ตอนที่แล้วตอนที่ 19-56 คำขอของบีบี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19-58 พลังของลินลี่ย์

ตอนที่ 19-57 ศึกสุดท้าย


ภายในลานว่างยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการเกินกว่าห้าสิบคนประชุมอยู่ด้วยกัน  กลุ่มของลินลี่ย์สี่คนนั่งอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง  ขณะที่ผู้รับใช้ถือถาดเหล้า อาหาร และผลไม้เดินไปมา

“การประชุมครั้งนี้น่าเบื่อจริงๆ!”  บีบีกัดกินผลไม้เปลือกม่วงดังกร้วม  น้ำผลไม้หยดลงพื้น  “เรามานี่จะมีประโยชน์อะไร?  การประชุมครั้งนี้เป็นการรวมตัวผู้บัญชาการกับทหารในค่ายพูดคุยแผนรบในศึกสุดท้ายของพวกเขา  พวกเราที่เหลือแค่นั่งดูเฉยๆ ราวกับเป็นไอ้โง่”

ลินลี่ย์หัวเราะ จากนั้นชำเลืองมองดูผู้บัญชาการที่อยู่ใกล้พวกเขาในลานว่าง

กลุ่มผู้บัญชาการนี้ประกอบไปด้วยผู้บัญชาการผู้คุมทหารในค่าย  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพูดคุยกันในเรื่องรายละเอียดในการรบศึกสุดท้าย  ขณะที่ลินลี่ย์และพวกคนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วมกับการพูดคุย

“เราไม่ได้นำทหารคนใดมาด้วย มีอะไรจะต้องคุยด้วยเล่า?”  รีสเจมเหลือบมองดูผู้บัญชาการคนอื่น และขณะที่ผู้บัญชาการอื่นที่เหมือนกับพวกเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายพูดคุยกันอยู่ที่มุมห้อง  “คนอื่นๆ ก็เหมือนกับเรา  พวกเขาแค่นั่งอยู่เฉยๆ อย่างเบื่อหน่ายไม่ใช่หรือ?  จุดประสงค์ที่เรามาก็เพื่อทำความคุ้นเคยกับผู้บัญชาการคนอื่น  นี่เป็นแค่การประชุมกัน ไม่มีอะไรอื่น”

เห็นได้ชัดว่าการพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดศึกสุดท้ายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย  ขณะต่อมากลุ่มผู้บัญชาการก็พูดคุยสนทนากันเสร็จเรียบร้อย

“ทุกท่าน”  หนึ่งในผู้บัญชาการบุรุษผู้มีสามตาลุกขึ้นยืนมองพวกเขา  เขายิ้มและกล่าว  “มีเวลาเหลือไม่มากนักระหว่างช่วงนี้จนถึงศึกสุดท้าย!  ทุกท่าน!  ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าร่วมรบ หรือไปร่วมชมดูก็แล้วแต่พวกท่าน!  ถ้าพวกท่านตั้งใจจะเข้าร่วมรบด้วยก็จะเป็นเหมือนเมื่อก่อนเสมอ  พวกท่านจะร่วมปะปนอยู่ในกองทหาร!  ข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องพูดมาก!”

สงครามมหาพิภพดำเนินมาหลายครั้งจนถึงบัดนี้  หลายสิ่งหลายอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

เมื่อมีการปะปนรวมกันอยู่ในทหารธรรมดา จะเป็นเรื่องยากที่จะบอกแยกแยะผู้บัญชาการออกจากทหารธรรมดาได้  นั่นช่วยรับรองได้ว่าศัตรูจะไม่เน้นกับการยิงโจมตีแต่ผู้บัญชาการโดยเฉพาะ  มีแต่จะเพิ่มโอกาสอยู่รอด  แต่แน่นอน ถ้าผลงานของใครบางคนดึงดูดความสนใจมากเกินไป  ก็อาจจะเป็นอันตรายได้

“ฝ่ายโลกธาตุแสง พวกเขามียอดฝีมือที่ทรงพลังโดยเฉพาะเป็นพิเศษหรือไม่?  ถ้าพวกเขามี โปรดแจ้งให้เรารู้ เพื่อที่ว่าเราจะได้เตรียมตัว”  ผู้บัญชาการสามตากล่าว

“ข้ารู้ว่าฝ่ายโลกธาตุแสงมีแม็กนัสอยู่ในค่ายของพวกเขา!”  ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการพูดเสียงดัง

“แม็กนัส!  เราต้องระมัดระวังจริงๆ”  ผู้บัญชาการสามตาพยักหน้าจริงจัง

รีสเจมนั่งอยู่ที่มุม หัวเราะเสียงดัง  “ข้ารู้ว่ายังมีอีกคนหนึ่ง เป็นเทพพารากอนธาตุลมชื่อไบเออร์  เขาอยู่ที่นี่เช่นกัน  นอกจากนี้ เขายังอยู่ฝ่ายโลกธาตุแสง”

“ไบเออร์?”  ชื่อนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนจริงๆ

แม้ว่าจะมีชื่อหลายคนถูกบันทึกไว้  แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทุกคนกังวลจริงๆ ก็คือการปรากฏตัวของแม็กนัสและไบเออร์  ที่สำคัญเทพพารากอนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพลัง  ถ้าเทพพารากอนต้องการฆ่าผู้บัญชาการธรรมดา  ก็คงเป็นการเข่นฆ่าฝ่ายเดียว  นอกจากนี้ถ้านักสู้พยายามรวมกลุ่มโจมตี เนื่องจากความเร็วที่น่าทึ่งของเทพพารากอน  การใช้กลยุทธ์แบบนั้นมีแต่จะเป็นที่ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน

“บลูไฟร์  ทำไมบลูไฟร์ไม่ยอมเปิดเผยตัว?”  รีสเจมลอบคุยกับลินลี่ย์  “เขาเป็นคนฝ่ายเรา เขาควรจะปรากฏตัวเองสิ”

ลินลี่ย์ส่ายศีรษะสงสัย  “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน  เขาตั้งใจมาเที่ยวตามลำพัง  ข้าคิดว่าอย่างนั้น”

การประชุมนี้เป็นโอกาสให้ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการได้พบปะกันเอง  ที่สำคัญข้างนอกสมรภูมิมหาพิภพ ไม่บ่อยนักที่จะมีการประชุมสังสรรค์ผู้บัญชาการมากมาย  การประชุมแบบนี้ถือว่าเป็นการสมาคมกัน เป็นสังคมของเทพระดับสูง

แม้ว่าลินลี่ย์ไม่ต้องการพูดคุยกับคนเหล่านี้มากนัก  แต่ก็มีหลายคนที่แวะมาพูดคุยกับเขาสองสามคำ  ตอนนี้พวกเขาคุ้นเคยกันหมดแล้ว  และอย่างน้อยคนเหล่านี้รู้แล้วว่าลินลี่ย์เป็นใคร

“ข้าจัดเตรียมที่พักไว้ให้ทุกท่านแล้ว”  จากนั้นผู้บัญชาการสามตาหัวเราะ  “ทุกท่าน!  ขอเชิญทุกท่านเลือกที่พักใกล้ๆ ได้เลย  สถานที่นี้ติดกับริมฝั่งแม่น้ำดวงดาว  เมื่อการสู้รบเริ่มขึ้นพวกท่านเหล่าผู้บัญชาการทั้งหมดจะได้เข้าร่วมสู้รบกันได้ง่ายๆ”

ไม่มีใครยืนเฉยเกรงใจ  พวกเขาต่างคนต่างเลือกที่พักและเข้าไปนั่งรอศึกสุดท้ายอย่างเงียบสงบ

นี่คือสถานการณ์ฝ่ายโลกธาตุมืด  และฝ่ายโลกธาตุแสงก็มีการประชุมรวมตัวเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเทพพารากอนที่อยู่ฝ่ายโลกธาตุแสง มีเพียงแม็กนัสเท่านั้นที่ปรากฏตัว  ขณะที่ไบเออร์ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้

“ท่านแม็กนัส”  ผู้บัญชาการทุกคนที่มาประชุมรวมกันเข้ามาทักทายแม็กนัสอย่างเป็นกันเองด้วยมิตรภาพอบอุ่นและนอบน้อม

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บัญชาการและมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก  แต่ต่อหน้าเทพพารากอน... เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องทำตัวเช่นนี้  พวกเขารู้สึกเหมือนกับสามัญชนที่เข้าเฝ้าจักรพรรดิ  แม้ว่าสามัญชนเป็นคนหยิ่งยโส  แต่พวกเขาก็ต้องมีมารยาทนอบน้อมที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้  และการนอบน้อมเช่นนี้...ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกอับอาย  เพราะนี่เป็นเรื่องที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนคุกเข่าเมื่อได้พบมหาเทพ นี่ก็เป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาบอกว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ

การต้อนรับที่แม็กนัสได้รับในค่ายของเขาตรงกันข้ามกับที่ลินลี่ย์ได้รับจากค่ายของเขา

แต่แม็กนัสไม่สามารถใส่ใจคนเหล่านี้ได้  เขาเองก็ไปเลือกมุมหนึ่งเช่นกัน  และข้างๆ เขามีโอมาน เชกวินและแรมสันนั่งอยู่ด้วย

“ทุกคน, มียอดฝีมือที่น่ากลัวคนไหนในฝ่ายโลกธาตุมืดที่เราต้องรู้อีกบ้างไหม?  ถ้าพวกท่านรู้อะไร ก็ขอให้บอก เราจะได้เตรียมตัวรับมือพวกเขา”  บุรุษหนุ่มคิ้วขาวผมหงอกคนหนึ่งพูดขึ้น

ทันใดนั้นผู้บัญชาการทุกคนเริ่มระบุรายชื่อออกมาบางส่วน มี่ชื่อของรีสเจมและบีบีก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยด้วยเช่นกัน

“เราเผชิญกับยอดฝีมือที่น่าจะเป็นเทพพารากอนคนหนึ่ง”  โอมานกล่าว  “เขาเป็นเทพพารากอนธาตุไฟ!  เขาเป็นคนของค่ายศัตรู  แต่ชื่อของเขา...เราไม่แน่ใจ  ทั้งหมดที่เราทราบเขามีคิ้วสีแดง!”

ผู้บัญชาการทุกคนเงียบทันที  เทียบกับเทพพารากอนคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรีสเจมหรือบีบีก็ยังไม่สามารถคุกคามจากระยะไกลได้

“ข้ามีอยู่ชื่อหนึ่ง!” แฮมเมอร์พูดเสียงดัง  “ข้าสงสัยว่า เขาจะเป็นพารากอนเช่นกัน!”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนมองดูแฮมเมอร์  ทุกคนรู้ว่าแฮมเมอร์เป็นใคร  เนื่องจากพลังของแฮมเมอร์ คำพูดของเขาก็คงจะเป็นจริง

“คนผู้นี้เป็นสมาชิกของเผ่ามังกรฟ้าแห่งสี่ตระกูลอสูรศักดิ์สิทธิ์  พลังของเขาประหลาดมาก ตอนแรก เขาดูอ่อนแอมาก  แต่หลังจากนั้น เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นจนเหนือข้า  เขามีความพัฒนาก้าวหน้าในช่วงไม่กี่ร้อยปีนี้  และเขาบอกว่าเขาฝึกฝนมาไม่ถึงสามพันปี  ข้าไม่กล้าเชื่อเรื่องนั้น  แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน พลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า!”  แฮมเมอร์พูดอย่างไม่สบายใจ  “ข้าสงสัยว่าเขาคงถึงระดับเทพพารากอนไปแล้ว!”

ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะพร้อมกันทันที

ทุกคนรู้ว่าแฮมเมอร์เป็นคนกะโหลกหนาปัญญาหยาบ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำพูดของแฮมเมอร์ ทุกคนพากันหัวเราะลั่น

“แฮมเมอร์!  ฝึกมาไม่ถึงสามพันปีก็กลายเป็นเทพพารากอน  เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ?  ถ้าเขากลายเป็นเทพพารากอนไม่ถึงสามพันปี  อย่างนั้นเราที่เหลือคงไม่กล้าบากหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปแน่ ฮ่าฮ่า”  เห็นได้ชัดว่าไม่มีสมาชิกของยอดฝีมือเหล่านี้ยอมเชื่อเขาแม้แต่คนเดียว

“แฮมเมอร์, อย่าเชื่อคำโกหกของคนผู้นี้เลย”  ผู้บัญชาการต่างๆ ไม่เชื่อแม้แต่น้อย

“ยอดฝีมือเผ่ามังกรฟ้า กัซลีสันหรือเปล่า?  เขาก็แค่พอๆ กับเรา และพวกเขาจะมีพารากอนได้ยังไง?  ถ้าพวกเขามีจริง  พวกเขาคงไม่ถูกแปดตระกูลใหญ่ไล่ต้อนจนมีสภาพอย่างนั้นเป็นแน่”

เห็นได้ชัดว่าในการพูดคุยกันนี้ไม่มีใครเชื่อคำพูดของแฮมเมอร์

“เป็นไปไม่ได้!”

แม็กนัสนัjงอยู่ในมุมห้องพูดช้าๆ  “กลายเป็นเทพพารากอนในเวลาไม่ถึงสามพันปีน่ะหรือ?  เป็นไปไม่ได้โดยประการทั้งปวง!  อย่าว่าแต่สามพันปีเลย  ต่อให้สามหมื่นปีหรือสามแสนปีก็ยังเร็วเกินไปที่คนผู้หนึ่งจะไปถึงระดับเทพพารากอนได้!  การถึงระดับเทพพารากอนภายในเวลาล้านปีก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

แม็กนัสในฐานะที่เป็นพารากอนเองเป็นแหล่งที่ปรึกษาที่เด็ดขาด

“เป็นไปได้หรือว่า ข้าแฮมเมอร์จะโกหกพวกท่าน!”  แฮมเมอร์โมโห  ควันเริ่มออกมาจากจมูกของเขา เขาถลึงตาที่โตราวกับฆ้องทองแดงมองดูผู้บัญชาการอื่น  ผู้บัญชาการเหล่านี้เริ่มก้มหน้าแอบหัวเราะโดยไม่รู้ตัว  พวกเขาไม่ต้องการยั่วโทสะสหายแฮมเมอร์ผู้นี้

“ถ้าพวกเจ้าไม่อยากฟัง งั้นก็ไม่ต้องฟัง  เมื่อพวกเจ้าตาย อย่ามาโทษว่าข้าก็แล้วกัน”  แฮมเมอร์แค่นเสียง  จากนั้นนั่งลงแล้วคว้าเนื้อย่างขาหนึ่งบนโต๊ะมากัดกินอย่างดุดัน

ค่ายทหารฝ่ายโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์ และค่ายของโลกธาตุมืดทั้งสองค่ายรออยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำดวงดาวแต่ละฝั่งอย่างเงียบสงบ  พวกเขากำลังรอคอยให้ศึกสุดท้ายมาถึง  เทียบกับผู้บัญชาการทหารแล้ว กลับเป็นพวกทหารธรรมดาที่มีความกระตือรือร้นมากที่สุด!

อัตตราการตายในพวกทหารในสมรภูมิมหาพิภพสูงมาก

ทหารเหล่านี้ทุกคนต้องการสร้างความดีความชอบทางทหารเพื่อเอาไปแลกพลังมหาเทพ  และทหารทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีชีวิตมายาวนานมาก  พวกเขาต้องการมีประสบการณ์กับสงครามมหาพิภพที่น่ากลัวนี้บ้างสักครั้ง!  ดังนั้น พวกเขาจึงส่งร่างแยกเข้ามา  พวกเขายินดีเสียสละร่างแยก เพื่อให้ได้รับสัมผัสประสบการณ์ของสงครามมหาพิภพในตำนานด้วยตนเอง

นี่เป็นความโง่หรือความบ้ากันแน่?

ยากจะบอกได้  แต่หลังจากเทพตนหนึ่งมีชีวิตมานานนับไปไม่ถ้วน และไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป  พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้

สงครามมหาพิภพนั้นอำมหิตและโหดร้ายมาตั้งแต่แรก

ค่ายของโลกธาตุมืดศักดิ์สิทธิ์ ที่พักอาศัยของผู้บัญชาการ  กลุ่มของลินลี่ย์อาศัยอยู่ภายในลานว่างของบ้าน

รีสเจมและบีบีนั่งขัดสมาธิพูดคุยกันตามปกติ

ทันใดนั้น...

“ครืน...”  เสียงดังกึกก้องน่ากลัวเต็มไปทั้งท้องฟ้า  เหมือนกับว่าระลอกพลังงานที่ทำให้ท้องฟ้าถล่มและแผ่นดินพังทลายแผ่ขยายกระจายออกไปทุกทิศ

“ครืนนนน”

อาคารสิ่งก่อสร้างสองฝั่งแม่น้ำดวงดาวเมื่อเผชิญกับระลอกพลังก็พังทลายกลายเป็นผุยผงทันที มองเห็นทหารและผู้บัญชาการที่อยู่ภายในทันที  ทหารนับไม่ถ้วนและและผู้บัญชาการหลายคนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแต่ละฝ่ายหันมามองทางเดินดวงดาว

ทะเลผู้คนมากมายทั้งหมดจ้องมองมองดูทางเดินข้ามแม่น้ำดวงดาว

ลินลี่ย์จ้องมองดูในระยะไกล เห็นแต่เพียงทางเดินสองด้านเปล่งรัศมีแสงสีรุ้ง  รัศมีแสงนี้ฉายขึ้นท้องฟ้าทำให้มิติพื้นที่สั่นสะเทือน  ในขณะนั้นเองทางเดินเชื่อมสองด้านของแม่น้ำดวงดาวมองดูสะดุดตากว่าที่เคยเป็นมา

“ศึกสุดท้ายกำลังจะเริ่มในที่สุด!”  ลินลี่ย์เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดพึมพำกับตนเองมิได้

ตามกฎของสงครามมหาพิภพ หลังจากพันปีผ่านไป ทางเดินดวงดาวจะระเบิดพลังเป็นรัศมีสีรุ้งที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก  นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าศึกสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้น!  ตามตำนานกล่าวว่า นี่เป็นการออกแบบของมหาเทพ  แต่บางตำนานอื่นก็ว่าออกแบบโดยจอมเทพ  แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันแน่นอนก็คือ...

ศึกสุดท้ายกำลังเริ่มขึ้น

ยังไม่มีการเคลื่อนกำลังพล  แต่ก็ไม่มีการลังเลใจแต่อย่างใด

“ฆ่า!”  เสียงกระหึ่มตะโกนลั่นดังไปทั้งท้องฟ้า

ทหารผู้รอเวลานี้มาโดยตลอดแต่ละฝั่งทางเดินต่างก็เข้ามาในทางเดินทันทีและบุกข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม  ขณะที่พวกเขาทหารจากค่ายโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ลังเลใจเช่นกันโถมเข้ามาในทางเดินดวงดาวเตรียมโจมตีศัตรูของพวกเขา

“ฮ่าฮ่า.... การสู้รบเริ่มแล้ว!”  รีสเจมหัวเราะลั่น  “ไปข้างหน้ากันเถอะ!”

“เคลื่อนขบวน!”  บีบีตะโกนอย่างอารมณ์ดี

กลุ่มของลินลี่ย์สี่คนพุ่งไปข้างหน้าเข้าไปในทางเดินดวงดาวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ผู้บัญชาการหลายคนไม่จำเป็นต้องจัดอยู่ในกลุ่ม  พวกเขาทุกคนเคลื่อนไหวตามชอบใจ  ขณะที่พวกทหารจากค่ายทหารจะจัดตั้งขบวนทัพทันที  และจากนั้นเป็นเหมือนมังกรเลื้อย และเริ่มเคลื่อนขบวนไปตามทางเดิน ภารกิจของค่ายทหารแต่ละฝ่ายได้จัดการไว้แล้วระหว่างประชุมครั้งก่อน

การเข่นฆ่าเริ่มขึ้นทันที!

เส้นทางเดินสองฝั่งแม่น้ำดวงดาวที่ดูเหมือนฝันก่อนนั้นตอนนี้เปล่งแสงสีรุ้ง ปรากฏมองดูเหมือนกับภาพมายาหรือภาพฝันมากมาก  แต่ทั้งสองฝ่ายคือค่ายโลกธาตุแสงและค่ายโลกธาตุมืดเริ่มเข่นฆ่าฟันกันในสองเส้นทางเดิน

ลินลี่ย์ บีบี รีสเจมและเรย์โฮมยืนอยู่ที่ริมทางเดินดวงดาว

“บ้าคลั่งไปแล้ว”  ลินลี่ย์มองดู

ในอากาศเหนือแม่น้ำดวงดาวตั้งแต่พื้นยันท้องฟ้าเต็มไปด้วยทหารนับไม่ถ้วน  ด้วยหน่วยทหารแต่ละหน่วยมีคนเป็นพัน  พวกเขาใช้พลังโจมตีวัตถุและพลังโจมตีวิญญาณใส่แต่ละฝ่ายพร้อมกันโดยใช้พลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาต่อศัตรูข้างหน้า  การโจมตีระยะห่างเหล่านี้เกิดขึ้นทันที และจากนั้นทหารจำนวนมากของทั้งสองฝ่ายเหมือนอสุรกายขนาดยักษ์วิ่งเข้าปะทะกัน สนามรบเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย

โลหิตสาดกระเซ็นในทุกที่ ประกายเทพกลิ้งตก ป้ายประจำตัวร่วงหล่น

เป็นสงครามที่บ้าคลั่งที่สุด

“ตามกฎของสงครามมหาพิภพ  ถ้าฝ่ายหนึ่งชนะสงครามได้ในเส้นทางข้ามทั้งสองทาง  นั่นจึงจะถือว่าได้ชัยชนะ  ถ้าพวกเขาชนะได้ทางเดียว  ก็ถือว่าเสมอ”  ตาของรีสเจมเป็นประกาย  “ฮ่าฮ่า, ลินลี่ย์ ไม่ต้องลังเล ผู้บัญชาการอีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาแล้ว”

ลินลี่ย์เห็นป้ายขาวและป้ายดำร่วงหล่นป้ายแล้วป้ายเล่า  ทหารบางคนกวาดมือทีเดียวก็ได้ป้ายทหารสิบหรือยี่สิบป้ายแล้ว  ในการเข่นฆ่าที่ป่าเถื่อนอย่างนั้น  การสะสมความดีความชอบทางทหารทำได้เร็วจริงๆ  แต่ก็อันตรายและบ้าบิ่น

“ไปกันเถอะ!”

กลุ่มของลินลี่ย์ทั้งสี่คนบุกเข้าไปในทางเดินดวงดาว กลืนเข้าไปในกลุ่มการสู้รบที่บ้าคลั่ง  ด้านหลังพวกเขากำลังทหารเคลื่อนตามผู้บัญชาการต่างๆ เข้าไปด้วยเช่นนั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด