ตอนที่แล้วตอนที่ 673 สามก้าวโจมตี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 675 ก้าวย่างใหม่

ตอนที่ 674 คำขอของแบร็ดลี่ย์


พลังโจมตีที่สลายไปโดยฝีมือเฉินจื่อหลินเข้าไปในร่างของอาหลุน แต่ไม่สามารถกระตุ้นทำอะไรกับบุรุษเหล็กได้

เขายังคงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นทำเป็นเหมือนไม่สนใจอะไร  เพราะความคงอยู่ของเฉินจื่อหลิน เขาสามารถทดสอบถึงพลังรุกที่อันตรายและทรงพลังได้ซึ่งใช้สร้างวิชาสามก้าวโจมตี  เขาไว้วางใจเฉินจื่อหลิน ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงกันในระดับที่ลึกซึ้งมาก  อาหลุนผู้ไม่มีความกลัวเป็นเหมือนสัตว์ร้าย  มีความกล้าหาญอดทนของชาวกลุ่มดาวหมาป่าสามารถแสดงความสามารถออกมาได้อย่างโชกโชน

อาหลุนสังเกตเห็นศัตรูยุ่งเหยิงอยู่หน้าเขา  เขายังคงตั้งท่าระมัดระวังของเขาเอาไว้  ขณะที่ทหารของเขา  ยังตั้งท่ารุกเอาไว้เพียงเพื่อกดดันอีกฝ่าย

แม้ว่าสีหน้าของแม่ทัพอีกฝ่ายจะเริ่มคลายอาการตกใจได้ แต่ทหารก็ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและมึนชา  แสดงให้เห็นว่ากองพลนี้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว

แต่อาหลุนไม่ผ่อนคลายลงเพราะใบหน้าของพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่อยู่ในดินแดนพวกเขา เขาคงถือโอกาสฆ่าและกวาดล้างกำจัดอันตรายที่เป็นไปได้ออกไป

ตาของอาหลุนสงบราบเรียบลึกยากจะหยั่ง  แม้จะเสี่ยงโจมตีอย่างนั้น  แต่ไม่มีระลอกแววแม้แต่น้อย

นี่คืออาหลุน

อดทนและไม่กลัวตาย กล้าหาญและสงบเป็นคุณสมบัติของขุนพลผู้ยิ่งใหญ่

หน้าของเจโรมซีดขาว มือของเขาอ่อนสภาพอารมณ์ที่ศัตรูแสดงออกมาต่อหน้าทำให้เขากลัวต่อการสู้รบ  เขาไม่สามารถเรียกความกล้าใดๆ ออกมาต่อต้านพวกเขา  ทันใดนั้นเขาเต็มไปด้วยความละอายและพ่ายแพ้ภายใต้การโจมตีของกองทัพไร้ชื่อ ได้สร้างความสับสนและพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกสูญเสียและไม่รู้จะทำยังไง

ไม่มีใครพูดอะไร นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก  ทั่วทั้งสถานที่เงียบมีแต่เสียงลมพัดสลายความร้อนที่พุ่งทะยานจากทหารภูผาน้ำแข็ง

พวกเขาเป็นสีเงินเหมือนกัน  แต่พวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแสงที่เฉิดฉายนั้นทำให้ชาวกลุ่มดาววัวรู้สึกเจ็บปวดในแววตา  พวกเขาต้องการหลับตา  แต่ฉากภาพข้างหน้าดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดพวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  จึงได้แต่ทนดู

พวกเขาพ่ายแพ้ หวาดกลัว ถูกความตกใจครอบงำในความมึนงง ในความผิดหวัง สีหน้าของพวกเขาซบเซา ริมฝีปากสั่น แม้แต่สิบเซียนที่ป้องกันพลังสามก้าวโจมตีก็ยังพูดไม่ออกในตอนนี้  มือของพวกเขาสั่นไม่หยุด

ทันใดนั้น ครืน ครืน

เสียงฝีเท้าดังขึ้นทำลายความเงียบ

เป็นเสียงสีเท้าจากร่างที่สูงใหญสวมชุดสีเงินเยือกเย็นก้าวเท้าออกมาข้างหน้า

แต่ก่อนที่ทหารจะฟื้นจากอาการตกใจ  ตายของเจโรมที่สูญเสียการมองการณ์ไกลค่อยกลับมีความรู้สึกอีกครั้ง

อาหลุนหยุดห่างจากอีกฝ่ายหนึ่ง 30 เมตร ซวบ..ดาบเงินใหญ่แทงลงไปที่พื้น

นี่คือ...

หัวใจเจโรมสั่นสะท้าน

มือที่ถือดาบยักษ์เงินสั่นสะท้าน ชี่...รังสีคมดาบตัดผ่านพื้นเหมือนกับตัดกระดาษเป็นเส้นยืดออกมาในระยะไกล

รอยดาบถูกหยุดกันเอาไว้ที่หน้ากองกำลังเขากระทิง

“ใครก็ตามที่กล้าทำตัวเป็นทูตจะถูกสังหาร!”

อาหลุนเปล่งคำพูด และหันหลังกลับเข้ากองกำลังของตนโดยไม่มองเจโรม

เลือดขึ้นหน้าเจโรม หน้าของเขาแดงก่ำจนเลือดแทบทะลุออกมาตามรูขุมขน เขากำหมัดแน่นสั่นไปทั้งตัว เส้นที่ขีดนี้เหมือนกับแทงเข้าไปในใจของเขา  นี่เป็นคำเตือนไม่ให้ก้าวล้ำเส้นเข้ามา

‘แต่ว่า..นี่คือกลุ่มดาววัว  นี่คือแผ่นดินของเรา’

คนกลุ่มดาววัวอารมณ์รุนแรงเหมือนภูเขาไฟ  พวกเขาโกรธและเริ่มตะโกนเสียงดัง  บางคนก็พูดว่านี่เป็นการแสดงให้อาหลุนและพวกดู

หน้าของแบร็ดลี่ย์เขียวคล้ำ  ขณะที่พยายามหาเซรีน  ครั้งนี้เซรีนไม่ได้ปฏิเสธเขา

“การที่ฝ่ายเจ้าทำแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าพวกเจ้ากำลังยั่วยุเรา!”  แบร็ดลี่ย์จ้องมองเซรีน เสียงของเขาเย็นชา

“อย่างนั้นหรือ?”  เซรีนตอบอย่างอ่อนโยน  “พวกเขาแค่มีปฏิกิริยาสนองตอบ  ปกป้องความปลอดภัยของข้า  แค่นี้มีปัญหาด้วยหรือ? ความจริงเป็นทหารฝ่ายขุนนางของท่านที่เริ่มบุกใส่เราอย่างต่อเนื่องจนดูเหมือนจะแสดงควมเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา”

“พวกเขาแค่คิดจะวิ่งเข้ามาต้อนรับฝ่ายเจ้า  แต่ก็ยังพบกับการโจมตีจากเจ้า นอกจากนี้ที่นี่คือกลุ่มดาววัว!”  แบร็ดลี่ย์พูดอย่างมีอารมณ์  “ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราต้องขอความเห็นจากพวกเจ้าด้วยหรือ?”

“ท่านเข้าใจผิดไปอย่างหนึ่ง,  ที่นี่คือกลุ่มดาววัวก็จริง  แต่เดี๋ยวนี้เล่า”  เซรีนตอบอย่างเกียจคร้าน  “ด้วยสภาพการณ์ในปัจจุบันแล้ว อาจเป็นเรื่องยากที่จะยึดครองเอาไว้ได้ในอีกสองสามปี”

แบร็ดลี่ย์โกรธจนหัวเราะออกมา  “โอว,หรือว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่ต้องการจะฝังกรงเล็บกลุ่มดาววัวของข้าด้วย?  คุณหนูเซรีนเจ้าเป็นอาคันตุกะของเรา  แต่เราก็มีความอดทนจำกัด...”

“เป็นฝ่ายท่านที่ขอให้ข้ามานะ”  เซรีนขัดจังหวะคำพูดของเขา,  นางมองดูเขาและยิ้มเยาะเย้ย  “ท่านต้องการให้ข้าไปตอนนี้เลยไหม?  ก็ดีแล้ว เวลาของข้ามีน้อย ข้ายังมีงานทดลองอยู่อีกหลายอย่าง  ถ้ากลุ่มดาววัวไม่ต้อนรับข้า,  ข้าจะออกไปเดี๋ยว ทุกคนจะได้ไม่เสียเวลา”

แบร็ดลี่ย์สะอึก

“โธ่เว้ย!’

เขารู้สึกเหมือนมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ในอก เขารู้เนื้อหาของการประนีประนอมที่ทำขึ้นซึ่งในขณะนั้นเป็นเหมือนเปลวไฟที่ลามเลียอยู่ในหัวใจของเขา

ตาของเซรีนกลายเป็นเย็นชาทันทีและพูดอย่างเฉื่อยชา “ไม่ว่ากลุ่มดาววัวจะเป็นหรือตาย ข้าจะเกี่ยวข้องอะไรด้วย?  ไม่ต้องเริ่มต้นที่ตระกูลอีวานก็ได้  ข้าไม่ได้มาหาเรื่องลำบากใจอะไรให้พวกเขา  พวกเขาก็ควรจะขอบคุณข้าแล้ว ถ้าท่านยังคงจะหมกมุ่นอยู่กับยุคของบรรพบุรุษของท่าน  อย่างนั้นเราคงไม่มีอะไรต้องคุยกัน บ้านที่พังไปแล้วก็ปล่อยให้พังสลายไปเถอะ อย่าได้ทำให้ข้าเสียเวลาอีกเลย”

‘บ้านพังทลายก็ปล่อยให้สลายไปหรือ...’

ปากของแบร็ดลี่ย์รู้สึกขมขื่นมาก  เขาต้องการขึ้นเสียงปฏิเสธอีกฝ่าย  แต่เมื่อมีคำเป็นหมื่นคำมาถึงที่คอของเขาดูเหมือนจะติดอะไรบางอย่างไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว

“นี่ควรจะเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านแล้วสินะ” เซรีนทำเหมือนกับว่านางไม่เห็นสีหน้าของแบร็ดลี่ย์  และพูดต่อ “เอาชนะได้ในท่าเดียว โอว, ข้าไม่ควรจะสบประมาทพวกเจ้ามากเกินไปบางทีพวกเจ้าสามารถสู้ได้อีกสองกระบวนสุดท้าย”คำพูดของเซรีนเป็นเหมือนกระบี่อาบยาพิษทิ่มแทงอกของแบร็ดลี่ย์

“เจ้ามาที่นี่แค่เพียงมาเยาะเย้ยถางถางเราใช่ไหม?” แบร็ดลี่ย์พูดเค้นเสียงรอดไรฟันด้วยสีหน้าที่แดงก่ำตาของเขาเป็นประกายด้วยความโกรธ

“เยาะเย้ยถากถางท่านน่ะหรือ?ไม่ ไม่ ไม่!” เซรีนยืนขึ้น นางยืนอยู่บนส่วนที่สูงที่สุดของยานโดยสาร มองมาด้วยสายตาดูถูก  “พวกท่านคู่ควรให้ข้าเยาะเย้ยหรือ?  พวกท่านไม่มีอะไรเลยมีแต่ผลาญสมบัติที่บรรพบุรุษของพวกท่านตกทอดไว้ พวกท่านทุกคนสวมใส่อาภรณ์ประดับกายตั้งหน้าตั้งตาโกหกตัวเองว่าพวกท่านหรูหรามั่งคั่งขนาดไหน คนแบบนั้นยังจะคู่ควรให้ข้าเยาะเย้ยถากถางอีกหรือ?”

หน้าของแบร็ดลี่ย์เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวก็เป็นสีแดง  ความหยาบคายที่เกิดในใจของเขาลดลง

‘พวกเขามาที่นี่เพื่อหยามเรา!!  พวกเขาไม่จริงใจแม้แต่น้อย!  ไม่จริงใจในการประนีประนอมไม่มีอะไรแลกเปลี่ยน ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เรามีแต่จะถูกพวกเขาหยามหยัน’

“ข้ามาที่กลุ่มดาววัวด้วยวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว

คำพูดของเซรีนทำให้แบร็ดลี่ย์ที่เตรียมจะเดินจากไปต้องหยุดฟัง

“ข้าแค่ต้องการเห็นกองพลทอรัสผู้มีศักดิ์ศรีและลือชื่อเหมือนในอดีต ถ้าพวกเขายังทิ้งหน่อเนื้อเชื้อไขไว้สักเล็กน้อย  และข้าจะไปหาความหวังฟื้นฟูพวกเขาได้จากที่ไหน?”

ตลอดทั้งร่างของแบร็ดลี่ย์สั่นสะท้าน,เขามองดูอย่างเหลือเชื่อ และพูดตะกุกตะกัก “กะ กองพล ทะ ทอรัส.. ฟื้นฟูกองพลทอรัส...”

เซรีนไม่สนใจเขา และยังคงพึมพำกับตัวเอง  “แต่ เรื่องแบบนี้เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?  ไม่ว่ากองพลทอรัสจะฟื้นฟูขึ้นมาได้หรือไม่  ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับข้าเลย”

“เจ้าสามารถฟื้นฟูกองพลทอรัสได้หรือ?”

แบร็ดลี่ย์เดินขึ้นมาทันที  เขามีสีหน้าปลาบปลื้มดีใจ  กล้ามเนื้อแต่ละส่วนในร่างกายเขาสั่นระริก  แต่เมื่อก้าวมาได้เพียงครึ่งเดียว  เขาถูกตรึงอยู่กับที่จากรังสีฆ่าฟันของมอนตา  มอนตาและเซียนที่เหลือมองดูอย่างเย็นชา

แบร็ดลี่ย์ตื่นเต้นยังคงเดินเข้ามาหาเซรีนฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ทันใดนั้นร่างของเขามีรอยกรีดบาดอยู่รอบตัว เลือดกระเด็นไปทั่วรังสีอำมหิตของมอนตาและเซียนกลายเป็นคมมีด

แบร็ดลี่ย์ไม่สนใจพวกเขา  ตาของเขามองดูแต่เซรีน  เขาถามเสียงสั่น  “เจ้าสามารถฟื้นฟูกองพลทอรัสได้จริงหรือ?”

เซรีนว้าวุ่นใจ เมื่อเห็นสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของแบร็ดลี่ย์นางลอบตื่นเต้น

‘ไม่ใช่ว่าทุกคนที่นี่ที่จะยินดีจมอยู่กับความผิดพลาด’

นางยกมือส่งสัญญาณให้มอนตาและพวกหยุด

“นั่นเป็นแค่แนวคิดของข้า”  เซรีนพูดตามตรง  “กองพลทอรัสหายสาบสูญมานานหลายปีแล้ว  จะฟื้นฟูได้หรือไม่ ข้ายังตอบไม่ได้จริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับกองพลทอรัสก็คือเกราะทอง  ข้ามีความคิดของข้าอยู่  แต่ท่านต้องรู้แค่มีเกราะอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่า...”

“ข้าขอร่วมด้วย!” แบร็ดลี่ย์ไม่สนใจอะไรทุกอย่าง เขาคุกเข่ากับพื้นทันที  และเริ่มอ้อนวอนเซรีน  เขาตื่นเต้นจนคำพูดของเขาไม่ปะติดปะต่อ  “ได้โปรดให้ข้าได้ร่วม  ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆ  ข้าต้องการเข้าร่วม!  ข้าต้องการฟื้นฟูกองพลทอรัส  ข้าต้องการฟื้นฟูจริงๆ...”

คำพูดที่ไม่ปะติดปะต่อของเขาบวกกับการร้องไห้  น้ำตาไหลลงคลุกฝุ่นใต้เท้าเขา

เซรีนมองดูแบร็ดลี่ย์อย่างประหลาดใจ  นางไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ นางแค่เพียงคิดว่ากลุ่มดาววัวเสื่อมทรามเกินกว่าจะเยียวยา  แต่ยังมีคนที่ยังมีความฝัน ยินดีทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ตระหนักถึงฝันทอดทิ้งศักดิ์ศรีและขอร้องอ้อนวอนอย่างเจ็บปวด

นางเห็นแต่เพียงความหลงใหลดังกล่าวอยู่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่เท่านั้น  และนางมักจะคิดอย่างเดียวเดียวว่าพวกเขาเท่านั้นที่มีอารมณ์แบบนี้

ทุกคนที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความประหลาดใจ  แบร็ดลี่ย์สูญเสียการควบคุมตัวเอง  และหลังจากเงียบเป็นเวลาสั้นๆพวกเขาก็ส่งเสียงฮือฮา หน้าของพวกเขาแค่นเสียงโกรธ เย้ยหยัน มีสีหน้าละอาย  บางคนเอาแขนเสื้อปิดหน้าทนดูไม่ได้

“พระเจ้า!  เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท?  น่าละอายเกินไปแล้ว!”

“ฟื้นฟูกองพลทอรัส?  เรื่องไร้สาระอย่างนั้นฝ่าบาทเชื่อว่าทำได้จริงหรือ เขาไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”

“ใช่แล้ว!  ฝ่าบาทคิดอยู่แค่ว่ามีพระองค์คนเดียวเท่านั้นที่ห่วงใยกลุ่มดาววัว  หยาบเกินไปแล้ว  เรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น

……

แบร็ดลี่ย์ที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นกำลังสั่นไปทั้งตัว  กำปั้นของเขากำแน่นจนนิ้วขาวซีด  คำพูดทั้งหมดเหมือนคมมีดกรีดเนื้อเขา

“ท่านได้ยินคำพูดพวกเขาไหม?  ข้าเพียงแต่มีความคิดนี้  แค่ความคิดเช่นนี้มันคุ้มค่าที่จะทำอย่างนี้หรือ?”

คำพูดของเซรีนดังขึ้นมาจากด้านบน

นางยืนอยู่บนยานโดยสาร มองลงมาดูแบร็ดลี่ย์

แบร็ดลี่ย์เงยหน้ามอง  น้ำตาหยุดไหลแล้ว  ลึกลงไปในดวงตาเขา ความเจ็บปวดลึกและความเศร้าที่มองไม่เห็น แต่ใบหน้าของเขามีความมุ่งมั่นไม่มีที่สุด “ตราบใดที่มีความหวังสักเล็กน้อย แบร็ดลี่ย์ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่เก็บงำไว้แม้แต่น้อย”

“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจท่าน  ท่านอาจจะถูกเยาะเย้ยท่านอาจจะสูญเสียสถานะปัจจุบันและสูญเสียทุกสิ่ง และด้วยศักยภาพที่ไม่มีอะไร ท่านอาจจะไม่ได้รับอะไรก็ได้”

แบร็ดลี่ย์เงยหน้า และจ้องมองเซรีนเขม็ง  เขาเหมือนกับทหารคนหนึ่งขณะพูดเสียงดัง  “ไม่มีความฝันที่ได้มาโดยไม่เสียสละ  ข้ายินดีจะทุ่มเทสละทุกอย่าง”

ในสายตาของเขาร้อนแรง

เซรีนยิ้มหวาน และพูดอย่างมีความหมาย

“ขอต้อนรับขึ้นเรือ(โจร)”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด