ตอนที่แล้วตอนที่ 737 ชัยชนะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 739 จุดน้ำเงินเข้ม

ตอนที่ 738 การพบกันของคนแซ่ซือหม่า


ถังเทียนไม่มีเวลาดีใจกับชัยชนะ เขามีความคิดหลายอย่างที่จำเป็นต้องจัดเรียงลำดับ  การรู้แจ้งเคล็ดท่าเสียสละพิฆาตในช่วงเวลาที่วิกฤติทำให้เกิดภาพเทพอสูรขึ้นเป็นเหตุให้พลังหมัดของเขาเพิ่มพลังขึ้น ถังเทียนมักจะมีสัญชาตญาณแหลมคมเกี่ยวกับสิ่งที่ปลดปล่อยออกมาจากการต่อสู้ เขามีความรู้สึกว่าเทพอสูรนั้นสร้างขึ้นมาจากดาบมารพิฆาตจะมีคุณค่ามากกว่าวิชาดาบมารพิฆาตเองเสียอีก

และเขาจำเป็นต้องได้เวลาเพื่อทำความเข้าใจทุกอย่างเงียบๆ

ไม่ใช่แค่เพียงเขาเท่านั้น ทุกคนในหน่วยสุญญตาก็ได้รับผลประโยชน์จากการสู้รบ

เลือดในร่างของอาโมรี่ซึมออกมาจากผิวของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาต้องอดทนมากมายเพียงไหน ร่างกายของเขาแข็งแกร่งทรงพลังมากอยู่แล้ว และสามารถรองรับเพลิงที่เข้มข้นรุนแรงและผ่านการปรับแต่งกล้ามเนื้อในร่างกาย เพลิงสุญญตาน้อยของเขาเปลี่ยนสภาพไปเป็นเพลิงสุญญตาได้อย่างสิ้นเชิงและเขาสามารถจุดไฟต้นกำเนิดได้

เรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่าก็คือสภาพใจของเขาบรรลุความก้าวหน้า รัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวของเขามั่นคงและหนักแน่น ความรู้สึกเสี่ยงในตอนแรกกลับกลายเป็นพลังสำรอง  เพราะการบรรลุระดับก้าวหน้านี้  เขาจึงสำเร็จท่าดาบที่สามของดาบมารพิฆาตข้าคือมารพิฆาต

และอีกคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเนี่ยชิว ประสาทสัมผัสรู้ของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าทุกคนมากมาย  และภายใต้พลังกดดันที่รุนแรงของหลูเทียนเหวิน เขาแผ่ความรู้สึกสัมผัสรู้ไปทั่วพื้นที่เหมือนแมงมุมชักใยคอยสังเกตดูทุกอย่าง เมื่อเขาตวาดในการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายอย่างเด็ดขาด ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน  แต่เพราะสภาพใจของเขาถูกปรับเปลี่ยน สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดมาก่อนก็คือกฎธรรมชาติที่เขารู้แจ้งก็คือกฎธรรมชาติเฉพาะรูปแบบพยุหะหยินหยาง

กฎเฉพาะแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้พลังร่างกายแต่อย่างใด  แต่มันไม่สามารถสร้างกฎเปิดเผยได้และไม่สามารถสร้างพลังให้เขา  เมื่อรู้แจ้งมันคือกฎธรรมชาติผิวเผินตอนแรกและเป็นเหมือนตาข่ายที่ไร้ลักษณ์ซึ่งลอยอยู่รอบตัวเนี่ยชิว

สัมผัสความรู้สึกในตอนแรกของเนี่ยชิวและความรอบรู้เพิ่มขึ้นมากในระดับที่น่ากลัว

ที่สำคัญที่สุด  เนี่ยชิวเห็นความหวังในเส้นทางรูปแบบการรบของเขาและการเป็นขุนทัพทหาร ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้มาก

หานปิงหนิงต้องการเวลาดึงแนวคิดสำนึกกระบี่ที่นางปลดปล่อยออกมา  ปัจจุบันของนางแม้ว่านางจะแสดงความสามารถออกมาได้ แต่นางยังไม่สามารถควบคุมได้ดี

และขณะที่สมาชิกหน่วยสุญญตาทุกคนได้รับการขัดเกลาปรับแต่งแตกต่างกันไป ไม่มีใครในพวกเขาท้อถอย แต่พวกเขาลุยเข้าชนกับแสงสีขาว ทุ่มเทด้วยทุกอย่างที่พวกเขามีไม่กลัวตายแม้แต่ในชั่วครู่ จึงทำให้พวกเขาก้าวหน้าครั้งใหญ่ หน่วยสุญญตาเก่าก็เป็นกลุ่มสำหรับทดลองอยู่แล้ว  พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากการสู้รบจริง

ทหารผู้มีประสบการณ์และทหารใหม่มักจะมีความแตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้หลังจากผ่านชีวิตที่ตึงเครียดยากลำบากและการสู้รบเสี่ยงตายแล้ว พวกเขาทุกคนจึงผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ฟ้ายังต้องตะลึง

ช่วงเวลาหลังจากการสู้รบเป็นเวลาสำคัญมากสำหรับพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาสามารถย่อยซึมซับทุกอย่างได้ดี  พลังโดยรวมของพวกเขาจะมีคุณภาพในระดับที่ก้าวกระโดด

ดังนั้นสิ่งแรกที่ถังเทียนทำเมื่อเขาตื่นขึ้นก็คือสั่งให้ปิดปราสาทเขาสะท้อน

ผิงเสี่ยวซานที่น่าสงสารเริ่มบทฝึกพิเศษขนาดใหญ่ของเขา  ครั้งนี้เป็นการฝึกขนาดใหญ่พิเศษจริงๆ  นอกจากถังเทียนแล้ว สมาชิกหน่วยสุญญตาทุกคนจะร้องขออาหารอย่างน่าเวทนา

พวกเขาทุกคนรู้ว่าเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีค่าดังนั้นจึงไม่มีใครเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว

ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหมือนกับการเข้าสู้รบ  ขณะที่สู้ เขาจะต้องสู้เพื่อตัวเอง สู้กับศัตรูและสู้กับตนเอง บางทีไม่มีทางที่ชนะตนเองได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าทุกคนไม่เคยผ่านสงครามใดๆ มาก่อน เขาจะไม่มีคุณสมบัติเรียกตัวเองว่าล้มเหลว เพราะมีแต่คนที่แพ้ในการสู้รบจริงๆ เท่านั้น จึงจะเรียกว่าล้มเหลว

พวกเขาเป็นกลุ่มนักสู้หัวรุนแรงกันทุกคน

*************

ณ.เมืองแสงฉาย

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเราจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้” ซือหม่าเซี่ยวเต็มไปด้วยอารมณ์มีสีหน้าหม่นหมอง  “ถ้าข้าจำได้ถูกเจ้าเรียกว่าซือหม่าเซียงซานใช่ไหม?”

ทั้งสองคนมีตำแหน่งที่ต่างกันห่างไกล  ถ้าไม่ใช่เพราะซือหม่าเซียงซานมีแซ่เดียวกับเขาเขาคงไม่มีทางจดจำคนตำแหน่งเล็กน้อยนี่แน่นอน

ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ  “ข้าเป็นราชาแมงป่องได้ยังกัน?  เราทุกคนกลายเป็นนักโทษต่ำต้อย  ข้าสงสัยจริงๆ เจ้าได้รับความเชื่อถือจากตระกูลม่อได้ยังไง?”

“ไม่มีอะไรมาก”  ซือหม่าเซียงซานพูดอย่างเย็นชาและน่ากลัว  “คนฉลาดยอมรับสถานการณ์”

ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ  “อย่าพยายามสอบสวนข้าเลย  ข้ารู้จักเจ้า เจ้า, อาโมรี่, หานปิงหนิงและเหลียงชิวพวกเจ้าทุกคนอยู่เมืองซิงฟงกับถังเทียน คนอื่นอาจหักหลังถังเทียนได้ แต่พวกเจ้าไม่มีทางทำเช่นนั้น”

คนที่จะกลายเป็นราชาแมลงป่องจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?  เขาได้รับข้อมูลทั้งหมดของซือหม่าเซียงซานโดยเร็ว

ซือหม่าเซียงซานหรี่ตา  ใจของเขาสั่นเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่าซือหม่าเซี่ยวจะรู้ทุกอย่างกับคนระดับรองเล็กน้อยอย่างเขา  แต่เขายังคงไม่สะทกสะท้าน  “นี่ไม่ใช่การหักหลังใครจะรู้ว่าเขาตายแล้ว ข้าไม่อาจตามเขาลงสุสานได้”

ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ  “เจ้าคิดว่าถังเทียนจะตายหรือ?”

“ใครบ้างจะไม่ตาย?”  ซือหม่าเซียงซานปฏิเสธจะพูดต่อ

“ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าทำอย่างนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวกังวลมากเกินไป”  ซือหม่าเซี่ยวพูดแฝงแววหยอกล้อเล็กน้อยและถามทันที “เจ้าได้ยินข่าวลืออะไรมาบ้าง?”

ซือหม่าเซียงซานสะท้านใจ  แต่เขาเป็นคนฉลาดมากและยิ้มอย่างจริงใจ  “ราชาแมงป่องรับฟังข่าวลือด้วยหรือ?”

ซือหม่าเซี่ยวอดประเมินคนเจ้าเล่ห์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาอีกไม่ได้อีกครั้ง สามารถพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาและไม่เปิดเผยอะไรด้วย  แม้ว่าเขาจะไม่รู้แต่เขาไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้  ‘ข้าไม่เคยคิดว่าถังเทียนจะมีบริวารอย่างนี้อยู่ด้วย  พวกเขาทุกคนมีจุดแข็งเป็นของตนเอง’

ซือหม่าเซี่ยวรู้ว่าเขาไม่มีทางเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ และการต้องการจะได้รับความไว้วางใจเป็นเรื่องยากลำบากมาก  และยิ่งเขาเอาชนะกับการเสียดสีกับอีกฝ่าย  ก็ยากจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อถือเขา  เขาตัดสินใจพูดอย่างตรงไปตรงมา  “ข้าเป็นราชาแมงป่องและข้าไม่ได้วางแผนจะอยู่พักร้อนที่นี่ ข้าเชื่อว่าเราทั้งสองเห็นตรงกันในจุดนี้ ข้าไม่เชื่อว่าลำพังข้าคนเดียวจะฝ่าออกไปจากแดนบาปได้  และเมื่อไม่มีถังเทียน คงไม่มีใครในพวกเราที่จะฝ่าออกไปได้  และตอนนี้ข้าสูญเสียพลัง  ข้าจะคุกคามพวกเจ้าได้ยังไง?”

“อันตรายเกี่ยวกับเจ้าไม่เกี่ยวกับวิทยายุทธของเจ้าเลย”  ซือหม่าเซียงซานหัวเราะอย่างน่ากลัว ซือหม่าเซียงซานรู้ความแตกต่างระหว่างพวกเขา  แผนและกลอุบายที่จะใช้ ซือหม่าเซี่ยวสามารถชิงตำแหน่งราชาแมงป่องได้ด้วยความช่วยเหลือของพลังสมาคมรวมตระกูล

ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ  เขารู้ว่าคำพูดของเขามีประโยชน์อยู่บ้าง

“ถังห้าวยังไม่ตาย”ซือหม่าเซียงซานพูดขึ้นทันที

ซือหม่าเซี่ยวให้ความสนใจเพิ่มขึ้นทันที  “นั่นก็แน่อยู่แล้ว ข้าไม่เคยมีความคิดเลยว่าเขาจะตายง่ายดายที่นี่  ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเล่า?”

ซือหม่าเซียงซานมองดูเขา  “เรื่องนี้ข้าบอกไม่ได้”

ซือหม่าเซี่ยวไม่โกรธแต่ยังชวนคุยต่อ  “เจ้ามีแผนอะไรบ้างไหม?”

“ช่วยพวกเรากันเองก่อน”  ซือหม่าเซียงซานโบกมือเขาให้ซือหม่าเซี่ยวและพูดอย่างลับๆล่อๆ “พวกเราทุกคนเป็นคนหยาบกร้าน และไม่มีใครในพวกเราที่มีแผนที่ดีเลย ข้าไม่คาดว่าจะได้พบเจ้าที่เชี่ยวชาญในที่นี้  ดังนั้นช่วยวางแผนสักอย่างให้เราด้วย”

ซือหม่าเซี่ยวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่พบใครที่กล้าพูดกับเขาอย่างไม่สุภาพมาเป็นเวลานานแล้ว

แต่เขาเป็นบุรุษที่อยู่กับความเป็นจริง เขารู้ว่าการถือสาขัดเคืองเรื่องเล็กน้อยและไม่คิดถึงภาพรวมย่อมเป็นหนทางตายแน่ในฐานะบุรุษผู้มีความทะเยอทะยานและอำมหิต เขารู้วิธีตัดสินเวลาและประเมินสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี  และเขามักทำได้โดดเด่นมากกว่าคนอื่น

เขารู้ว่าเป็นเวลาที่เขาจะต้องแสดงฝีมือ  ถ้าเขาไม่แสดงประโยชน์ของเขา  เขาคงไม่มีค่าอะไรเลย  และสงสัยว่าซือหม่าเซียงซานอาจฆ่าเขาได้

เนื่องจากช่วงเวลาที่ถูกจองจำ  เขาได้รับความเชื่อถือจากตระกูลหลี่  และค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานการณ์ของเมืองแสงฉายเพื่อแสวงหาโอกาสจากวิกฤติและการได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวนี่คือสิ่งที่เขาทำเป็นประจำและเป็นผู้เชี่ยวชาญ ถ้ามีแต่เพียงเขา ก็คงยากจะทำให้สำเร็จได้มากเท่าที่ต้องการ  แต่พอร่วมกับซือหม่าเซียงซาน สถานการณ์อาจกล่าวได้ว่าแตกต่างออกไป  ตระกูลหลี่ที่สนับสนุนเขารวมทั้งตระกูลม่อคอยสนับสนุนซือหม่าเซียงซานเป็นตระกูลหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองของของเมืองแสงฉาย

“ในเมื่อเจ้าต้องการเล่นเราน่าจะเล่นใหญ่ๆ ไปเลย” ซือหม่าเซี่ยวยิ้ม ยิ้มของเขาดูไร้อันตราย และเขาเริ่มเปิดเผยแผนของเขา

ยิ่งซือหม่าเซียงซานได้ยินก็ยิ่งทึ่งมากขึ้น  ‘คนผู้นี้เจ้าเล่ห์จริงๆ’

เขาต้องยอมรับว่านี่เป็นแผนการที่แยบยลไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย  ซือหม่าเซี่ยวคุ้นเคยกับการยืมกำลังเอาชนะคนอื่น ตอกลิ่มความสัมพันธ์และใช้เครื่องมือของเขาต่อพวกเขาให้มากที่สุด ซือหม่าเซียงซานเชื่อว่าตราบใดที่แผนการถูกใช้งาน  ทั่วทั้งเมืองแสงฉายจะตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่มีใครคิดว่ามือที่ชักใยอยู่หลังม่านจะเป็นพวกเขาสองคน

‘ขณะนั้นเอง...’

ซือหม่าเซียงซานหรี่ตา  ‘เมืองแสงฉายมีสมาชิกหน่วยสุญญตาอยู่700’

เขาเลียริมฝีปาก

*******************

ฉินเจิ้นส่งอาคันตุกะออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  เขามีร่างที่ใหญ่ หน้าตอบตาคม  แม้ว่าเขากำลังยิ้ม  แต่ก็ยังทำให้คนอื่นสั่นสะท้าน

หลังจากเขากลับแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป บ่าวและสาวรับใช้ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าส่งเสียง

ฉินจื่อเจินตาย, หน่วยพลธนูถูกทำลายทั้งหมดเว่ยหานและมู่เจ๋อตาย ตระกูลเซวียเลือกอิงอาศัยบุรุษหน้ากากผีและหลบหนีไปปราสาทเขาสะท้อน ข่าวที่ออกมาติดต่อกันเหล่านี้ประดังประเดเข้ามาจนเขาหน้ามืดพลังของบุรุษหน้ากากผีเกินไปกว่าที่เขาคาดไปมาก

ตระกูลฉินประสบความสูญเสียใหญ่ ถ้าเขาไม่รู้ว่าตระกูลหลูได้ส่งหลูเทียนเหวินออกไป  ฉินเจิ้นคงกลับไปยังเมืองจื่อจวนทันที

เขาใจเย็นได้เมื่อรู้ว่าหลูเทียนเหวินเคลื่อนไหวแล้วและพุ่งเป้าไปที่การสร้างความสัมพันธ์และมีส่วนร่วมกับคนอื่น ตระกูลหลูดูเหมือนจะไม่สนใจเขาที่กำลังไล่ตามซื้อนักโทษหน่วยสุญญตาจากพวกเขา  ถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางจะได้โอกาส เขารู้ว่าความสนใจของตระกูลหลูอยู่ที่ตระกูลเซวีย  และรู้ว่าพวกเขาเห็นอะไรบางอย่างในตระกูลเซวีย  แต่หลังจากผ่านมาหลายปีแล้ว  เขาไม่เคยพบความลับตระกูลเซวียดังนั้นจึงตัดสินใจขายพวกนางออกไป

‘ราคานี้ไม่นับว่าเลว  สามารถดึงดูดความสนใจของตระกูลหลูได้’

เขาต้องเข้าใจเวลา  ทันทีที่ตระกูลหลูรับพิจารณา  เขาเองคงไม่สามารถได้รับนักโทษหน่วยสุญญตาจากตระกูลอื่น  และนั่นคือเหตุผลที่เขายังไม่กลับไปตระกูลฉิน

แต่อีกตระกูลหนึ่งไม่ใช่คนโง่ พวกเขาทุกคนรู้จักคุณค่านักโทษหน่วยสุญญตาอย่างชัดเจน  และก่อนที่เขาจะมีเหตุผลสนับสนุน  ไม่มีใครยินยอมขายพวกเขา  นั่นทำให้การเจรจาพูดคุยยากมาก  แต่ฉินเจิ้นยังได้การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ดี

เขาเจรจากับสามตระกูล แม้ว่าราคาที่เขาต้องจ่ายจะทำให้ตระกูลฉินกระเป๋ากลวง  แต่สำหรับฉินเจิ้นแล้ว นั่นก็คุ้มแล้ว

หลายคนลอบเยาะเย้ยเขาและเห็นว่าการซื้อหาสมาชิกหน่วยสุญญตาเปล่าประโยชน์  เขาไม่สามารถดูดกลืนพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด

สมาชิกของหน่วยสุญญตาเป็นที่รู้ดีกันว่าพวกเขาฝึกไม่ได้และชอบอาละวาด  และนอกจากเป็นคนกลุ่มน้อยที่เลือกมั่นใจตนเองไม่มีใครอื่นสามารถข่มพวกเขาได้

ทุกคนคิดว่าตระกูลฉินไม่มีความสามารถดูดซับสมาชิกหน่วยสุญญตาและมีแต่จะระเบิดใส่หน้าเขาเอง

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้วหน้าของฉินเจิ้นแค่นเสียงเย้ย

ไม่มีใครรู้ว่าเขามีวิธีเฉพาะที่ทำให้นักโทษฟังเขาอย่างว่าง่าย  และเขาไม่กังวลว่าพวกเขาจะอาละวาด  เขาไม่แตะต้องนักโทษหน่วยสุญญตาคนใดเลย  เพราะเขาต้องการสลัดทิ้งความรู้สึกผิดๆว่าเขาเป็นนักพนันคนหนึ่งและไม่สนใจผลที่ตามมา   จากที่คนอื่นคิดว่าเขาบ้าระห่ำ และขายนักโทษให้เขา

ขณะนั้นเองมีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก

จงเจิ้งเยียนเหม่ยพาร่างบอบช้ำบาดเจ็บของตนเองพรวดพราดเข้ามา  “นายท่าน สี่ตระกูลใหญ่สุมหัวกันและลอบโจมตีเรา....”

ก่อนที่เขาจะสามารถพูดจบประโยค หน้าซีดของเขาก็ล้มลงกับพื้นและไม่หายใจอีกต่อไป

เพล้ง หน้าของฉินเจิ้นซีดขาวว่างเปล่าขณะที่ทำถ้วยชาหลุดจากมือ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด