ตอนที่แล้วตอนที่ 712 เถี่ยเซียขวัญผวา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 714 พายุดาบสลาตัน

ตอนที่ 713 ข้าต้องการเอาชนะท่าน


เมื่อผิงเสี่ยวซานรีบกลับมารายงานข้อมูล  เขาเห็นว่าเถี่ยเซียกำลังทุบหินอยู่ข้างๆขณะที่ไอเป็นเลือด เถี่ยเซียดูน่าสมเพชมาก  ‘คนโฉดชั้นสองทั้งยังได้รับสืบทอดวิชากระแสราตรีตกต่ำถึงเพียงนี้จริงๆ.’

‘คงจะดีกว่าถ้าข้าได้รับข้อมูลมาแล้ว... และวิธีนั้นจะปลอดภัยกว่า..’

ผิงเสี่ยวซานวิ่งกลับไปด้วยสีหน้าแตกตื่นเร็วกว่าตอนมาเสียอีก

หลังจากหาคนเป็นแรงงานทดแทนได้แล้ว  ในที่สุดถังเทียนก็รู้สึกเป็นอิสระ

แม้ว่าเขาจะยังไม่สำเร็จวิชาหมัดเทพเจ้าอย่างสมบูรณ์  แต่ก็เป็นแบบอย่างแล้ว  ถังเทียนต้องการจะตั้งชื่อ  ‘วิชาหมัดที่ข้าสร้างขึ้นเองหนุ่มชาวฟ้าจะต้องเรียกว่าหมัดเทพเจ้าถึงจะถูก’

เมื่อแบบร่างสมบูรณ์แบบ  ความมั่นใจของถังเทียนก็ท่วมท้น  ‘ถ้าข้าไม่ท้าสู้กับเบนสันตอนนี้  แล้วข้าจะเอาตัวรอดได้ยังไง?’

เขาสวมหน้ากากผีสีดำและถือธงหมีโลหิตด้วยความกระตือรือร้นอย่างสูง

หานปิงหนิงสะพายกระบี่เล่มหนึ่งไว้ที่หลังของนาง  เป็นกระบี่ที่นางพบที่คลังสินค้า  แม้ว่าคุณภาพจะยังไม่ดีนักแต่ก็ใช้งานได้

ในความมืด หน้ากากผีดูน่ากลัวมากธงโลหิตยังคงเงียบสงบ

แม้ว่าจะไปสู้แต่สภาพใจของถังเทียนยังคงสงบเป็นอย่างดี พลังในร่างของเขาไหลเวียนอย่างสงบ ขณะที่ประกายในม่านตาของเขาร้อนแรง

ความมืดข้างหน้าเขาก็คือสถานการณ์ของเขา แต่สายตาที่คมกริบของเขาสามารถมองเห็นฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศได้  เขาค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมหายใจของตนเองเหมือนกับว่าฟังเสียงหัวใจของเขา

‘ทุกคน, ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าทุกคนต้องรอนาน’

เขาลืมตาและยกธงหมีโลหิตและพูดโดยไม่เหลียวหลัง “ไปกันเถอะ!”

หานปิงหนิงเดินตามด้านหลังเขา

เถี่ยเซียมองดูประตูอย่างว่างเปล่า

ด้วยแสงที่สาดส่องเข้ามาในประตู  บุรุษหนุ่มเดินถือธงของเขาไปอย่างเงียบๆ  หน้ากากที่น่าเกลียดของเขามีแรงกดดันที่ยากจะหยั่ง  ร่างของเขาดูกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาทั้งมีความมุ่งมั่นเป็นพื้นฐาน

เถี่ยเซียตะลึง

********************

ในยามราตรีถนนหลักของเมืองจื่อจวนสว่างไสวราวกับกลางวัน ร้านค้าสองฟากฝั่งถนนมีแสงสว่าง สถานบันเทิงราตรีของเมืองจื่อจวนมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก และความจริงไม่ใช่เพียงแต่เมืองจื่อจวนเท่านั้น สถานบันเทิงทั่วแดนบาปก็มีชีวิตชีวามากเช่นกันตระกูลสูงส่งและตระกูลขุนนางที่ถูกเนรเทศมักจะคุ้นเคยกับสถานบันเทิงยามตรี  และชีวิตที่ขมขื่นและโหดร้ายที่พวกเขานำมา ความทรงจำของเกียรติยศและความรุ่งเรืองทำให้พวกเขาเจ็บปวดมากขึ้นคนนับไม่ถ้วนหมกมุ่นอยู่กับเหล้า และใช้มันให้ลืมความยากลำบากของพวกเขา

ตามปกติในเวลานี้ถนนจะคึกคักไปด้วยผู้คน

แต่ความเงียบที่น่าประหลาดปรากฏที่ท้ายถนน  หลังจากนั้นเหมือนกับพิษมันลามไปทั้งถนนตลอดสาย

กึก กึก กึก

มีแต่เพียงเสียงฝีเท้าดังขึ้น

เวลาดูเหมือนจะเดินเฉื่อยช้าสำหรับถนนที่พลุกพล่านเจ้าของร้านที่ตอนแรกตะโกนต่อรองราคาอ้าปากค้างโดยไม่มีเสียงเปล่งออกมาจากลำคอ  เมื่อสายตาของเขากวาดดู ลูกค้าทั้งหมดที่มีความกระตือรือร้นพากันเงียบทันที

แม้แต่แสงไฟที่แต่เดิมให้ความอบอุ่นกลับกลายเป็นชั้นแสงเยือกเย็น

กึก กึก กึก

มีร่างหนึ่งถือธงไว้ด้านหลังเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ  ธงหมีโลหิตที่น่าเกลียดน่ากลัวโบกสะบัดกับสายลมสตรีที่อยู่ด้านหลังของเขาเหมือนตุ๊กตาที่สลักจากน้ำแข็ง

ถนนทั้งสายเงียบสนิท

แต่ในวินาทีถัดมาจากเสียงเงียบสงัดก็กลายเป็นเสียงโกลาหลวุ่นวาย

เสียงกรีดร้องเสียงแก้วหล่นแตกลงกับพื้น เสียงฝีเท้าที่ตื่นตระหนก โต๊ะเก้าอี้ถูกดันลงกับพื้นเสียงวิ่งแตกตื่นมีอยู่ทุกที่ ผู้คนหันหน้าวิ่งหนีอย่างแตกตื่น ลูกค้าบนถนนต่างวิ่งหาที่หลบซ่อน

ในพริบตาทั่วท้องถนนกลายเป็นว่างเปล่า

หลูหลิงหนานอาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมได้ยินเสียงกรีดร้องจากข้างนอก  เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่างและบังเอิญเห็นภาพนี้กับตาเขารู้สึกทึ่งด้วยความตกใจ  บนถนนเขาได้ยินเรื่องหน้ากากผี  แต่แม้ว่าเขาจะไม่มีอะไร แต่เมื่อได้เห็นกับตา แล้วเขาก็เข้าใจทำไมหน้ากากผีถึงได้ทิ้งความรู้สึกน่าประทับใจอย่างลึกล้ำในเมือง

หลูหลิงหนานค่อยกลับคืนสู่ความสงบ  เขาจ้องมองร่างบุรุษที่ถือธงเดินเข้ามาช้าๆ

‘ผยองขนาดนั้น!  ย่ามใจขนาดนั้น! กล้าหาญไม่กลัวเกรงจริงๆ!’

‘หน้ากากผีหรือ? เป็นคนที่หยิ่งผยองจริงๆ ไม่ให้ความสนใจเมืองจื่อจวนเลย’  แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกถึงพฤติกรรมของหน้ากากผีซึ่งนับว่าโง่  แต่เพราะเหตุผลบางอย่างหัวใจของหลูหลิงหนานเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ฝ่ายปกครองทั้งหมดดูเหมือนจะกลัวแล้วพากันหนีไปจากเจ้าคนหยิ่งยโสนี่หมด

ใช่แล้ว หยิ่งผยอง

เมื่อเห็นคนที่หยิ่งผยองเกินไปทำให้เขาเลือดลมพลุกพล่าน!

หลูหลิงหนานกำหมัดของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ  เทียบบุรุษหน้ากากผี  เถี่ยเซียคนโฉดเพิ่งจะโด่งดังขึ้นมาชั่วคราว หลูหลิงหนานเรียกสติกลับมาได้จากการหายตัวไปของเถี่ยเซีย  ‘แม้ว่าตระกูลเซวียจะมียอดฝีมือ  แล้วยังไงเล่า?  ข้าคือหลูหลิงหนาน  เทียบกันแล้วข้าจะขาดแคลนยอดฝีมือได้ยังไง?’

‘เจ้าหน้ากากผีผู้นี้กล้าเป็นศัตรูกับสาธารณชน และข้ายังต้องกลัวเป็นศัตรูกับตระกูลเพียงตระกูลเดียวด้วยหรือ?’

หลูหลิงหนานไม่เคยคิดว่าการกระทำบุ่มบ่ามของหน้ากากผีจะช่วยให้เขาบรรลุคอขวดของสภาพจิตใจ  ความรู้สึกถึงพลังที่หลั่งไหลอยู่ร่างของเขาทำให้หลูหลิงหนานหัวเราะออกมาดังๆ

‘ใช่แล้ว พลังของข้าเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!’

‘เจ้าหน้ากากผีน่าสนใจจริงๆ ใครจะรู้ว่าเราอาจมีโอกาสประฝีมือกันในอนาคต’

หลูหลิงหนานจ้องมองดูร่างที่อยู่ข้างล่าง  ใจของเต็มไปด้วยความตั้งใจต่อสู้ ขณะนั้นนางงามน้ำแข็งกำลังเดินอยู่ด้านหลังหน้ากากผีได้เงยหน้าขึ้นพวกเขาสบสายตากัน

หลูหลิงหนานเพียงแต่รู้สึกว่าเหมือนมีสำนึกคมกระบี่น้ำแข็งแทงคิ้วของเขาความรู้สึกเหมือนถูกแช่อยู่ในโรงน้ำแข็ง เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่เดือดพล่านในร่างเขาถูกแช่แข็งอย่างกระทันหัน

‘น่ากลัวจริงๆ!’

หลูหลิงหนานมีแววหวาดกลัว

หานปิงหนิงถอนสายตากลับ  นางรู้สึกถึงเจตจำนงต่อสู้ในตัวคนผู้หนึ่ง  ในสายตานางจะเป็นไปได้ยังไงที่คนผู้ไม่หวาดกลัวจิตกระตือรือร้นสูงจะกล้ามาเดินขวางหน้าเขาไม่ให้ก่อกวนคนอื่น?

ในสายตานางไม่มีใครในแดนบาปที่มีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นศัตรูของถังเทียน

พวกเขาทุกคนสูญเสียความกล้าหาญไปแล้ว  ยอมรับชะตากรรมและสูญเสียความห้าวหาญ

นางรั้งสายตากลับและเดินตามหลังถังเทียนเงียบๆ

สายลมราตรีพัดเย็นทำให้ธงโลหิตโบกสะบัดอยู่ในถนนที่เงียบสงัดมีคนเพียงสองคน คนหนึ่งเดินหน้า คนหนึ่งเดินหลังกำลังมุ่งหน้าไปเงียบๆ

‘เจ้าหน้ากากผีมาที่นี่อีกแล้ว!’

ข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองจื่อจวนเหมือนไฟป่า

เมืองจื่อจวนซึ่งตกอยู่ในความมืดยามราตรีมีอาคารสว่างไสว มีหลายร่างบินออกไปในทิศทางตามลมกลางคืน พวกเขาพุ่งข้ามท้องฟ้ามาจากทุกตำแหน่งเหมือนกับสายน้ำไหลมารวมกันในตำแหน่งตรงกลาง

ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก

การปรากฏตัวครั้งแรกของบุรุษหน้ากากผีอาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครคาด แต่เพราะเขาปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด ทำให้หลายๆคนนับถือเขา

“มาอาละวาดจริงๆ!”

“ใช่ ไม่เคยมีใครเป็นเหมือนแบบนี้มาก่อน”

ในตอนกลางคืนมีการพูดคุยกันมากมายอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของเมืองจื่อจวนพร้อมกัน

ทุกคนสามารถเรียกเขาได้ว่าโง่  ลำพอง หรือหลงตนเองมากเกินไปหรือว่าดื้อดึง  แต่ทุกครั้ง ตราบเท่าที่เขาปรากฏ เหมือนกับว่าเขากำลังเปล่งประกายและไม่มีใครสามารถมองข้ามการดำรงคงอยู่ของเขาได้

เมืองจื่อจวนมีผู้คนหลั่งไหลมานับไม่ถ้วนกำลังติดตามธงหมีโลหิตอย่างกระวนกระวาย

พวกเขาทั้งหมดอยากรู้อยากเห็นว่าเจ้าหน้ากากผีจะไปทำอะไร?

เมื่อถังเทียนก้าวเข้าไปที่ถนนตะวันตก  ทุกคนที่ได้ยินต่างบินเข้าไปอย่างโกลาหลทันที

****************

บ้านตระกูลมัวร์ยังคงสว่างไสว

หมิงจูมองดูดารินที่อยู่ข้างหน้านางและลอบถอนหายใจ  หน้าประดับรอยยิ้มของดารินสมบูรณ์ไม่มีตำหนิและเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง แต่หมิงจูรู้ว่านางพยายามรักษาภาพลักษณ์เต็มที่

ตระกูลฉินแข็งแกร่งเกินไปแค่คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตระกูลฉินไม่ชอบก็ทำให้ตระกูลส่วนใหญ่ต้องชะงักแล้ว  แม้แต่ห้าตระกูลใหญ่ของเมืองจื่อจวนก็ไม่ต้องการถูกม้วนเข้าวังงน  นอกจากนี้คู่ต่อสู้ไม่ใช่แค่ตระกูลฉินเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลหลูแห่งเมืองม้าบิน เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมากกว่าตระกูลฉิน

ไม่ว่าหมิงจูจะให้มากเพียงไหนก็ยังไม่เพียงพอจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหว

หมิงจูรู้สึกวิตกเป็นอย่างมาก  นางรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี  ตราบใดที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนเล็กน้อยพวกเขามีโอกาสจะเปลี่ยนสถานการณ์ เนื่องจากตระกูลหลูเป็นคนภายนอก ตระกูลฉินจะไม่สามารถทำอะไรมากเกินไปได้

‘แต่ข้าจะขับเคลื่อนคนเหล่านี้ได้ยังไง?’

หมิงจูไม่มีคำตอบเรื่องนั้น  นางไปตระกูลสวี่ ตระกูลโรแลนด์ตระกูลโซเบ็ท แต่ทุกตระกูลกั้นกำแพงทั้งนั้น ทุกตระกูลไม่ได้ปฏิเสธนางก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้การสนับสนุน  พวกเขาพูดดี แต่ไม่มีใครยื่นมือช่วยพวกนาง

ทันใดนั้นบ่าวคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามา  หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว

หมิงจูและดารินหยุดพร้อมกัน

ดารินยิ้มให้และถาม  “เกิดอะไรขึ้น?  ทำไมถึงได้แตกตื่นนักเล่า?”

บ่าวผู้นั้นเงยหน้าต้องการพูดแต่หยุดทันที

ดารินทำหน้าเข้ม  “พูดไป”

“นะ..หน้ากากผีกลับมาแล้ว!”  คนใช้ตะกุกตะกักพูด

เบนสันผู้ยืนอยู่ด้านหลังดารินยืนมือไพล่หลังตลอดเวลาพลันลืมตาขึ้นรังสีฆ่าฟันวาบผ่านในดวงตา  เขาคำราม  “เขาคิดว่าตระกูลมัวร์ของเราเป็นตลาดสดหรือไง?นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปตามอำเภอใจ? คุณหนู, โปรดอยู่ตรงนี้กับแม่นางหมิงจูผู้น้อยจะกลับมาโดยเร็ว”

เพียงแค่นั้นเบนสันก็หายไป

เบนสันก้าวเดินอยู่บนหลังคาและมองลงมาที่ถนน  เมื่อเห็นหน้ากากผีถือธงรังสีฆ่าฟันพลุ่งขึ้นมาในใจของเขาทันที

เขาตัดสินใจแล้วจะต้องตัดศีรษะเจ้าหน้ากากผีให้ได้

ครั้งก่อนหน้ากากผีชิงตัวหานปิงหนิงหนีไปจากเขา ทำให้เบนสันเสียชื่อเสียงแล้วยังกล้ากลับมาอีก  นี่ถือว่าเป็นการหยามหยันทวีคูณไม่เพียงแต่เขาต้องชนะ แต่เขาต้องชนะอย่างสวยงาม

เบนสันมั่นใจว่าทำเช่นนั้นได้ ในการต่อสู้ล่าสุดเขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเจ้าหน้ากากผีอย่างปรุโปร่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเหนื่อยจากลูกไม้ที่มีไม่หยุดหย่อนของเจ้าหน้ากากผี  แต่เมื่อเขาคุ้นเคยกับมันแล้วจุดอ่อนของเจ้าหน้ากากผีกำลังขยายตัวในสายตาของเบนสัน

‘ข้าจะชนะครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน’

เบนสันพูดในใจ สายตาเขามองดูเจ้าหน้ากากผีที่อยู่ห่างออกไปและมองดูหานปิงหนิงแววประหลาดใจเต็มอยู่ในดวงตาของเขา

เขาไม่สนใจเรื่องค่าใช้จ่ายค่าตัวหานปิงหนิง  แต่สำหรับเขามีแต่เรื่องความสุขของดาริน  แต่หลังจากที่ไม่เห็นนางเพียงไม่กี่วันราศีของหานปิงหนิงเสริมพลังแกร่งขึ้นมาก

เบนสันไม่สนใจเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องนักโทษหน่วยสุญญตามีพรสวรรค์มากนัก  แต่หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงของหานปิงหนิงเบนสันตระหนักว่าข่าวลือใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย!

‘ถ้าเราสามารถรับนางกลับมาที่ตระกูล...’

แต่ในเวลาอันรวดเร็วเบนสันก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เขาสามารถเห็นความจงรักภักดีที่หานปิงหนิงมีต่อบุรุษหน้ากากผี

เบนสันทิ้งความคิดทั้งหมดออกไป  เขาตะโกนลงมา “เจ้าหน้ากากผี เจ้าพาสหายเจ้าไปแล้ว ยังจะกลับมาทำไม?”

เมื่อเขาได้ยินว่าหน้ากากผีกลับมา  ตอนแรกเขาโกรธมากแต่เขาสงบใจได้โดยเร็วและเริ่มประเมินสถานการณ์ มันไร้เหตุผล พวกเขาไม่มีนักโทษจากหน่วยสุญญตาอีกต่อไปแล้วและเบนสันเชื่อว่าบุรุษหน้ากากผีรู้ความแตกต่างในเรื่องพลังระหว่างพวกเขา  และลูกเล่นของเขาจะไม่มีทางสำเร็จได้อีกแน่

‘เขามาหาเรื่องตระกูลมัวร์ของข้าเพื่ออะไร?  มีเป้าหมายอะไรอยู่แน่?’

เสียงทุ้มของเบนสันสะท้อนไปไกล

คำถามของเบนสันก็เหมือนกับอีกหลายคน

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนบุรุษหน้ากากผีหยุด เขาปักธงบนพื้นข้างตัวเขาเงยหน้าสบสายตากับเบนสันตรงๆ  แล้วพูดด้วยเสียงดัง  “ข้าต้องการเอาชนะท่าน”

เบนสันตะลึง  คนอื่นๆ ก็ตะลึงเช่นกัน

จากเหตุผลที่ทุกคนพูดคุยกันทั้งหมดไม่มีใครคาดว่าจะเป็นคำตอบอย่างนี้

หลังจากเงียบไปสองวินาทีก็มีเสียงฮือฮา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด