ตอนที่แล้วบทที่ 883 (4) ตัวน่ารำคาญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 885 (6) เกมโอเวอร์

บทที่ 884 (5) โลกมันแคบ(ตอนฟรี)


บทที่ 884 ( 5 ) โลกมันแคบ

“ว่าแต่คุณปู่ครับ ทำไมจู่ๆอารองถึงถูกสั่งย้ายล่ะครับ” จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย

ผู้อาวุโสจี้หัวเราะและพูดว่า “ในฐานะนักการเมือง อย่าจำกัดสายตาไว้แค่เมืองเดียวและที่เดียว แต่ต้องรู้จักมองโลกให้กว้าง นี่คือความคิดพื้นฐานที่เจ้าควรมีเจ้าลิงน้อย และเจ้าควรจะจำเอาไว้ด้วยว่า การได้หรือเสียเพียงชั่วคราวนั้นไม่มีค่าอะไรเลย สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าการได้หรือเสียชั่วคราวนี้ สามารถแลกกับผลประโยชน์ในระยะยาวได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือทำอย่างอื่นก็ตาม ทุกอาชีพควรอยู่บนพื้นฐานนี้ คือต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล จะมองดูอะไรต้องมองดูยาวๆ...”

จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและพยายามซึมซับสิ่งที่ปู่ของเขาพูด แม้จะยังไม่สามารถเข้าใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าคุณปู่กำลังบอกเขาว่าอย่าสนใจผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากเกินไป

“คุณปู่ครับ ตระกูลอู๋กับตระกูลเรา เคยมีความขัดแย้งกันหรือเปล่าครับ?” จี้เฟิงถามอีกครั้ง “ผมเคยได้ยินจากพี่รองว่าแนวทางของตระกูลอู๋นั้นขัดแย้งกับตระกูลเรามาก”

ผู้อาวุโสจี้โบกมือและกล่าวว่า “จะมีแนวทางเดียวกันหรือขัดแย้งกันก็เป็นเพียงทัศนคติ ตราบใดที่ไม่ได้มีเรื่องอาฆาตบาดหมางกันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้จะแตกต่างในเรื่องของแนวทางความคิด แต่ถ้าหากปลายทางของความต้องการนั้นสอดคล้องกัน มันก็สามัคคีกันได้ ไม่จำเป็นต้องแตกแยก...”

จี้เฟิงพยักหน้า ดูเหมือนว่าความกลมเกลียวจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าความต้องการของทั้งสองฝ่ายสอดคล้องกันหรือเปล่า

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของทั้งสองฝ่ายอยู่ที่ไหน และความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นลูกรุ่นหลานของสองตระกูลเสมอไป

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน พูดง่ายๆคือ การดำเนินการมักเริ่มจากความสนใจของตัวเองเป็นหลัก แต่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมด้วย

จี้เฟิงนั้นอยู่ในซื่อเหอหยวนกับคุณปู่ของเขาตลอดทั้งบ่าย

มันไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสเช่นนี้ คำสอนของผู้อาวุโสคือสิ่งมีค่าที่วัยรุ่นสมัยนี้มักมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ รู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสจี้เป็นทหารมาตลอดชีวิตของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มรับราชการ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานหรือการจัดการกับผู้คนในบริบทต่างๆ มันคือประสบการณ์ที่มีค่าอย่างยิ่งที่ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้

จี้เฟิงรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เขาขาดมากที่สุดในตอนนี้คือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของคนระดับสูง ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ วิธีการรับมือแบ่งรับแบ่งสู้ ใครไม่ถูกกับใคร ใครได้รับผลประโยชน์ร่วมกับใคร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จี้เฟิงต้องการศึกษา

ดังนั้นจี้เฟิงจึงถามคำถามมากมายและขอคำแนะนำอย่างจริงจัง ในช่วงไหนที่เขาพบปัญหาและรู้สึกไม่เข้าใจเขาก็ไม่คิดที่จะปิดบังหรือทำเป็นเข้าใจ เขาไม่อายที่จะถามออกไปตรงๆและขอคำแนะนำจากปู่ของเขา เกี่ยวกับเรื่องการโยกย้ายอย่างกะทันหันของอารองจี้เจิ้นกั๋ว ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจี้และตระกูลอู๋ เป็นต้น

สำหรับผู้อาวุโสจี้ สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่การถามคำถามของจี้เฟิงแต่กลัวว่าจะไม่ถามและไม่อยากเรียนรู้ และตอนนี้จี้เฟิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าคนเป็นปู่อย่างเขาเต็มใจที่จะสั่งสอนทั้งหมดเท่าที่จะทำได้

เพียงแค่ตอนที่ผู้อาวุโสจี้สั่งสอน เขายังคงให้ความสนใจของวิธีการมากกว่า เขาไม่ได้ตอบสิ่งที่จี้เฟิงถามมาโดยตรง แต่ปล่อยให้จี้เฟิงได้ค้นพบคำตอบและความจริงบางอย่างด้วยตัวเอง ด้วยวิธีนี้ จี้เฟิงจะได้รู้ถึงสาเหตุและเบื้องหลังของคำตอบเหล่านั้นว่ามันประกอบไปด้วยเจตนาอะไร

ตลอดช่วงบ่าย จี้เฟิงใช้เวลาไปกับการถามคำถามและคิด จนกระทั่งน้าหงมาเตือนเขาเบาๆว่าวันนี้ผู้อาวุโสจี้ยังไม่ได้พักผ่อน จี้เฟิงถึงเพิ่งจะรู้ตัวและหยุดถามคำถาม

ยังไงก็มีโอกาสแบบนี้อีกแน่นอนในอนาคต ตอนนี้เขาได้เรียนรู้ทฤษฎีเหล่านี้แล้ว แม้จะมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขานึกภาพไม่ออกและปะติดปะต่อกันไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาท้อถอยเลย ตรงกันข้าม มันยิ่งกลับทำให้เขาตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้ประสบกับมันด้วยตัวเอง และเมื่อรวมกับหลักการที่ปู่ของเขาสอน จี้เฟิงจะสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้เจอสิ่งต่างๆ เขาจะรู้ว่าเขาควรจะคิดอย่างไร มองจากมุมไหน และควรรับมืออย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด

ในเวลานี้ จี้ช่าวเหลย พี่ชายคนที่สองของเขาก็โทรมา และบอกจี้เฟิงว่าเขากำลังจะออกไป ดังนั้นจี้เฟิงจึงพาคุณปู่ไปพักผ่อนจากนั้นก็ขับรถออกมา

แม้ว่าจี้เฟิงจะออกมาจากซื่อเหอหยวนของผู้อาวุโสจี้มาแล้ว แต่เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับหลักการที่ปู่ของเขาสั่งสอนและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม แม้ว่าปู่ของเขาจะไม่ได้ให้คำอธิบายโดยละเอียดสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่จี้เฟิงก็สามารถเข้าใจอะไรได้อย่างมากมายจากคำสอนเหล่านี้

หากจี้เฟิงต้องการจะสำรวจหรือพิสูจน์สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในบ่ายวันนี้ เกรงว่าเขาคงจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้เรียนรู้อย่างแท้จริง แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดาแล้ว เกรงว่าจะไม่มีวันได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยตลอดชีวิต

เหตุผลง่ายๆ เพราะคนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่อยู่ในระดับบนเหล่านี้ และพวกเขาก็ไม่สนใจด้วย สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขาอยู่ดี

คนทั่วไปจะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจี้กับตระกูลอู๋ไปเพื่ออะไร? ไม่ต้องพูดถึงการโอนย้ายจี้เจิ้นกั๋วไปยังหนานเยว่ว่ามันมีความหมายอะไรแฝงอยู่หรือไม่? สิ่งที่พวกเขาสนใจคือการทำงานเพื่อหาเงิน การใช้เงินเพื่อยังชีพ และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต

ดังนั้นถึงคุณจะอยู่ในสังคม ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่ว่าลูกหลานตระกูลขุนนางพวกนั้นจะโง่เขลาแค่ไหน แต่ความรู้และวิสัยทัศน์ของพวกเขาก็กว้างและสูงกว่าคนทั่วไป!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พวกเขาสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างมากมายเพียงแค่นั่งฟัง

ตัวอย่างเช่น ลูกของนักธุรกิจ โดยปกติแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สนใจ แต่พวกเขาได้เห็นอยู่ทุกวันในสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาทำ ติดต่อกับใคร ทำอย่างไร ทำเวลาไหน และเมื่อถึงคราวที่พวกเขาต้องลงมือทำ พวกเขาก็สามารถทำได้อย่างเหมาะสม

ถึงแม้จะไม่เคยกินหมู แต่พวกเขาก็เคยเห็นหมูวิ่งอยู่ตลอด (คำกล่าว – หมายถึงคนที่ไม่มีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆเป็นการส่วนตัว แต่เคยได้ยิน ได้เห็น ดังนั้นจึงมีความเข้าใจอยู่บ้าง)

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไป หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเริ่มต้นที่ตรงไหน และนี่ก็คือช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่าย

ในทำนองเดียวกัน เด็กในฟาร์มที่เฝ้าดูพ่อแม่ของเขาปลูกพื้นผักผลไม้ตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีเพียงแค่ศึกษาเกี่ยวกับมันเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย แต่จะหวังให้คนในเมืองทำอาชีพนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมนั้น... เอาเป็นว่าแค่พวกเขาบอกความแตกต่างระหว่างกระเทียมกับข้าวบาร์เลย์ได้ก็ขอบคุณพระเจ้าแล้ว!

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเถียงได้ และต้องยอมรับ!

“มันยากที่ครอบครัวยากจนจะคลอดลูกออกมาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย “เว้นแต่คนใฝ่ดีบางคนที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก พรแสวงที่ต้องมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่โดดเด่นมิฉะนั้นการจะกำเนิดผู้มีอิทธิพลจากครอบครัวที่ต่ำต้อยก็เป็นเรื่องยาก!”

“เป็นโชคดีของฉันที่ได้รับการสั่งสอนโดยคุณปู่เป็นการส่วนตัว!” เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ จี้เฟิงแอบยกมือขึ้นมากำหมัดแน่น “ในเมื่อมีโอกาสเช่นนี้อยู่ตรงหน้า ฉันจะไม่คว้ามันไว้ได้อย่างไร!”

ด้วยทัศนคติที่ชอบเรียนรู้ของจี้เฟิง เขาได้รับปากกับพี่รองของเขาว่าเขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมสังสรรค์ในตอนเย็น อย่างน้อยการได้เห็นอะไรแบบนี้ด้วยตาของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

..........

เดอะเกรท วอล คลับเฮ้าส์ ตั้งอยู่บนถนนที่ค่อนข้างเจริญในหยานจิง ที่นี่เป็นคลับเฮ้าส์ระดับไฮเอนด์ อันที่จริงการที่จะสามารถตั้งคลับเฮ้าส์ในหยานจิงซึ่งที่ดินทุกตารางนิ้วมีราคาแพงได้นั้นมันต้องไม่ใช่คลับเฮ้าส์เกรดต่ำอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนมีเงินหรือมีฐานะจริงๆคงไม่มาที่นี่

เดอะเกรท วอล คลับเฮ้าส์แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นคลับเฮ้าส์ระดับไฮเอนด์ แต่เมื่อมองดูจากภายนอก มันก็ไม่ได้แตกต่างจากคลับเฮ้าส์อื่นๆมากนัก แต่ทันทีที่จี้เฟิงเข้าไปด้านใน เขาก็มองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าการตกแต่งภายในนั้นหรูหราเพียงใด

รูปลักษณ์ภายนอกที่ธรรมดา แต่ภายในประดับประดาอย่างหรูหราและใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงได้กลายเป็นกระแสนิยมไปแล้ว

“น้องสาม การชุมนุมสังสรรค์จะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง หาที่นั่งแล้วสั่งอะไรมากินกันก่อนดีกว่า” จี้ช่าวเหลยพาจี้เฟิงไปยังห้องอาหารกึ่งเปิดที่ชั้น 1 แล้วสั่งอาหารสองสามอย่างกับพนักงาน “ไม่ว่าจะงานชุมนุมหรือปาร์ตี้ การหาอะไรกินรองท้องไว้ก่อนถือเป็นเรื่องดี ถึงในงานจะมีของกินแต่คงกินไม่สะดวกเท่าไหร่!”

จี้เฟิงหัวเราะและพูดว่า “สมแล้วที่เป็นคุณชายช่าวเหลย มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้มากจริงๆ!”

“ทำยังไงได้ล่ะ นี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ในฐานะประธานบริษัทเจียนอันกรุ๊ป ฉันต้องติดต่อกับคนอื่นๆอยู่ตลอด การมีส่วนร่วมในงานปาร์ตี้และงานชุมนุมต่างๆเป็นสิ่งที่จำเป็น” จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม “จริงๆแล้วทุกวันนี้ รูปแบบการสื่อสารแบบนี้มันกลายเป็นเทรนด์ไปแล้ว ใครๆก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ถ้าอยากอยู่ในแวดวงก็ต้องตามน้ำตามกระแสไป จะทำตัวโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เกินไปก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย สิ่งที่พี่รองพูดมามีเหตุผลมาก

เมื่อคุณเข้าสู่แวดวงหนึ่ง คนอื่นจะไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร เพราะทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎ แม้ว่าคุณจะเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่อย่าคิดที่จะทำอะไรตามใจหรือใช้อำนาจของตนครอบงำผู้อื่น อย่างมาก พวกเขาอาจจะยอมคุณครั้งหรือสองครั้ง แต่ถ้ามากเกินไป พวกเขาก็จะตีตัวออกห่างจากคุณไปโดยปริยาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะถูกบีบออกจากกลุ่ม แต่ถ้าวันใดที่คุณต้องการพูดคุยเรื่องการร่วมมือกับผู้อื่น พวกเขาจะไม่สนใจแม้แต่จะฟังก็คงทำอะไรไม่ได้ และเมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ก็คิดเอาเอง

จุดประสงค์ของการมาร่วมงานแบบนี้ก็เพื่อหาเงินหรือผลประโยชน์ ไม่มีใครให้อะไรใครเปล่าๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในโลกนี้คนดีที่เหมือนแม่พระมาโปรดนั้นหาตัวจับได้ยากมากจริงๆ!

และยิ่งคนที่มีประสบการณ์มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งระแวดระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น และจะไม่มีใครร่วมมือกับคุณง่ายๆ ดังนั้นการเปิดเผยตัวตนในแวดวงนี้หรือการอวดอ้างความยิ่งใหญ่ของตัวเองเป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างยิ่ง

คนที่ไม่เล่นเกมตามกติกาอย่างไร้สามัญสำนึกมักจะเป็นที่รังเกียจของทุกคน

“น้องสาม! วันนี้ฉันโทรไปที่บริษัทต้าหัวมาแล้ว แต่ตอนนี้ฉันคิดว่ามันน่าจะมีปัญหานิดหน่อย” ใบหน้าของจี้ช่าวเหลยน่าเกลียดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะตกใจ “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”

ก่อนหน้านี้ดูเหมือนพี่รองจะบอกว่าบริษัทต้าหัวไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล และเขาก็จะจัดการกับสองคนนั้นเอง แต่ทำไมตอนนี้กลับมีปัญหา?

“ยังไม่ชัดเจน พอดีตอนบ่ายฉันก็วุ่นๆอยู่กับเตรียมเอกสารของบริษัท แต่ก่อนหน้านั้นฉันโทรไปบริษัทต้าหัวแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อกลับ ฉันเลยคิดว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติ” จี้ช่าวเหลยกล่าว

ในขณะนั้นเอง จี้เฟิงก็เห็นคนหนุ่มสาวสามสี่คนเดินเข้ามาจากประตู สำหรับชายหนุ่มและหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างหน้าจี้เฟิงไม่รู้จัก แต่คนที่ทำให้จี้เฟิงต้องหันมองคือชายหนุ่มสองคนที่เดินอยู่ข้างหลัง

ชายหนุ่มสองคนนี้คือชายผมเหลืองและชายผมแดงที่มีปัญหาขัดแย้งกับเขาบนถนนหลัก

แต่สิ่งสำคัญคือในขณะที่พวกเขาเดินไปตามทาง ผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้ๆ กล่าวทักทายสองคนที่เดินอยู่ข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่าสถานะของพวกเขาสองคนต้องไม่ธรรมดา

“พี่รองพูดถูกแล้วล่ะ!” จี้เฟิงหัวเราะ

“ห๊ะ?!” จี้ช่าวเหลยงง

จี้เฟิงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันเบาๆและพูดว่า “ผมว่าพวกเขาคงจะมีแบคดี... เฮ้อ~! โลกมันแคบจริงจริ๊ง!”

“แบคดี? อะไรใครมีแบคดี?” จี้ช่าวเหลยชะโงกหน้าออกมาจากห้องอาหารกึ่งเปิดเพื่อมองออกไปข้างนอก “อู๋จื้อเหอ?”

จี้ช่าวเหลยเอนตัวออกมาจากโต๊ะอาหารที่มีพาติชั่นกั้นและมองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินมาตามทางเขาก็ขมวดคิ้วทันที “อู๋จื้อเหอ?”

จี้เฟิงผงะเล็กน้อย “ใคร?”

“คนจากตระกูลอู๋!” จี้ช่าวเหลยตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะหงุดหงิดเล็กน้อย

.....จบบทที่ 884 ~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด