ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 165 ปะทะจ้าวจื่อป๋อ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 167 กับดักในห้องเก็บศพ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 166 ในที่สุด


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 166 ในที่สุด

แปลโดย iPAT  

โดยพื้นฐานแล้วหินวิญญาณเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะต้องการมากที่สุด เม็ดยารวบรวมพลังปราณไม่สามารถเปรียบเทียบกับมัน มีเพียงผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ระดับต่ำเช่นเขาเท่านั้นที่จะได้รับเม็ดยารวบรวมพลังปราณเป็นเงินเดือน จ้าวจื่อป๋อและโจวเหวินปิงต่างได้รับหินวิญญาณเป็นเงินเดือน สำหรับผู้บ่มเพาะระดับสูง เม็ดยารวบรวมพลังปราณไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา ตรงข้าม พวกเขาต้องการพลังงานบริสุทธิ์ที่อยู่ในหินวิญญาณ

หินวิญญาณมีวิธีใช้งานที่หลากหลาย มันสามารถใช้สร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ ค่ายกล กลไก และอื่นๆ หุ่นเชิดมนุษย์ที่หลี่ฉิงซานมอบให้เสี่ยวอันก็ใช้พลังงานจากหินวิญญาณเช่นกัน นอกจากนั้นมันยังสามารถใช้เติมพลังปราณให้ผู้บ่มเพาะระหว่างการต่อสู้

ตอนนี้การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ดังนั้นหลี่ฉิงซานจึงไม่ต้องการหินวิญญาณเหล่านี้ แต่เมื่อเขาบรรลุขั้นหกและสามารถใช้สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ หินวิญญาณสองสามก้อนก็มีค่าเทียบเท่ากับชีวิตของเขาแล้ว

หลี่ฉิงซานนำหินวิญญาณเหล่านี้ออกมาหลังจากพิจารณาความต้องการเร่งด่วนของตน นกในมือมีค่ามากกว่ากระต่ายสองตัวที่อยู่ในพุ่มไม้ ตอนนี้ผลประโยชน์ระยะสั้นดีกว่าผลประโยชน์ระยะยาว

เมื่อหลี่ฉิงซานตัดสินใจเช่นนี้ โจวเหวินปิงก็ไม่รังเกียจที่จะแลกเปลี่ยน เขาหยิบขวดยาออกมาแปดขวด แต่ละขวดบรรจุเม็ดยาสิบสองเม็ด สิ่งนี้สามารถบรรเทาความต้องการเร่งด่วนของหลี่ฉิงซานได้ระยะหนึ่ง

หลายวันต่อมา หลี่ฉิงซานออกไปเดินเล่นกับเสี่ยวอันในเมือง เขาซื้อทุกอย่างที่นางชอบให้นาง

อย่างไรก็ตามฉายาพยัคฆ์มัจจุราชของเขาแพร่กระจายไปทั่วเมืองเจียเผิงแล้ว ตราบเท่าที่เขาเดินไป บางคนจะตะโกนว่า “พยัคฆ์มัจจุราชมาแล้ว!” ในพริบตา ถนนก็จะกลายเป็นว่างเปล่า เด็กบางคนถูกทิ้งไว้กลางถนนและร้องไห้อยู่เพียงลำพัง เมื่อหลี่ฉิงซานเดินผ่าน เด็กก็หยุดร้องไห้ทันที

เมื่อใดก็ตามที่เขาเข้าไปในร้านค้าเพื่อซื้อของ เจ้าของร้านมักปฏิเสธที่จะรับเงินจากเขา

โจวเหวินปิงส่งคนมาเชิญเขาอีกครั้งและบอกเขาว่าอย่าเดินเตล็ดเตร่ไปบนท้องถนน

สุดท้ายสิ่งที่เหลืออยู่ในชีวิตของหลี่ฉิงซานก็มีเพียงการบ่มเพาะ เขานั่งสมาธิและฝึกฝนอยู่ในบ้านหลังเล็กของเขาทุกวัน โชคดีที่เขามีเสี่ยวอัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเหงา เขากินเม็ดยารวบรวมพลังปราณยี่สิบเม็ดทุกวันและนั่นคือจำนวนที่เขาพยายามอดกั้นแล้ว หากเขาต้องการ เขาสามารถกินทั้งหมดในวันเดียว กล่าวได้ว่าร่างกายของเขาเหมือนหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง

นั่นเป็นเหตุให้เขากลายเป็นแขกประจำของจวนเจ้าเมือง

หลี่ฉิงซานกล่าวเสียงดัง “ท่านเจ้าเมือง เม็ดยาใจสงบขวดนี้เป็นยาระดับสูงของนิกายเมฆาพิรุณ เมื่อท่านกินมันระหว่างบ่มเพาะ มันจะทำให้จิตใจของท่านสงบ ท่านจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากมัน เม็ดยาเสน่หาเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่เร้าใจให้ท่านเมื่อท่านใช้มันบนเตียง”

หลังจากพิจารณา โจวเหวินปิงก็ใช้เม็ดยารวบรวมพลังปราณสี่ขวดแลกเปลี่ยนกับพวกมันซึ่งทำให้หลี่ฉิงซานมีความสุขมาก

สามวันต่อมา ในตอนเที่ยง โจวเหวินปิงนั่งอยู่หน้าหม้อปรุงยา เขากำลังปรุงยา ตั้งแต่เขากลายเป็นเจ้าเมือง เขาสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมสนุนไพรมาให้เขาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่เขาจะได้หลอมสร้างเม็ดยา นั่นเป็นเหตุผลที่เขามีเม็ดยารวบรวมพลังปราณจำนวนมากในการครอบครอง เขาต้องการขายพวกมันให้ผู้บ่มเพาะในท้องตลาด แต่การมาถึงของหลี่ฉิงซานช่วยกำจัดความยุ่งยากให้เขา มันทำให้เขาอารมณ์ดีและสามารถปรุงยาได้มากขึ้น

เป็นเพียงเวลานี้ที่สาวใช้เข้ามารายงาน “นายท่าน คุณชายหลี่มาเยี่ยมอีกแล้ว เขารออยู่ที่ห้องรับแขก”

โจวเหวินปิงพบว่าสิ่งนี้ค่อนข้างแปลก เหตุใดหลี่ฉิงซานจึงมาหาเขาอีก? เมื่อเขามาถึงห้องโถง เขาเห็นโต๊ะยาวในห้องเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย มันดูเหมือนแผงลอยเล็กๆที่ขายสินค้าเบ็ดเตล็ดและเจ้าของร้านก็คือหลี่ฉิงซานที่อยู่หลังโต๊ะ

“โปรดดูสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นของขวัญที่เฉียนเยี่ยนเหนิงได้รับในวันเกิดของเขา สมุนไพรเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังงาน พวกมันเป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับการปรุงยา และรูปปั้นหยกเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าพวกมันเหมือนมีชีวิตจริงๆงั้นหรือ? หากท่านชอบพวกมัน ท่านสามารถนำพวกมันไปทั้งหมด ข้าจะมอบส่วนลดให้ท่าน”

ภายใต้การโน้มน้าวของหลี่ฉิงซานและความจริงที่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างดี โจวเหวินปิงจึงใช้เม็ดยาอีกสองสามขวดแลกเปลี่ยนพวกมันทั้งหมด

ไม่กี่วันต่อมาโจวเหวินปิงก็นั่งอยู่ตรงหน้าหลี่ฉิงซานอีกครั้ง

โจวเหวินปิงกล่าว “วันนี้เราจะดื่มชาและพูดคุยกัน อย่าแม้แต่จะคิดที่จะพูดถึงเรื่องเม็ดยา”

หลี่ฉิงซานอึ้ง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็กล่าวเสียงเบา “ท่านเจ้าเมือง ท่านต้องการยันต์หรือไม่?”

ในที่สุดโจวเหวินปิงก็ต้องเปิดปากถาม “เจ้าต้องการเม็ดยามากมายไปเพื่อสิ่งใด? เจ้าคงไม่กินมันเหมือนอาหารใช่หรือไม่? จำนวนเม็ดยาที่เจ้าได้รับจากข้าเพียงพอให้เจ้าบ่มเพาะได้ถึงสามปี!”

หลีฉิงซานไม่สามารถอธิบาย เขากินเม็ดยาเหมือนอาหารจริงๆ “ข้าเพียงต้องการเก็บพวกมันไว้เพื่อความอุ่นใจ”

โจวเหวินปิงกล่าว “เส้นทางแห่งการบ่มเพาะขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง ยาเป็นเพียงสิ่งหนุนเสริม พวกมันช่วยได้เท่านั้น...”

หลี่ฉิงซานเห็นด้วยกับคำกล่าวของโจวเหวินปิงแต่เขาคิดในใจว่าหากไม่ใช่เพราะยาทั้งหมดที่ซวนเย่วมอบให้เขา เขาคงไม่สามารถควบแน่นแก่นปีศาจได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ หากเขาไม่ใช้สิ่งสนุนเสริม เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีกว่าจะบรรลุระดับปัจจุบัน

หลังจากโจวเหวินปิงกล่าวจบ หลี่ฉิงซานก็ถามอีกครั้ง “ท่านไม่ต้องการพวกมันจริงๆงั้นหรือ?”

โจวเหวินปิงถอนหายใจและส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น ในฐานะเจ้าเมือง เขาไม่ได้ต่อสู้มานานหลายปีแล้ว เขาไม่ต้องการยันต์เลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวอันนั่งยองๆอยู่ข้างกำแพงนอกจวนเจ้าเมืองและใช้กิ่งไม้เล่นกับมดบนพื้น

เมื่อใดก็ตามที่หลี่ฉิงซานมาทำธุรกรรมกับโจวเหวินปิง เสี่ยวอันจะรออยู่ข้างนอก เมื่อใดก็ตามที่บางคนพยายามเข้ามาพูดคุยกับนาง นางจะไม่สนใจพวกเขา

ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฝูงมดแดงและฝูงมดดำกำลังทำสงครามกันอย่างดุเดือด ผู้ใดจะรู้ว่ามีกี่ตัวอยู่ในฝูงมด อย่างไรก็ตามมดแดงดูเหมือนจะดุร้ายและเป็นฝ่ายเหนือกว่า

เสี่ยวอันเฝ้ามองอย่างตั้งใจ แสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วงส่องกระทบใบหน้าของนางและดูเหมือนมันจะทะลุผ่านชั้นผิวหนังที่บอบบางของนางเข้าไป

“สาวน้อย เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่คนเดียว?” บางคนนั่งลงด้านข้างเสี่ยวอันและถามด้วยเจตนาร้าย

เสี่ยวอันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เมื่อคนร้ายเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ เขาจึงอุ้มเสี่ยวอันขึ้นพาดบ่า

เสี่ยวอันไม่ขัดขืน เส้นผมและมือของนางห้อยลงขณะที่นางถือกิ่งไม้ที่ดูพร่าเลือนไว้ในมือและมองรังมดที่อยู่ใกล้ๆ

คนร้ายขึ้นรถม้าและรีบบังคับม้าออกไป เขามีความสุขมาก เขาได้รับเงินสามร้อยตำลึงสำหรับภารกิจนี้ งานที่เจ้านายมอบให้เขาครั้งนี้ง่ายที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา แม้จะมีความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะทำให้พยัคฆ์มัจจุราชขุ่นเคือง แต่หากไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบ

อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังเพ่งความสนใจไปที่เสี่ยวอัน เขาไม่ทันตระหนักว่าสงครามมดจบลงแล้ว ผลปรากฏว่ามดแดงตายเกลี้ยง

กิ่งไม้ในมือของเสี่ยวอันแทงออกไปนับพันครั้งและทำให้มดแดงตายยกฝูง ในเวลาเดียวกันมดดำไม่ถูกแตะต้องแม้แต่ตัวเดียว

รถม้าแล่นไปตามถนนและเลี้ยวหักศอกเข้าไปในบ้าน คนร้ายอุ้มเสี่ยวอันลงจากรถม้า “ท่านหัวหน้า ข้าได้ตัวนางแล้ว!”

ชายเปลือยอกหลายคนดื่มสุราอยู่ด้วยกัน เมื่อได้ยินเสียงเรียก พวกเขารีบยืนขึ้น “เร็วเข้า!”

“เมื่อใดก็ตามที่ข้า เสี่ยวจางมือจับ เคลื่อนไหว มันจะต้องสำเร็จ แม้มันจะค่อนข้างแปลกที่เด็กคนนี้ไม่แม้แต่จะร้องไห้หรือตะโกนตลอดทางก็ตาม”

“นางอาจเป็นใบ้!”

“ข้าคิดว่านางเป็นคนปกติ ผู้ใดจะรู้ว่าพยัคฆ์มัจจุราชได้นางมาจากที่ใด แม้นางจะยังเด็ก แต่นางงดงามมาก อย่าบอกนะว่าไอ้สารเลวนั่นชอบเด็ก!”

เสียงหัวเราะหยุดลงอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่รู้สึกแม้แต่ความตายที่มาถึง ใบหน้าของพวกเขาแข็งทื่อก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะถูกเปลวเพลิงกลืนกินไปอย่างสมบูรณ์

ไม่นานหลังจากนั้น เก้อเจี้ยนเข้ามาในลานบ้านและกล่าวด้วยความสับสน “พวกเขาอยู่ที่ใด?”

เวลานี้เสี่ยวอันกลับไปที่จวนเจ้าเมืองแล้ว นางถือกิ่งไม้กิ่งเดิมและนั่งยองๆอยู่ใต้ต้นไม้มองดูฝูงมดดำย้ายถิ่น

กิ่งไม้กลายเป็นภาพพร่ามัวอีกครั้ง

หลังจากนั้นมดดำก็ตายทั้งฝูง

เป็นเพียงเวลานี้ที่เสี่ยวอันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง นางรีบเงยหน้าขึ้น

“นั่นไม่ใช่ปัญหา” โจวเหวินปิงเดินออกมาส่งหลี่ฉิงซานด้วยตนเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็หยิบขวดยาอีกสองขวดออกจากกระเป๋าร้อยสมบัติและผลักมันใส่มือของหลี่ฉิงซาน เขากล่าวอย่างจริงใจว่า “ฉิงซาน ข้ามอบพวกมันให้เจ้าในฐานะสหาย หากไม่มีสิ่งใดทำก็ไปเดินเล่นตามท้องถนน ให้ข้าอยู่อย่างสงบบ้าง!”

สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านใบหน้าของหลี่ฉิงซาน ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดของการบ่มเพาะบนเส้นทางคู่ขนานในฐานะมนุษย์และปีศาจของเขา!

เสี่ยวอันโยนกิ่งไม้ทิ้งและรีบวิ่งไปคว้ามือของหลี่ฉิงซานเอาไว้

หลี่ฉิงซานยิ้มให้นางและเขย่าสิ่งที่อยู่ในมือของเขา “กลับกันเถอะ ข้าได้มาอีกสองขวด”

ในสำนักงานของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เก้อเจี้ยนรายงาน “ผู้บัญชาการจ้าว ช่วงนี้เด็กนั่นไปหาโจวเหวินปิงบ่อยๆ วันนี้โจวเหวินปิงออกมาส่งเขาหน้าจวนด้วยตนเอง ทุกคนต่างเห็นเหตุการณ์นี้ เป็นเช่นที่ข้ากล่าว หากเด็กนั่นไม่มีที่พึ่งพึง เขาคงไม่หยิ่งผยองถึงเพียงนี้”

“เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เขาพากลับมา ข้าตรวจสอบนางแล้ว เราไม่รู้ต้นกำเนิดของนาง นางเหมือนปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า ชื่อของนางคือเสี่ยวอัน นางยึดติดกับหลี่ฉิงซานราวกับแป้งเปียก ข้าส่งคนไปจับนางแล้ว แต่พวกเขาทำพลาด หากเราไม่ตอบโต้หรือนิ่งเฉย ผู้คนอาจดูถูกเรา!”

จ้าวจื่อป่อก่นเสียง “ฮืม โจวเหวินปิง คิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นหรือ? อย่ากังวล เด็กนั่นจะตายในไม่ช้า ข้าอยากดูว่าโจวเหวินปิงจะปกป้องเขาอย่างไร ไปเรียกเขามาเดี๋ยวนี้!”

ใบหน้าของเก้อเจี้ยนส่องประกายขึ้น “ผู้บัญชาการ ท่านมีแผนการใช่หรือไม่?”

…..

ในบ้านพักของหลี่ฉิงซาน สิ่งของกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น หลี่ฉิงซานกำลังตรวจสอบทุกสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติของเขา “ยังมีสิ่งใดอีก? มีสิ่งใดที่ข้าสามารถใช้แลกเปลี่ยน” เขาทำตัวเหมือนนักพนันที่เสียเงินจนหมดตัวและกำลังพลิกบ้านค้นหาสมบัติชิ้นสุดท้าย

เสี่ยวอันนั่งยองๆอยู่ด้านข้าง นางมองหลี่ฉิงซานและพยายามคิดหาวิธีช่วยเขา หลังจากชั่วครู่นางก็ตบไหล่หลี่ฉิงซานและชี้ไปที่หน้าอกของนาง

“เจ้ามีความคิดดีๆงั้นหรือ?”

เสี่ยวอันพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้ม ทักษะจากเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์สามารถใช้ปรุงยา แน่นอนว่าวัตถุดิบยังเป็นเลือดและเนื้อของมนุษย์

หลี่ฉิงซานพิจารณาอย่างรอบคอบ “ข้าไม่สามารถบ่มเพาะโดยการกินเลือดและเนื้อของมนุษย์” หากเขาสังหารหมู่อีกครั้ง มันจะไม่ส่งผลดีต่อเขา เมื่อเห็นเสี่ยวอันรู้สึกโศกเศร้า เขาจึงหยิกแก้มของนาง “แต่ขอบคุณมาก”

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น มันเป็นเก้อเจี้ยน “ผู้บัญชาการจ้าวเรียกเจ้า” แม้เขาจะดูปกติแต่เขารู้สึกมีความสุขมาก

“มีสิ่งใด?” หลี่ฉิงซานขมวดคิ้วและก้มหน้าตอบกลับด้วยท่าทีที่ดูเหมือนไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตามร่องรอยของความสุขปรากฏในดวงตาของเขา ‘ในที่สุด!’