ตอนที่แล้วตอนที่ 686 ตอบโต้ตอนใกล้ตาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 688 เผชิญหน้ายอดฝีมือ

ตอนที่ 687 แสงฤดูหนาว


ในระยะห่างออกไป หลาวแสงขนาดยักษ์แทงใส่อกของเจโรม

อาหลุนและเฉินจื่อหลินยังคงเงียบขณะที่พวกเขาจ้องมองดูการสู้รบอย่างตั้งใจจนได้ผลสรุป

ข้างๆ พวกเขา หน้าของแบร็ดลี่ย์ซีดขาวตลอดทั้งตัวสั่นเทิ้มและหลั่งน้ำตาเต็มหน้า

กองพลภูผาน้ำแข็งที่กำลังปกป้องเซรีนขณะที่พวกเขาออกจากกลุ่มดาววัวได้พบกับหน่วยสังเกตการณ์ของเจโรมและรีบไปดูทันที  เมื่อพวกเขาเห็นการต่อสู้  ก็ได้ผลสรุปไปแล้วและพวกเขาอยู่ห่างจากสนามรบยี่สิบลี้ และเป็นขีดจำกัดของการดูการต่อสู้ได้ดี

พื้นที่เต็มไปด้วยซากศพ ต่อหน้ากองพลเลือดเซียน กองพลเขากระทิงอ่อนแอราวกับทารก

“พวกนั้นคืออาวุธพลังสายเลือด!” เฉินจื่อหลินพูดเสียงไม่สบายใจ จากสำนักข่าววิทยายุทธอมตะ เขาเชี่ยวชาญและรอบรู้ และสามารถมองเห็นเบื้องหลังของสัตว์ประหลาดสีขาวได้

“อาวุธพลังสายเลือด!”  อาหลุนสั่น  “สมาพันธ์ชาวยุทธไปได้อาวุธพลังสายเลือดมายังไง?”

การมีอยู่ของอาวุธพลังสายเลือดไม่ใช่ความลับสำหรับกองพลจักรกล ครั้งหนึ่งท่านปิงก็เคยประเมินค่าเอาไว้สูงและนำมาเป็นศัตรูตัวอย่างในชั้นเรียน แต่ไม่มีใครเคยเห็นอาวุธพลังสายเลือดที่แท้จริงมาก่อน  ดังนั้นเมื่ออาหลุนตระหนักว่าสัตว์ประหลาดสีขาวเหล่านั้นคืออาวุธพลังสายเลือด เขาจึงตกใจ

อาหลุนขมวดคิ้ว “อาวุธพลังสายเลือดของสมาพันธ์ชาวยุทธทรงพลังมากกว่าที่นายท่านพูดไว้เหมือนกับว่านั่นเป็นอาวุธลับของพวกเขา”

“จ้าววานรหิมะระดับเก้า”  เฉินจื่อหลินพูดอย่างเฉยเมย  “แค่ด้วยพลังของมันล้วนๆก็สามารถสู้กับนักสู้ระดับทองได้แล้ว ดูแสงสีขาวสินั่นคือรัศมีที่สร้างขึ้นมาด้วยการสะท้อนของพลังปราณแท้ของนักสู้สมาพันธ์ชาวยุทธ  วิทยายุทธของสมาพันธ์ชาวยุทธวิชาจิตวิญญาณล้วนทรงพลังมาก มันน่าจะถูกถ่ายเทมาจากพลังสายเลือดเฉพาะบางอย่าง  คู่ต่อสู้ของเราปรากฏตัวแล้ว”

อาหลุนเข้าใจประโยคสุดท้ายของเฉินจื่อหลิน  จากเริ่มแรก กองทัพจักรกลไม่เคยมีศัตรู  ในวงการวิชาจักรกลไม่มีสถานที่ใดสามารถต่อต้านเมืองสามวิญญาณได้  ตระกูลอื่นที่ผลิตอาวุธจักรกลวิญญาณ อย่างน้อยยังห่างจากพวกเขาสองชั่วคน

ในวงการวิชาจักรกล พวกเขามักจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ ไม่มีฝ่ายตรงข้ามที่น่าเกรงขามในสายตาของพวกเขา

ศัตรูเก่าของพวกเขาก็ปรากฏในที่สุด  อาวุธพลังสายเลือดถูกเข็นออกมาโดยสมาพันธ์ชาวยุทธมีทั้งพลังและความแข็งแกร่ง

“ดีมาก” อาหลุนพูดแค่สองคำ จากนั้นหมุนตัวและจากไป

แบร็ดลี่ย์กำหมัดแน่น เส้นเลือดของเขาปูดออกมาตามผิว  ทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้มมากขึ้น  น้ำตายังคงไหล สหายของเขาตายในสนามรบ เป็นเรื่องโหดร้ายจริงๆ  แบร็ดลี่ย์ต้องการจะเช็ดน้ำตา  แต่ไม่ว่าเขาพยายามมากเพียงไหน  ภาพก็มักจะเลือนลางเพราะสายน้ำตาบดบัง  เขาคือเจ้าชายแห่งกลุ่มดาววัว  และแบกความหวังของบ้านเกิดไว้บนหลัง เขาต้องการจะแข็งแกร่งและไม่ยอมเป็นรองจากผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งในอดีต  แต่ทำไม...

‘ทำไมถึงมีคนที่ยินดีจะทุ่มชีวิตให้กลุ่มดาวที่ผิดพลาดและสิ้นหวังอย่างนี้ด้วย?’

“พวกเจ้า...จะเป็นเหมือนเจโรมทุกคนไหม?”

เพราะเหตุผลบางอย่าง แบร็ดลี่ย์ถาม

อาหลุนหยุด หน้าของเขาดูเหมือนจะภูมิใจ  “เป็นอย่างเขาน่ะหรือ? ไม่!  เราไม่เหมือนพวกเจ้า  ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกเราจากแนวหน้าของกลุ่มดาวหมีใหญ่จนถึงวังของเรา  ทุกตารางนิ้วและหญ้าทุกต้นจะกลายเป็นสนามรบ  กลายเป็นสถานที่ๆเราใช้ฝังกระดูกและกลายเป็นแผ่นดินแห่งความตาย ประชาชนชาวหมาป่าทุกคนไม่ว่าหญิง ชาย เด็กหรือคนแก่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าพวกเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ก็จะวิ่งเข้าสนามรบและสู้จนตัวตาย”

เฉินจื่อหลินมองดูเขาและพูดอย่างเย็นชา  “ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น สำนักกระเรียน,มังกรและสำนักยุทธอมตะคงไม่สบายใจกันหมดแน่”

“ก็อาจจะ” อาหลุนพูดอย่างเฉยเมย แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจ เขาไม่คิดว่าความภักดีของคนอื่นจะเทียบได้กับประชาชนชาวหมาป่า  แต่เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบการทะเลาะ

เมื่อเขาเห็นแบร็ดลี่ย์กำลังร้องไห้  เขาพูดแค่เพียงประโยคเดียว  “ล้างแค้นให้พวกเขา”

สายตาของเซรีนมองดูกองพลเลือดเซียนในระยะห่าง  นัยน์ตาของนางตื่นเต้นเหลือเชื่อ

‘ในที่สุดเราก็ได้คู่ต่อสู้ที่คู่ควร?’

‘นั่นช่างน่าตื่นเต้น’

****************

ซานเหม่าไม่ได้ใช้ค้อนแสง แต่ใช้หอกแสงแทงอกของเจโรม

เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรจะปล่อยร่างไว้ให้ครบแม้ว่าจะตายก็ตาม

“พวกเจ้าน่าจะเป็นทหารกล้าชุดสุดท้ายของกลุ่มดาววัวแล้ว”

พูดเพียงแค่นั้น เขาหันหลังและปล่อยร่างที่ปราศจากชีวิตของเจโรมไว้

หลิวย่าจือจ้องมองซานเหม่าด้วยท่าทีไม่พอใจ  เขาโวยวายด้วยเสียงที่ยากจำแนกโกรธเหมือนกับอสรพิษ “ไม่เพียงแต่เราไม่สามารถโค่นพวกเขาในการโจมตีครั้งเดียวไม่ได้เท่านั้นเราฆ่าพวกเขาได้เพียงหกคน!”

“พวกเขามีเซียน”  ซานเหม่าตะโกนเสียงดัง  “เลิกสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เสียที ดูเราทำลายทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของดาววัวได้แล้ว ตอนนี้พวกเขากลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”

“มีศัตรู!”  ทันใดนั้นหน่วยสังเกตการณ์คนหนึ่งชี้ไปที่ไกลๆ“นั่นไง!”

หลิวย่าจือตาเป็นประกาย “นั่นเซรีนไม่ใช่หรือ?  จับนาง!”

ซานเหม่าห้ามเขา “เรายังไปยุ่งกับกลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ได้ในตอนนี้”

“นั่นคือเซรีน!  ตราบใดที่เราจับนางได้,กลุ่มดาวหมีใหญ่ก็จบกัน ไม่มีใครอื่นจะสามารถต่อต้านเราในเรื่องอาวุธจักรกล  นางมีค่ามากกว่ากลุ่มดาววัวเสียอีก!” หลิวย่าจือตื่นเต้นจนหน้าบิดเบี้ยว

“แต่นี่จะมีผลต่อแผนการของกลุ่มดาวกวงหมิงของนายท่าน”  ซานเหม่าไม่ยอมลดราวาศอกเหมือนกัน  “ถ้าเจ้าแตะต้องเซรีน  กลุ่มดาวหมีใหญ่จะไม่ยอมหยุดสู้กับเราและเราจะต้องเริ่มสงครามทันที พวกเขาแข็งแกร่งมากกว่ากลุ่มดาววัวนะ!”

หลิวย่าจือจ้องมองจนตาแดงและพูดอย่างชิงชัง“เจ้าจะต่อต้านข้าหรือ?”

“เพื่อให้ตัวเจ้าเองได้ดี”ซานเหม่าพูดไม่แยแส “นายท่านจะไม่ยอมให้ใครทำให้เขาแผนเสีย ไม่ว่าใครก็ตาม”

ทั้งสองจ้องมองกัน บรรยากาศตึงเครียด

หลิวย่าจือย่นหน้าผาก ตาของเขาจ้องมองอย่างดุดัน แต่เขาพูดด้วยความโกรธและไม่พอใจ “ตอนนี้เราจะปล่อยนางไปก่อน แต่ครั้งต่อไปเจ้าบังอาจค้านข้า ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”

“สบายใจได้, ข้าละเกลียดนักกับการตามเช็ดล้างเรื่องคนอื่น”

ซานเหม่าพูดอย่างเฉื่อยชา ทันใดนั้นเขาเงยหน้า  ชั้นแสงบางๆฉายขึ้นในท้องฟ้า

กระตุ้นเมืองสมบัติ!

บนเส้นทางกรวดในที่ไกล แสงม่านพลังหนาแน่นก่อตัวขึ้น

ซานเหม่าไม่สนใจและออกคำสั่ง  “ให้แจ้งไปที่เมืองว่ามีเวลาครึ่งชั่วโมงให้ยอมแพ้  ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ได้รับการไว้ชีวิต”

กองพลเลือดเซียนเคลื่อนพลไปข้างหน้าด้วยแนวโน้มที่ทรงพลังมุ่งหน้าสู่เมืองแซนดี

สิบนาทีต่อมาเมืองแซนดี้ที่ปลดปล่อยแสงม่านพลังก็ยอมแพ้ต่อกองพลเลือดเซียน

โอวหยางซือและจั่วเยี่ยนหยุด  พวกเขาเงยหน้ามองแสงเจิดจ้าที่คลุมท้องฟ้ายามราตรีของเมืองแอรีส เมืองโบราณที่มีอายุมานานแล้วกำลังมอดไหม้ในสงคราม

ทุกคนกำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด

แม้ว่าตาของพวกเขาจะแดง แต่พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงร้อง

โอวหยางซือตะโกน “คงมีสักวันที่เราจะต้องชิงดาวกลับคืนมาอีกครั้ง!”

จั่วเยี่ยนยังคงใจเย็น “เราจำเป็นต้องฉวยโอกาสขณะที่ยังอยู่ในความวุ่นวายออกจากกลุ่มดาวแกะ  ข้าไม่เชื่อว่าท่านหลิงซิ่วจะไม่ทำอะไรขณะที่มองดูสมาพันธ์ชาวยุทธช่วงชิงกลุ่มดาวแกะไป”

คำพูดของจั่วเยี่ยนทำให้ทุกคนมีประกายแห่งความหวัง ทหารทุกคนที่กำลังหนักแน่นและบาดเจ็บไม่มากต่างประคับประคองกันและกัน  พวกเขาหายไปในเวลากลางคืน

เพื่อฟื้นคืนกองกำลังแกะน้ำแข็ง ทั้งสองคนได้ลอบกลับมากลุ่มดาวแกะและพบผู้เยาว์หลายคนที่มีความเชื่อและแนวคิดเหมือนกัน เมื่อกลุ่มดาวแกะล่มสลายในเงื้อมมือของสมาพันธ์ชาวยุทธ  พวกเขากังวลและรู้ว่ากลุ่มดาวแกะอ่อนแอขณะที่กองกำลังกวางขนดำพังทลายสิ้นเชิง

สมาพันธ์ชาวยุทธมาเร็วมากกว่าที่พวกเขาคาด

แม้ว่าพวกเขามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งก็ตาม  แต่พวกเขาไม่แข็งแกร่งและไม่มีการร่วมมือกันเผชิญหน้ากับสมาพันธ์ชาวยุทธ  พวกเขาจนใจอย่างทำอะไรไม่ได้  นอกจากนั้นโอวหยางซือและจั่วเยี่ยนได้แต่พาคนกลุ่มหนึ่งออกไปจากกลุ่มดาวแกะภายใต้ความยุ่งเหยิงกลับมายังกลุ่มดาวหมีใหญ่

********************

ฌอนสังเกตดูวังแอรีสตกอยู่ในท่ามกลางเพลิงและถอนหายใจอย่างเสียใจ  ชีวิตมนุษย์ช่างไม่แน่นอนจริงๆ

เขาใช้ความพยายามนับไม่ถ้วนอย่างระมัดระวังและต่อเนื่องในที่สุดก็ได้ตำแหน่งของหัวหน้าสาขาทองที่สิบ ในเวลานั้นเขายังอายุเยาว์และมั่นคงมีความทะเยอทะยานมาก ต้องการจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ เขาสร้างกองพลใบไม้แดงและพยายามรักษาพื้นที่ของตัวเองให้โจนรับตำแหน่งผู้บัญชาการ  หลังจากนั้นเขาใช้เวลาสร้างวิชาลับ ‘แสงใบไม้ร่วง’ ทำให้นักสู้ระดับทองมีศักยภาพไม่มีขีดจำกัด

ในพริบตาเดียวโจนตาย และกองพลที่สิบถูกทำลายสิ้นเชิง

เขาเป็นเหมือนตกนรกโดยตรง ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นนายทหารผู้ช่วยของเขา สมาชิกส่วนใหญ่ของสาขาทองที่สิบไม่มีใครรอด  และเมื่อเขาคิดว่าชีวิตของเขาจบ  ผู้อาวุโสอันก็ช่วยเขาไว้

เพื่อป้องกันไม่ให้พูดมากผู้อาวุโสอันหวังว่าเขาจะอยู่เงียบๆ สักช่วงเวลาหนึ่ง

จากนั้นฌอนถูกส่งไปอยู่ที่ภูเขาไกลออกไปซึ่งเขาได้พบกับนายทหารผู้ช่วยเก่าของเขาและสมาชิกหลักของสาขาทองที่สิบ  พวกเขาทุกคนได้รับภารกิจเดียวกันคือให้ดำเนินการค้นคว้าและเสริมกำลังของกองพลแสงใบไม้ร่วงต่อไป

และวัตถุสำหรับทดลองก็คือนักสู้ระดับทอง

ผู้อาวุโสอันขอร้องให้พวกเขาใช้แสงใบไม้ร่วงเพื่อทำให้นักสู้ระดับทองก้าวเข้าเป็นนักสู้ระดับเซียนให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้

คำขอนี้ที่ขัดกับสามัญสำนึกทั่วไปนี้ทำให้ฌอนและพวกมองเห็นความหวัง พวกเขาหมกมุ่นตัวเองอย่างหลงใหลและเต็มความสามารถ และในที่สุดก็สร้างแสงฤดูหนาวขึ้นมาซึ่งแข็งแกร่งกว่าแสงฤดูใบไม้ร่วงมาก

มันสามารถทำให้แอ่งตันเถียนของนักสู้ระดับทองเปลี่ยนแปลงและสร้างสภาวะที่พิเศษคล้ายกับสนามพลังวิญญาณและจากนั้นทำให้พวกเขาได้เข้าใจวิชาจิตวิญญาณบางอย่าง

ทางลัดทั้งหมดจำเป็นต้องมีราคาตอบแทน  และแสงฤดูหนาวก็ไม่ได้ยกเว้น  มันทำให้แอ่งตันเถียนเปลี่ยนไปและโครงสร้างปราณแท้ที่มั่นคงแต่เดิมจะถูกทำลายกลายเป็นความอ่อนไหวต่อการถูกกลืนกินอย่างมาก เพื่อควบคุมการถูกกลืนกิน  ฌอนไม่มีทางเลือกได้แต่สร้างยาทำไปตามอาการซึ่งก็มีประโยชน์หลายอย่าง

นอกจากนี้ ‘สนามพลังวิญญาณฤดูหนาว’ ไม่ใช่สนามพลังวิญญาณที่แท้จริง จึงไม่สามารถทนต่อการสู้รบยาวนานในด้านหนึ่ง เป็นเพราะโครงสร้างของมันไม่มั่นคงพอ อีกอย่างหนึ่งพลังปราณแท้ของนักสู้ระดับทองไม่สามารถสนับสนุนวิชาจิตวิญญาณได้  และเมือพลังปราณแท้ไม่พอก็จะเผาผลาญพลังชีวิตของนักสู้  ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาผ่านการต่อสู้รุนแรงนักสู้จะอ่อนแออย่างมาก

แต่ความอ่อนแอนี้ไม่มีผลต่อพลังของกองพลฤดูหนาว

กองพลเซียนที่ถูกสร้างขึ้นมาสวรรค์วิถีไม่ได้เห็นมานานเท่าใดแล้ว?

แม้ว่าพวกเขาจะโผล่ออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ  แต่พลังของกองพลฤดูหนาวก็น่ากลัวมาก

โจมตีกลุ่มดาวแกะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากมาย ก็แค่ส่งหน่วยเล็กๆ ไปพวกเขาก็ตัดสินผลการรบได้แล้ว

ไม่มีข้อสงสัย แม้ว่ากองพลฤดูหนาวจะถูกสร้างขึ้นมาแบบผิดทำนองคลองธรรม แต่ก็ยังเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน

แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เมื่อได้เห็นกลุ่มดาวแกะตกอยู่ในเปลวเพลิงฌอนไม่รู้สึกมีความสุขเลย  แต่กลับมีอารมณ์ความรู้สึกแทน กองพลแกะน้ำแข็งครั้งหนึ่งเคยกวาดไปทั่วสวรรค์วิถี แต่ใครจะรู้ว่าวังแอรีสจะถูกทำลายด้วยไฟสงครามเล่า?

‘ข้าว่านี่ก็หมายความว่าข้าได้สร้างผลกระทบในประวัติศาสตร์สวรรค์วิถีเสียแล้ว’

ฌอนเยาะเย้ยตนเอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด