พื้นที่ของตระกูลหยางจะเหมือนกับพยัคฆ์หมอบที่กำลังเฝ้ามองทั่วทั้งเมืองหลงเฟย

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าของหยางซือเล่ยก็มาถึงสถานที่แห่งนี้

ในฐานะตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานใหญ่ยิ่ง การสืบทอดแต่ละรุ่นจึงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและขจัดสิ่งที่แย่ที่สุดเพื่อรักษาตระกูลให้ยั่งยืนยาว

กระทั่งยามเฝ้าประตู พวกเขายังอยู่ในมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม ฐานบำเพ็ญเพียรต้องไปถึงขั้นสามของขอบเขตรวบรวมลมปราณเป็นอย่างน้อย

นักบู๊เช่นนี้หากอยู่ในกองทัพ อย่างน้อยสามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้านายร้อย

ณ ขณะนี้ หน้าคฤหาสน์ตระกูลหยาง ยามสองคนที่สูงใหญ่และกำยำ ยืนตระหง่านประกบซ้ายขวาข้างประตู เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศดุดัน

“หยุด!”

“เจ้าคนแปลกหน้า ห้ามเข้าใกล้คฤหาสน์หยาง!”

เห็นหยางซือเล่ยและเฉินซีเดินเข้ามาใกล้ ยามสองคนตะโกนแทบจะพร้อมกัน เสียงของพวกเขาดังก้องและแข็งกร้าว