ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2: โลกประหลาดและ ‘ซอมบี้’

บทที่ 1: นัดบอดและลูกกลม ๆ


“ผมถังเจิ้นครับ  ชอบอ่านหนังสือกับเล่นเกม  อาชีพก็...  มากมายหลายอย่าง  จะเรียกย่อ ๆ ว่าฟรีแลนซ์ก็ได้นะครับ...”

ในร้านอาหารซึ่งเสิร์ฟเครื่องดื่มเย็น ๆ ตรงหัวมุมถนนในบ่ายวันหนึ่ง  ชายหนุ่มผมสั้นนั่งมองสาวสมัยใหม่ตรงหน้าของตน  เขาได้แนะนำตนเองให้อีกฝ่ายรู้จักด้วยสีหน้าเรียบเฉยด้วยแววตาที่แฝงความเศร้าสร้อยอยู่ลึก ๆ ที่คนปกติไม่อาจสังเกตเห็น

สาวสมัยใหม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้นมีขาคู่เรียว  แต่งตัวมีสไตล์รูปร่างสมส่วน

และในตอนนี้เธอมีสีหน้าไม่สบอารมณ์  แววตาที่มองชายหนุ่มตรงหน้าเต็มไปด้วยความความดูถูกและหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด  ในใจก็เยาะเย้ยอีกฝ่ายว่า ‘ฟรีแลนซ์?  ทุ้ย!  ก็แค่เล่นลิ้นไร้สาระล่ะว้า  เอาตรง ๆ คือไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งก็ว่ามาเถอะ  เหมือนไอ้พวกที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์แล้วบอกว่าตัวเองทำงานในโรงงานย่อยสลายทางชีวภาพนั่นแหล่ะ  ไอ้หน้าโง่บางตัวยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นวีรชนแห่งสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ!  ช่างหน้าด้านกันซะจริง ๆ เชียว...’

‘โดยเฉพาะไอ้หมอนี่ที่ถูกแนะนำให้มานัดบอดด้วย  ดู๊ดู!  ดูเสื้อผ้ามันซิ!  มานัดบอดทั้งทีดันเสื้อผ้าถูก ๆ ข้างถนน!  ทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันไม่ถึงห้าร้อยหยวนเลยมั้ง...’

‘หึ ๆ รองเท้าฉันยังจะแพงกว่าเล้ย!’

‘แล้วไอ้หมอนี่ตั้งแต่เจอหน้ากันก็เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว’

‘อย่างกับคนหน้าตาสวย ๆ หุ่นดี ๆ เพอร์เฟคต์สุด ๆ อย่างเราไม่ได้อยู่ในสายตาซะอย่างนั้น’

‘เอาจริง ๆ นะ  บ้าป๊ะเนี่ย?’

‘ถ้าแกเป็นคนรวยล่ะก็ฉันจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนไอ้ท่าทีแบบนั้นให้อยู่หรอก  แต่นี่ฉันตะหากล่ะที่รวย  ส่วนแกเป็นแค่ไอ้ยาจก  ทำไมถึงได้หน้าด้านแท้!’

ในที่สุด  หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายนั่งเงียบกันได้พักหนึ่งสาวเจ้าก็อดรนทนไม่ไหวต้องพูดประชดประชันออกมา “เอาล่ะมาคุยกันตรง ๆ เลยดีกว่า  ฉันล่ะเกลียดไอ้พวกจืด ๆ แบบนายที่สุดเลย!  นี่ถ้าไม่ใช้เพราะฟางอวี่เจี๋ยร้องบอกให้มาให้หน่อยล่ะก็คนอย่างฉันจะไม่มีวันมานั่งเสียเวลากับคนอย่างนายหรอกย่ะ”

“ชื่อถังเจิ้นใช่มั้ย?  ฉันรู้มาว่าฐานะทางบ้านนายก็แค่กลาง ๆ มีข้อดีแค่อย่างเดียวคือจริงใจ  แต่นายคงไม่รู้ใช่มั้ยว่าคนที่ชอบทำท่าทีแบบนายเนี่ยมันเอาชีวิตรอดในสังคมโลกแห่งความเป็นจริงในยุคนี้ไม่ได้!”

“ถ้าแค่เดทด้วยน่ะไม่เป็นไรหรอก  แต่ถ้าจะเอาถึงขั้นแต่งงานล่ะก็ขั้นต่ำสุดคือนายต้องซื้ออาคารขนาดร้อยห้าสิบตารางเมตร  รถคันละแสนห้า  แล้วก็เปิดร้านเสริมสวยให้ฉันด้วย  ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาคุยไรกันอีก!”

หลังจากที่พ่นเงื่อนไขของตัวเองจบเธอก็หยิบเอามือถือออกมาเล่นทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนเพื่อรอให้เขายอมแพ้ไป

ด้านชายหนุ่มนามถังเจิ้นก็มุมปากกระตุกยิก ๆ หลังจากที่ได้ยินแม่นี่ร่ายยาวถ่มถุยเขาพร้อมกับข้อเรียกร้องด้วยน้ำเสียงดูถูก  ท่าทีของเธอทำเอาเขาหัวร้อนขึ้นมาเหมือนกัน

เขารู้อยู่แล้วว่าแม่สาวตรงหน้านี่เป็นใคร  พูดตรง ๆ ก็เป็นที่รู้จักของหลาย ๆ คนนั่นแหล่ะ  ถ้าไม่ใช่เพราะความจู้จี้จุกจิกและขี้ดูถูกคนที่ทำกับเขาล่ะก็ถังเจิ้นก็ไม่ได้ให้ค่าอะไรกับเธอมากนักหรอก

และที่หน้าโมโหที่สุดคือเจ้าคนที่ดำเนินการนัดบอดเนี่ยสิ  ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ก็ยังจะจัดให้เขามาเจอกับแม่นี่อีก!

แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วจะให้ทิ้งไปเฉย ๆ มันก็ไม่ใช่มั้ง?

ความรู้สึกของการถูกคนที่ตนเองรักหลอกให้ต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ทำเอาเขาปวดใจแปล๊บ ๆ แต่ถังเจิ้นก็ต้องระงับอาการทั้งหมดเอาไว้ก่อนและปั้นยิ้มให้กับอีกฝ่าย “ตอนนี้ผมไม่มีสิ่งที่คุณขอหรอก  แต่รับประกันได้เลยว่าในอนาคตต้องมีแน่ ๆ มั่นใจได้เลย  คุณล่ะว่าไง?”

สาวสมัยใหม่ทำปากขมุบขมิบแบบไม่ออกเสียง  แต่ถ้าลองอ่าน ๆ ดูแล้วก็จะรู้ว่าเธอพูดว่า “เห่าหอนต่อไปเถอะ!”

และเมื่อถังเจิ้นเห็นเขาก็พูดออกไปอย่างเฉยชาว่า “ถึงผมจะมีของพวกนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย  เพราะยังไง ๆ ผมก็ไม่ได้คิดจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับคุณอยู่แล้ว  อย่าคิดว่าตัวเองสวยแล้วจะมาอวดเบ่งได้นาเว่ย!  หล่อนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวก ‘ตระต่ายน้อย’ ในซอยนั่นที่คิดค่าเข้า ‘ซอย’ ครั้งละสามร้อยหยวนหรอก!”

แม่สาวสมัยใหม่ได้ยินดังนั้นก็โมโหหยิบเอาเครื่องดื่มเย็น ๆ บนโต๊ะสาดใส่หน้าเขาอย่างแรง!

“ไอ้ชาติชั่ว!  ไอ้ลูกไม่มีพ่อ!  ไอ้แม่เป็นกะหร...  ไอ้...!” ท่าทีสูงส่งไม่สนหัวใคนเมื่อกี๊หายวับกลายเป็นอีป้าปากตลาดที่ชี้หน้าด่ากราดไปยันพ่อยันแม่

หลังจากที่รัวคำด่าออกมาเป็นสิบประโยคแล้วหล่อนก็หันลังปึงปังจากไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางรังเกียจ

ถึงเจิ้นสะบัดคราบน้ำที่ติดเสื้อก่อนจะเงยหน้าชำเลืองแม่สาวนั่นที่เดินจากไปอารมณ์เสียแล้วหันมาหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ “ไอ้ลูกไม่มีพ่อ...  เหรอ?  เออ  ก็จริงของมัน...  หึ ๆ”

“ฟางอวี่เจี๋ยน้อฟางอวี่เจี๋ย  ทำไมเธอช่างใจร้ายขนาดนี้  ถ้าแค่อยากให้ฉันตัดใจก็ไม่เห็นต้องทำกันแบบนี้เลยก็ได้แท้ ๆ น้า...”

หลังจากนั้นไม่นานเสียงมือถือก็ดังขึ้น  ถังเจิ้นลุกขึ้นเดินออกจากร้านอาหารท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของพวกคู่รักทั้งหลายที่มาเดทกัน

เขากดปุ่มรับสายเบา ๆ และได้ยินเสียงปลายสายเพราะ ๆ ที่ดังและฟังชัดพูดว่า “ถังเจิ้น!  ทำไรของนายเนี่ย  เสี่ยวเฟยโทรบอกฉันแล้วนะ  หล่อนบ่นนายจนหูแทบชาเลย  นายก็จริง ๆ เล้ย  รู้งี้ฉันคงไม่แนะนำพวกนาย...”

หลังจากฟังเสียงฟางอวี่เจี๋ยที่โทรมาบ่นจบแล้ว  ตัวเขาในตอนนี้ได้แต่ยืนก้มหน้าด้วยความรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ในคอ

ไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้จิตใจของตนเองเป็นอย่างไรแล้ว  สองสาวรสนิยมเดียวกันคือ ‘รักคนรวยเกลียดคนจน’ ถูกฉีเฟยเฟยเยาะเย้ยดูถูกซะขนาดนั้นทำไมต้องทนไม่ตอบโต้ด้วยล่ะ?  แล้วกับฟางอวี่เจี๋ยล่ะ?  จะยังเหลือความหวังซักนิดมั้ย?

คงไม่แล้ว  เพราะดูเหมือนตัวจริงของเธอคนนั้นเองก็เป็นแบบเดียวกัน  มิน่าล่ะถึงเอาแต่จู้จี้จุกจิกกับการเป็นคู่ครองนักเวลาคุยด้วย  ที่แท้ก็กะหาผัวรวย ๆ ตั้งแต่แรกกันอยู่แล้ว

แถมไม่พูดตรง ๆ แต่ทำเป็นแนะนำเขาได้รู้จักกับผู้หญิงแบบเดียวกับตัวเองเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องแสดงใบหน้าที่แท้จริงออกมาให้ใครเห็น  จะได้ดูเป็นคนใสซื่อสะอาดสะอ้านต่อไป

นี่คงเป็นคาแรคเตอร์ธาตุแท้ของฟางอวี่เจี๋ย  หากเธอไม่ชอบคนที่เข้ามาเกาะแกะคนไหน  เธอจะหาทางทำให้คนคนนั้นถอยหนีไปเองโดยที่ตัวเองไม่ต้องเอ่ยปากกับคนคนนั้นตรง ๆ

แล้วเมื่อรู้ซึ้งได้แบบนี้ถังเจิ้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าฟางอวี่เจี๋ยรู้ว่าเขาตัดใจจากเธอแล้วจะดีใจขนาดไหน  จะลิงโลดขนาดร้องเพลงของเหลียงจิงหรูที่ตัวเองชอบพลางลากเพื่อน ๆ ไปช้อปปิ้งกันเลยมั้ย?

****************

เมืองตงตูเขตซีเฉิง (เขตเมืองตะวันตก)

ในบ้านเล็ก ๆ ขนาดสามสิบกว่าตารางเมตรที่ทั้งผนัง  ประตู  และหน้าต่างเต็มไปด้วยริ้วรอยทรุดโทรมไปตามกาลเวลา

ตอนนี้ที่หน้าประตูบ้านมีชายร่างสูงใหญ่มาออกกันอยู่หลายคนพ่นเสียงก่นด่าหลากหลายรูปแบบออกมาจากปาก

“ไอ้เวรเอ๊ย!  พ่องเล่นมายืมตังบิดาไปตั้งห้าแสน  จะหายหัวก็ไม่ว่า  แต่เงินล่ะวะเมื่อไหร่จ่าย!”

“ใช่แล้ว ๆ พวกเราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกันแท้ ๆ เธอเองก็ไม่ใช่เด็กไร้เหตุผลด้วย...  ย่อมรู้ดีว่าพวกเราแต่ละคนต่างก็ต้องกินต้องใช้มีเงินกันก็แค่คนละนิดคนละหน่อย  พ่อหนีหนี้ก็ต้องมาทวงเอากับลูก  เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมากหรอกจริงมั้ย?”

“ถังเจิ้นเอ๊ย...  เอาตรง ๆ เลยนา  เราเองก็ไม่อยากจะกดดันเธอมากนักหรอก  พวกเราก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น  แต่การหาเงินน่ะมันไม่ง่ายเลยเธอเองก็รู้ใช่มั้ย?”

“ไม่ต้องพูดไรมาก!  ถ้าวันนี้มึงไม่จ่ายล่ะก็กูรื้อบ้านมึงแน่!”

ชายตัวดำหน้าตาบูดบึ้งคนหนึ่งคำรามลั่น  แต่เมื่อมองดูบ้านที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยแล้วก็...  เป็นต้องหยุดแล้วสบถด่า “ห่าเอ๊ย!  บ้านเอ็งขนาดหนูมาอยู่ยังอดตายเลยมั้งหนิ  พ่อเอ็งนี่ก็เลวแท้ ๆ กล้าโกงตั้งแต่เด็กยันผู้เฒ่าผู้แก่แล้วเปิดตูดหนีไปอย่างไม่ใยดี!  โคตรเลว!”

ทุก ๆ คนที่ได้ยินก็ต้องพยักหน้าอย่างสะเทือน

กลางวงของเจ้าหนี้ทั้งหลายเหล่านี้มีชายหนุ่มรูปงามแต่แต่งตัวซอมซ่อคนหนึ่งยืนอยู่

คนผู้นั้นก็คือถังเจิ้นที่พึ่งกลับมาจากการ ‘นัดบอด’ หมาด ๆ นั่นเอง  และตอนนี้เขาก็กำลังปั้นยิ้มแหย ๆ ด้วยสีหน้าหมองหม่นให้กับทุกคน

“คุณลุง  คุณปู่  พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลายช่วยฟังผมซักนิดก่อนนะ  โอเคมั้ย?”

หลังจากพูดจบประโยคเขาก็หยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของทุก ๆ คนรอบ ๆ ตัว  และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครค้านจึงพูดต่อ “คือผมก็รู้ดีครับว่าทุก ๆ คนลำบาก  เอาเป็นว่าผมจ่ายคืนให้ได้เดือนละห้าพัน  ส่วนใครได้ก่อนได้หลังก็ไปคุยกันเอาเอง!  แต่ถ้าจะเอาให้ได้ล่ะก็ผมเองก็จะเผ่นเหมือนกัน!  ถึงตอนนั้นพวกคุณได้เจอกับความซวยที่แท้ทรูแน่นอน!”

ถังเจิ้นพูดจบก็จ้องหน้าคนเหล่านั้นอย่างแน่วแน่  ด้วยแววตาที่เย็นชา

‘ยังไงก็ยื่นข้อเสนอไปแล้ว  จะเอาไม่เอาก็เลือกเอาเอง  ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเวลาหมามันจนตรอกน่ะกัดตายได้เลยนาเว่ย!  ถ้าตัวเองเจ๋งอย่างที่มาแสดงให้ดูอยู่นี่จริง ๆ ล่ะก็ไปหาเอากับไอ้พ่อเฮ็งซวยนั่นเอาเองเซ่!’

และดูเหมือนทางออกของถังเจิ้นจะได้รับการอนุมัติจากเหล่าลูกหนี้  เห็นได้จากที่พวกมันหันไปตะคอกใส่กันเพื่อแย่งว่าใครจะได้เงินก่อน  บางคนถึงกับม้วนแขนเสื้อถลึงตาจ้องหน้ากะจะวางมวยกันตรงนี้เลยทีเดียว

“เฮ่ยมึงจะทำไรวะ?  จะทำตัวกร่างเป็นนักเลงเหมือนพ่องรึไง!”

“หา?  ปากดีนักนะมึง!  เด๋ววันนี้แหละที่กูพ่อมึงจะสั่งสอนให้รู้จักเงียบปากซะบ้างไอ้ลูกเวร!”

“ไอ่ห่าเอ้ย!  วันนี้กูไม่เอาตังแล้ว!  แต่จะเอาขาพวกมึงนี่แหละไอ้พวกบัดซบ!”

****************

หลังจากการขว้างปาสิ่งของเสียงดังตลอดทั้งเช้าในที่สุดถังเจิ้งก็ส่งพวกเจ้าหนี้กลับไปได้สำเร็จ

เอาจริง ๆ เจ้าหนี้เหล่านี้เองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  จนตอนนี้สภาพแทบจะยกให้ลูกหนี้ของตนเป็นปู่ตัวเองไปแล้ว  ไม่งั้นหนี้ที่ควรจะเก็บได้คงมลายหายสูญ

ทว่าหากถังเจิ้นยังอยู่ล่ะก็  อย่างน้อย ๆ ยังสามารถเก็บเงินคืนมาได้ซักสองสามพันหยวนทุก ๆ สองสามเดือน

เหมือนอย่างที่ถังเจิ้นว่านั่นแหล่ะ  การไล่ต้อนคนหนักเกินไปเดี๋ยวจะจบไม่ต่างจากการทุบหม้อข้าวตัวเอง  ซึ่งคนที่จะสูญเสียอย่างหนักจริง ๆ ก็คือพวกเขาเองนั่นแหล่ะ

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้วถังเจิ้นก็มาเก็บกวาดเศษขยะกับก้นบุหรี่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง  จากนั้นก็มองบ้านที่ว่างเปล่าของตนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่  ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ปรากฏความเศร้าสร้อย

ถังเจิ้นนั้นเป็นเด็กกำพร้าและตอนยังเล็ก ๆ ได้มีคนรับเขาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม  จากนั้นหลังจากที่รับเลี้ยงถังเจิ้นได้สองปีครอบครัวนี้ก็ให้กำเนิดลูกสาวขึ้นมาหนึ่งคน  กลายเป็นว่าถังเจิ้นมีน้องสาวที่รักและสนิทกับตนตั้งแต่ยังเล็ก

กระนั้นก็น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดี ๆ กลับอยู่ได้ไม่นาน  จู่ ๆ แม่บุญธรรมก็จากไปอย่างกะทันหัน  และพ่อบุญธรรมที่เสียใจกับเรื่องนี้มากก็เริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตหมดไปกับการดื่มเหล้าและเที่ยวกลางคืนโดยไม่สนใจสองพี่น้องอีก  สองพี่น้องต้องเติบโตอย่างหิวโหยและใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกว่าจะได้กินอิ่มซักมื้อหนึ่ง

และชีวิตอันรันทดที่เจอในวันนี้ก็มีสาเหตุมาจากพ่อบุญธรรมที่ว่านั่นด้วย  เมื่อปีกลายเขาได้โกงเงินคนเหล่านั้นเอาไปเสวยสุขกับผู้หญิงที่มีผัวแล้วโดยพาเธอหนีจากผัวตัวเองไปอยู่กินกันที่ต่างประเทศ

ส่วนพวกเจ้าหนี้ที่ได้ข่าวก็รีบมาคอยจับตาดูถังเจิ้นในทันที  บ้างก็เป็นแบบนี้คือมาโวยวายถึงหน้าบ้านอยู่นานจนเหนื่อย  สุดท้ายก็กลับไป

เอาตรง ๆ ถังเจิ้นเองก็อยากหนีเหมือนกัน  แต่เมื่อตัดสินใจจะไปทีไรใจมันก็พลันนึกถึงน้องสาวที่ยังเรียนไม่จบ  จนสุดท้ายก็ต้องอดทนกับคำด่าทอที่มาหาตลอดครั้งแล้วครั้งเล่า

ชีวิตในเขตชานเมืองนี้ก็ช่างยากลำบากแท้ ๆ

ถังเจิ้นเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก  เขาเชื่อว่าหากเพื่อคนที่ตนรักแล้วย่อมต้องทนให้ถึงที่สุด

แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาไม่ใช่เสป็คของฟางอวี่เจี๋ย

และความอดทนนี่แหล่ะที่เป็นสาเหตุให้เขายิ้มรับแผนการณ์อันเจ้าเล่ห์ยอมตอบตกลงตามที่ฟางอวี่เจี๋ยบอกว่าจะแนะนำผู้หญิงให้จนสุดท้ายก็กลายเป็นเหตุให้ต้องยุติความสัมพันธ์รักเธอข้างเดียวที่ไม่มีวันสมหวังมาอย่างยาวนานถึงห้าปี

ความรักเองก็ต้องการพื้นฐานทางด้านวัตถุด้วยเหมือนกัน  ตอนนี้ตัวเขาเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ  แล้วจะให้เอาหน้าที่ไหนไปแสวงหาความรักที่ต้องใช้เงินฟุ่มเฟือยกันเล่า

คิดไปคิดมาก็ได้แต่ถอนหายใจและหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา

พวกเจ้าหนี้มาก่อกวนกันถึงหน้าบ้านบวกกับหัวใจที่จมอยู่กับความโหวง ๆ ทำให้เสียเวลาไปมากจนดูท่าว่าวันนี้จะหาเงินมาจ่ายหนี้ไม่ได้ซะแล้ว

จากนั้นก็โยนมือถือไว้ข้างเตียงก่อนจะก้มลงไปหยิบถุงผ้าที่ยัดไว้ใต้เตียงออกมา

เมื่อเปิดถุงออกจะเห็นว่าข้างในเป็นผลึกกลม ๆ ใส ๆ ขนาดเท่าไข่  เขาหยิบออกมาถือ ๆ โยน ๆ เล่น ๆ

ของนี่เป็นสิ่งที่เจ้าพ่อบุญธรรมสารเลวนั่นซื้อจากโจรปล้นสุสาน  ไอ้โจรนั่นมันก็โม้ว่าไปขุดมาจากสุสานโบราณที่ยังไม่ถูกค้นพบ

ตอนนั้นของที่มันขุดขึ้นมาได้ดูเหมือนจะเป็นเป็นกริช  เครื่องปั้นดินเผา  และอีกสิ่งหนึ่งก็คือไอ้ลูกกลม ๆ ที่อยู่ในมือของถังเจิ้นนี่แหละ

เจ้าพ่อบุญธรรมคิดเองเออเองว่านี่ต้องเป็นสมบัติแน่ ๆ เลยยอมจ่างตังซื้อมาในราคาถึงหมื่นหยวน

และเมื่อเอาไปให้นักประเมินช่วยดูก็พบว่าแม้แต่ลมตดก็ยังซื้อไม่ได้เล้ย

หลังจากที่เจ้าพ่อบุญธรรมนั่นเจอกับความเป็นจริงแบบนี้เข้าก็หดหู่ไปหลายวัน  จากนั้นก็โยน ‘ไอ้ลูกกลม ๆ’ ทิ้งแล้วมันก็ไหลไปอยู่ใต้เตียง  แล้วถังเจิ้นก็เก็บได้ในตอนที่ทำความสะอาด

หลังจากเล่นกับไอ้ลูกกลม ๆ เบื่อแล้วเขาก็วางมันไว้บนโต๊ะแล้วหยิบมือถือ  จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเตรียมข้าวเที่ยงกิน

มือขวาถือชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาถุงละสองหยวน  มือซ้ายผักดองครึ่งถุงค่อย ๆ เดินมาที่เตียงก่อนจะหาเปิดนิยายอ่าน

ขณะที่เขากำลังอ่านรายละเอียดการต่อสู้สุดมันส์จนถึงตอนที่ตัวเอกสังหารศัตรูด้วยฝีมือการยิงปืนที่โคตรเทพอยู่นั้นเองมือเขาก็เผลอตบโต๊ะด้วยความสะใจ!  และมันได้บังเอิญไปโดนไอ้ลูกกลม ๆ เข้า

“เอ๊อะ!”

ไอ้ลูกกลม ๆ ที่โดนตบไปเต็ม ๆ ก็แตกและเศษของมันได้เจาะทะลุมือเขาเข้าลึกไปจนโดนกระดูก  เขาเลยร้องอุทานเสียงแปลก ๆ และแผลที่มือก็มีขนาดใหญ่เลือดไหลโจ้ก ๆ เหมือนเปิดน้ำ

“ซวยชิบหาย”

เขารีบไปหาล้างแผลพลางสบถไปด้วย

และเขาไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าลับหลังตนเองนั้นได้มีแสงกระพริบลอยออกมาจากไอ้ลูกกลม ๆ เข้าไปห่อหุ้มมือถือสมาร์ตโฟนของตนเองไว้  จากนั้นมันก็หายวับไปในไม่กี่วินาทีต่อมา

ปล.  คำหยาบตรง ๆ แบบนี้ดีมั้ย  ถ้าไม่ดีช่วยเสนออันที่ดี ๆ ซอฟท์ ๆ กว่านี้มาหน่อยจะได้เอามาเปลี่ยน

5 4 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด