ตอนที่แล้วบทที่ 886 (7) แนวทางการคบหา(ตอนฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 888 (9) จี้เฟิงเป็นแค่ตัวประกอบ?

บทที่ 887 ( 8 ) การเตรียมพร้อมของตระกูลอู๋ (ตอนฟรี)


บทที่ 887 ( 8 ) การเตรียมพร้อมของตระกูลอู๋

“หืม? พี่รองรู้จักหรงเผิงกรุ๊ปด้วยเหรอ?” จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “แข็งแกร่งมากมั้ย?”

“ขอคิดดูก่อนนะ... ชื่อมันคุ้นหูมาก!” จี้ช่าวเหลยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉันนึกออกแล้ว!”

“โอ้?!”

จี้เฟิงรีบถามทันที “ภูมิหลังของหรงเผิงกรุ๊ปเป็นยังไง?”

“ภูมิหลังไม่ธรรมดา เส้นสายก็เยอะ!” จี้ช่าวเหลยพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าหรงเผิงกรุ๊ปที่ว่านี่เป็นหรงเผิงกรุ๊ปจากหนานเยว่ล่ะก็นะ... ด้วยขนาดของทรัพย์สินก็ถือได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในหมู่องค์กรเอกชนเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่ายังมีช่องว่างหากเทียบกับองค์กรของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่บางแห่ง แต่ในหมู่องค์กรเอกชนด้วยกันนี่ถือว่าเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆเลย!”

“แค่นั้นเหรอ?” จี้เฟิงถาม

“ไม่เพียงเท่านั้น!”

จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “หรงเผิงกรุ๊ปมีบริษัทสาขาอยู่หลายแห่ง แถมยังเกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงอุตสาหกรรมยาด้วย.... นายเคยได้ยินยาแก้ไอที่ทำจาก ‘ปีแป๋’ (โลควอท) หรือเปล่าล่ะ? นั่นแหละคือผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือของหรงเผิงกรุ๊ป!”

“อืม ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของยาแก้ไอโลควอทของหรงเผิงมาอยู่บ้าง ว่ากันว่าไม่เลวเลย แต่ผมไม่เคยใช้นะ!” จี้เฟิงหัวเราะ

เนื่องจากจี้เฟิงก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเภสัชกรรม ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจึงมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง บวกกับการทำการบ้านมาพอสมควร เขาจึงมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรงงานผลิตยาเอกชนขนาดใหญ่และของรัฐในประเทศจีนรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยโรงงานเหล่านี้ด้วย

เมื่อได้ยินจี้ช่าวเหลยพูดถึงยาแก้ไอโลควอท จี้เฟิงก็จำได้ทันทีว่ามีบริษัทยาดังกล่าว แต่เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลกัน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของการดำเนินงานก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับบริษัทนี้มากนัก แต่ใครจะคิดว่าตอนนี้จะได้มาติดต่อกันจริงๆ

“น้องสาม ฉันคิดว่านายควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นนะ” จี้ช่าวเหลยเตือน “ตามข่าวซุบซิบที่ฉันได้ยินมา ดูเหมือนว่าประธานกลุ่มบริษัทหรงเผิงจะเป็นผู้หญิง”

“ผู้หญิง?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอชื่นชมจริงๆ มีผู้หญิงมากมายที่เก่งกาจในการบริหารธุรกิจ!”

“จะเก่งหรือไม่เก่งนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” จี้ช่าวเหลยโบกมือ “เป็นคนของตระกูลอู๋!”

“ห๊ะ?!”

จี้เฟิงตกตะลึง “มันจะบังเอิญไปหรือเปล่า!”

“ก็อย่างที่บอก มันเป็นเรื่องซุบซิบที่ฉันได้ยินมาอีกที ไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเราไม่ควรมองข้าม” จี้ช่าวเหลยกล่าว

จี้เฟิงยิ้มทันที “ถามจริง? อย่างพี่รองเนี่ยนะจะเอาเรื่องไม่มีมูลมาพูด จากที่ฟัง พี่น่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว มันไม่มีข้อมูลอื่นๆมาเพิ่มเติมอีกเลยเหรอ?”

“เจ้าเด็กนี่...”

จี้ช่าวเหลยส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ถึงฉันจะบอกว่าเป็นเรื่องซุบซิบและไม่ได้มีการปกปิดอย่างเป็นทางการก็เถอะ แต่มันไม่ใช่ง่ายๆเลยที่จะได้ยินเรื่องแบบนี้! นอกจากนี้ ถ้าหากใครไปถามตระกูลอู๋ในตอนนี้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับกลุ่มบริษัทหรงเผิงหรือเปล่า พวกเขาไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างนะ ถ้าหากมีคนมาถามนายว่านายมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเถิงเฟยและก็โรงงานเซียวหรือเปล่า? นายจะกล้ายอมรับตามตรงหรือเปล่าล่ะว่าทั้งสองบริษัทนี้เป็นของนาย?”

“อย่างนี้นี่เอง!” ในที่สุดจี้เฟิงก็เข้าใจ และพูดด้วยรอยยิ้ม “มันก็คงเหมือนอย่างที่จี้เส้าจุนและคนอื่นๆทำกัน”

จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่จี้เส้าจุนทำมันเป็นแค่เรื่องตลก แต่หรงเผิงกรุ๊ปได้รับการขนานนามว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในบรรดาองค์กรเอกชน ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ด้วยซ้ำ!”

จี้เส้าจุนเป็นลูกหลานสายรองของตระกูลจี้ และทำอาชีพเกี่ยวกับธุรกิจการค้า แต่ตราบใดที่ธุรกิจของเขาไม่ได้ใหญ่โตเกินไป ก็ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้

ว่ากันด้วยความถูกต้องตามระเบียบแล้ว เจ้าหน้าที่ของทางการและสมาชิกในครอบครัวใกล้ชิดอย่างพ่อแม่พี่น้องไม่ได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจ แต่จี้เส้าจุนไม่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ มันคล้ายๆกับการใช้ช่องโหว่เล็กๆน้อยๆในกฎระเบียบเพื่อสร้างผลประโยชน์บางอย่าง มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่จับต้องไม่ได้ ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามกฎระเบียบ

เช่นเดียวกับจี้เฟิง พ่อของเขาเป็นหัวหน้าทหารฝ่ายเสนาธิการ ดังนั้นตามกฎระเบียบแล้วเขาไม่มีคุณสมบัติในการทำธุรกิจ แน่นอนว่าตอนนี้ตัวตนของจี้เฟิงคือนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจว เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับธุรกิจ

แล้วใครจะพูดอะไรได้?

“ถ้าอย่างนั้น...” จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “บริษัทหรงเผิงกรุ๊ปเป็นทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ของตระกูลอู๋สินะ?”

“ฉันคิดว่าความเป็นไปได้อยู่ที่แปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ!” จี้ช่าวเหลยพยักหน้า

“นั่นคือเหตุผลที่พวกเขากล้าพูดเกี่ยวกับการขอซื้อกิจการ มีทั้งอำนาจ มีทั้งเงิน ไหนจะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะหยิ่งผยอง!” จี้เฟิงส่ายหัว “อยู่ที่หนานเยว่ก็ดีอยู่แล้ว จะวิ่งแจ้นมาสร้างปัญหาให้เราที่เจียงโจวทำไม ผมว่าตระกูลอู๋ละโมบมากเกินไป!”

จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันว่าตระกูลอู๋คงไม่รู้ว่าโรงงานเซียวเป็นของนาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงเสียสติไปแล้วแน่ๆที่ทำตัวหยิ่งผยองเกินเบอร์แบบนี้! ว่าแต่น้องสาม นายจะเอายังไง?”

“ไม่เอายังไง ก็แค่ปล่อยผ่านไปไม่สนใจ” จี้เฟิงเบ้ปากและยักไหล่อย่างไม่แยแส

แม้ว่าเขาจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจของเขาจะไม่ตัดทิ้งโดยสิ้นเชิง ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลอู๋ บริษัทหรงเผิงกรุ๊ปจะมีอำนาจมาก และทำให้พวกเขาหยิ่งผยองได้อย่างไม่เกรงกลัวใคร และตอนนี้โรงงานเซียวได้ปฏิเสธพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นอาจมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น

เขาอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันอยู่ในใจ ‘มีตระกูลอู๋คอยหนุนหลังอยู่แล้วยังไง? ถ้าบริษัทหรงเผิงล้ำเส้นมากเกินไป ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน!’

ในความเป็นจริงลางสังหรณ์และสิ่งที่จี้เฟิงคาดคะเนไว้ไกลกว่านี้มาก อย่างแรก ผู้คนจากตระกูลอู๋จะต้องเตรียมการในการเข้าควบคุมเจียงโจว สิ่งสำคัญคือทรัพย์สิน พวกเขาจะต้องหาแหล่งธุรกิจสำคัญที่พวกเขาถนัดเพื่อสร้างเม็ดเงินในเจียงโจว

และโรงงานใหม่ที่พัฒนาตัวได้อย่างรวดเร็วอย่างโรงงานเซียวจึงเป็นเป้าหมายของตระกูลอู๋!

หึหึ! เป็นแผนที่ดีนี่

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและแอบเย้ยหยัน ‘คราวนี้ผู้คนของตระกูลอู๋คงยิ้มกันอย่างหน้าชื่นตาบานเลยสินะ!’

อันที่จริง หลังจากที่จี้เจิ้นกั๋วมาอยู่เจียงโจวได้สองสามปี เศรษฐกิจในเจียงโจวก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จทางการเมืองอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?

แต่ในตอนนี้ ผู้คนจากตระกูลอู๋กำลังจะเข้ามา เกรงว่าความสงบสุขในเจียงโจวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

ดูเหมือนว่าการฮุบกิจการโรงงานเซียวจะเป็นเป้าหมายที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ?

ฝันไปเถอะ!

“พี่ช่าวเหลยอยู่นี่เอง น้องเล็กอู๋จื้อเหอมาเยี่ยมเยียน” ในขณะนี้ เสียงที่สุภาพก็ดังมาจากด้านนอกห้องอาหาร

มาแล้ว!

จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยมองหน้ากัน และทั้งคู่ก็เห็นรอยยิ้มในดวงตาของกันและกันอย่างชัดเจน

“โธ่! น้องจื้อเหอ มาแล้วก็เข้ามาสิ คนกันเองจะพูดเป็นพิธีรีตองไปทำไม” จี้ช่าวเหลยหัวเราะราวกับเป็นพี่ใหญ่

เหอะๆ!

อู๋จื้อเหอที่ยืนอยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะหางตากระตุก

‘เป็นคนพูดขู่บอกให้ฉันมาหาก่อนที่จะหมดเวลาเองแท้ๆ! แล้วตอนนี้ยังมาวางท่าแบบนี้อีก มันคืออะไร... ??’

แม้อู๋จื้อเหอจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ใบหน้าของเขายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี มีหรือที่จะสังเกตเห็นความโกรธที่อยู่ข้างใน?

ต้องยอมรับว่าคนเหล่านี้ที่เฝ้าดูพฤติกรรมของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆได้เรียนรู้ความอดทนของผู้หลักผู้ใหญ่จนซึมซาบเข้าไปและแสดงมันออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อู๋จื้อเหอเดินเข้าไปในห้องอาหารกึ่งเปิดของจี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม ตามมาด้วยเจิ้งหยูซิ่วและชายหนุ่มสองคนที่เคยปะทะกับจี้เฟิงก่อนหน้านี้  เพียงแต่ว่าชายหนุ่มสองคนที่เดินตามหลังมาไม่ได้มีใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอย่างอู๋จื้อเหอ แต่ใบหน้าของพวกเขามีอารมณ์ที่ซับซ้อนและน่าเกลียด

“พี่ช่าวเหลย พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” อู๋จื้อเหอนั่งลงและถามพร้อมรอยยิ้ม

“เพิ่งกลับมาเมื่อวาน” จี้ช่าวเหลยตอบเบาๆ “จื้อเหอ! ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้ชีวิตแฮปปี้ หยิบจับอะไรก็ดีไปหมดเลยนี่!”

มุมปากของอู๋จื้อเหอกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขาฝืนยิ้มและพูดว่า “ก็นิดหน่อยครับ การทำงานแม้ว่าจะเล็กๆน้อยๆ ก็ผลิดอกออกผลเป็นธรรมดา!”

“เล็กๆน้อยๆอะไรกัน ดูพี่ชายของนายสิ การงานมั่นคงมากทีเดียว แบบนี้อนาคตสดใสแน่! ทำได้ดีๆ!” จี้ช่าวเหลยออกความเห็นสองสามคำ แต่น้ำเสียงของเขาเหมือนผู้ใหญ่กำลังให้โอวาทเด็กๆ

อู๋จื้อเหอพยายามฝืนสีหน้าให้เป็นปกติจนตากระตุก เขากระแอมไอแห้งๆแล้วกล่าวว่า “อ้อ พี่ช่าวเหลย ฉันขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือเจิ้งหยูซิ่ว เป็นแฟนของฉันเอง”

“สวัสดีค่ะพี่ช่าวเหลย...” ทันทีที่เจิ้งหยูซิ่วพูด รอยยิ้มบนใบหน้าของจี้ช่าวเหลยก็หายวับไปทันที

“จื้อเหอ นี่นายสอนผู้หญิงของนายแบบนี้เหรอ? เธอเป็นใครมาเรียกชื่อฉันห้วนๆ?!” จี้ช่าวเหลยไม่แม้แต่จะมองไปทางเจิ้งหยูซิ่ว เขามองตรงไปที่อู๋จื้อเหอ

ใบหน้าของเจิ้งหยูซิ่วแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอรู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย แต่ไม่รู้จะพูดอะไร

“....” อู๋จื้อเหอถึงกับหายใจไม่ออกไปครู่หนึ่ง ในใจก็แอบด่าเจิ้งหยูซิ่วว่าโง่เง่า ตระกูลเจิ้งของเธอเป็นเพียงแค่ตระกูลชั้นสาม ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของจี้ช่าวเหลยได้ แล้วกล้าดียังไงถึงทำตัวตีเสมอเรียกชื่อเขาโดยตรงแบบนั้น... ต่อให้เวลาอยู่ลับหลังจะคอยด่าเขาก็ตาม แต่เวลาเจอหน้ากันก็ต้องทำตัวให้ต่ำต้อยอย่างที่ควรจะเป็น!

ในแวดวงนี้ ถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามกฎ คนอื่นๆมีวิธีจัดการกับคุณได้มากมาย มันอาจทำให้คุณเสียหน้าตั้งแต่พูดออกมาไม่ถึงครึ่งคำ!

ในใจของเจิ้งหยูซิ่วกำลังโกรธ เธอได้ยินมานานแล้วว่าจี้ช่าวเหลยเป็นคุณชายที่ไร้เหตุผล เป็นจอมวายร้าย แต่ตอนนี้เธอได้มาเจอเขาแบบนี้ เธอรู้แล้วว่าจี้ช่าวเหลยนั้นเลวทรามเสียยิ่งกว่าคำเล่าลือเสียอีก

เขาก็เป็นแค่คุณชายเสเพลที่อาศัยภูมิหลังและอำนาจของตระกูล!

อย่างไรก็ตาม เธอต้องยอมรับว่าการจะอยู่ในแวดวงนี้ได้ต้องอาศัยสองสิ่ง อย่างแรกคือภูมิหลังของตระกูลและอย่างที่สองคือมือของตัวเอง

หากคุณไม่มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดีพอ คุณจะไม่สามารถย่างก้าวเข้าสู่แวดวงนี้ได้ด้วยซ้ำ!

แล้วจะบอกว่าพื้นฐานครอบครัวไม่สำคัญได้เหรอ?

ดังนั้นเจิ้งหยูซิ่วจึงได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจเพื่อระบายความโกรธ เพราะถ้าหากเธอพูดสิ่งที่เธอคิดอยู่ตอนนี้ออกไปจริงๆ ก็ไม่ต้องรอให้จี้ช่าวเหลยออกป่าด่า เพราะอู๋จื้อเหอคงขับไล่เธอไปก่อนแล้ว!

มีกฎบางอย่างที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

“พี่ช่าวเหลย ยังคงตรงไปตรงมาเหมือนเดิมเลยนะครับ!” อู๋จื้อเหอยิ้มอย่างสุภาพ ดูสง่างามมาก แต่ใครจะรู้ว่าในใจเขาเต็มไปด้วยความเกลียดมากแค่ไหน “ยังไงก็ตาม พอดีฉันได้ยินจากเสี่ยวหวางว่าพวกเขาก่อนหน้านี้พวกเขามีปัญหาผิดใจกับเพื่อนของพี่ช่าวเหลย ดังนั้นฉันเลยพาพวกเขามาที่นี่เพื่อขอโทษด้วยเฉพาะ....”

.....จบบทที่ 887 ~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด