ตอนที่แล้วบทที่ 2 ศิลาเงาสารภาพรัก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 การรุกที่รุนแรงของหลี่หราน!

บทที่ 3 ได้โปรดมาเป็นคนรักของข้า!


มือของเหลิงอู่เหยียนเปล่งแสงสลัวระยิบระยับ จากนั้นข้อความมากมายก็หลั่งไหลออกมาจากหินหยกทันที พวกมันจัดเรียงตัวเองในรูปแบบที่สามารถอ่านได้โดยอัตโนมัติ

【เทพธิดาไช่เซี่ยและปรมาจารย์ฉีมู่ตั้งตนเป็นคู่รักเต๋ากัน นิกายเซิงอวี้ได้เพิ่มผู้เชี่ยวชาญระดับทัณฑ์สวรรค์คนใหม่เข้าไปในรายชื่อของพวกเขา】

“นังสตรีอัปลักษณ์ไช่เซี่ยพบเจอคู่รักเต๋า? ฉีมู่สมองมีปัญหาหรือตาบอดกันแน่?” เหลิงอู่เหยียนแค่นเสียงในขณะที่อ่านเรื่องนี้

【หลินหยวน ผู้นำของนิกายเลี่ยหยาง เพื่อช่วยคู่รักเต๋าของเขาเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ เขาใช้ร่างกายของตัวเองป้องกันสายฟ้า เป็นผลให้ฐานการบ่มเพาะของเขาถูกทำลาย นิกายเลี่ยหยางอาจหลุดจากรายชื่อนิกายชั้นนำเนื่องจากเรื่องนี้...】

เหลิงอู่เหยียนเลิกคิ้วขึ้น “ต่อต้านทัณฑ์สวรรค์ด้วยร่างกายของตัวเองเพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง? หลินหยวนนี่มันโง่หรือเปล่า? หากนิกายเลี่ยหยางกลายเป็นนิกายระดับสองเพราะเหตุนี้ เขาจะเป็นคนบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกาย!”

“เป็นเรื่องจริงที่ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างบุรุษและสตรีจะส่งผลให้ผู้คนตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ!” นางพึมพำอย่างละเหี่ยใจ แม้ว่าสีหน้าของนางจะคล้ายกับคนที่กินมะนาวเข้าไปนับสิบลูก

[TL: มะนาว, เปรี้ยว แสดงถึงความอิจฉา]

【ผู้นำของนิกายห้าธาตุและเทพธิดาของนิกายเมฆาเยือกแข็งกลายเป็นคู่รักเต๋า...】

【เสินถูเย่ ผู้เชี่ยวชาญอันดับสามของราชสำนักจัดงานแต่งที่ภูเขาหลิงหยาง...】

【ปรมาจารย์หวนซีคิดค้นวิธีการบ่มเพาะคู่ต่อเนื่องนาน 12 ชั่วยามโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพักและให้ประสิทธิภาพสูง...】

“…”

 

เพล้ง!

 

เหลิงอู่เหยียนทุบหินหยกอย่างไร้ความปราณี “เกิดบ้าอะไรขึ้น? ทำไมมันถึงมีแต่ข่าวพวกนี้?”

นางไพล่มือไว้ที่หลัง ใบหน้าของนางไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “โลกนั้นโหดร้ายและเส้นทางอมตะนั้นไร้ความปรานี!”

“การบ่มเพาะคู่? คู่รักเต๋า? คนพวกนั้นมันบัดซบอะไรกัน! กลุ่มคนงี่เง่านั่นกำลังหลงผิดอย่างเห็นได้ชัด! ทำไมพวกเขาถึงไม่เป็นเหมือนข้าที่ละทิ้งกิเลสและเดินตามเส้นทางแห่งหัวใจอันบริสุทธิ์? การมุ่งความสนใจไปที่การบ่มเพาะและการเข้าถึงขอบเขตจักรพรรดิเป็นเพียงเส้นทางเดียวที่ถูกต้องอย่างแท้จริง!” เหลิงอู่เหยียนกล่าวเยาะเย้ยซ้ำๆ

นางตัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทิ้งไปตั้งแต่ก่อนที่จะอายุครบ 15 ปี นางทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะและในที่สุดก็บรรลุถึงขอบเขตที่ไม่มีใครเทียบได้

“มองย้อนกลับไปยังอัจฉริยะรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเขาล้วนเป็นทุกข์และไขว้เขวเพราะความรัก พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะบรรลุจุดสูงสุดของ ‘เต๋า’ ได้!”

“ข้าได้กลายเป็นผู้นำของวิหารโหยวหลัวแต่พวกเขาไม่แม้แต่จะก้าวหน้าขึ้น”

“คนพวกนั้นล้วนโง่เขลา!”

เช่นเดียวกับที่เหลิงอู่เหยียนห้ามไม่ให้ศิษย์ในนิกายของนางมีความรัก

แม้ว่าจะมีการพูดลับหลังมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ความมุ่งมั่นของนางก็ไม่เคยสั่นคลอน เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่นางคิดว่า ‘หัวใจแห่งเต๋า’ ของนางแข็งแกร่งดั่งหินผา

แต่นางไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมองไปยังภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว หัวใจของนางถึงรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย

มีเพียงสายลมและหิมะเท่านั้นที่พัดผ่านมา มันมีแต่เพียงความหนาวเย็นและไร้ซึ่งความอบอุ่นใดๆ

ถ้าไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น อีก 100 หรือ 1,000 ปีข้างหน้า ไม่ใช่ว่านางจะต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้ต่อไปหรือ?

เหลิงอู่เหยียนกระชับชุดคลุมของนางแน่นขึ้น

ทำไมนางถึงรู้สึกหนาวขนาดนี้? ร่างกายของผู้บ่มเพาะระดับนางควรจะมีภูมิคุ้มกันต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันไม่ใช่หรือ?

สวบ สวบ ~

เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง

“นายท่าน เม็ดยาทั้งหมดที่ถูกสกัดโดยศิษย์ในนิกายอยู่ที่นี่แล้ว ข้าควรนำพวกมันไปตรวจสอบก่อนหรือไม่เจ้าคะ?” ศิษย์หญิงถามด้วยความเคารพ

เหลิงอู่เหยียนปรับสีหน้าของนางและหันกลับไปตอบว่า “ไม่ นำมันมาให้ข้า”

นางจำเป็นต้องหันเหความสนใจและเปลี่ยนอารมณ์

“เจ้าค่ะ” ศิษย์หญิงยื่นแหวนเก็บของให้และจากไป

ด้วยเหตุนี้เหลิงอู่เหยียนจึงมองหาลานที่เงียบสงบและนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่

การบ่มเพาะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยหรือการละเลยใดๆอาจนำไปสู่ความล้มเหลวและถึงแก่ความตาย นางเคยประสบกับช่วงเวลาอันน่าสยดสยองนั้นด้วยตัวเองแล้ว ดังนั้นในวันแรกของนางในฐานะผู้นำนิกายของวิหารโหยวหลัว เหลิงอู่เหยียนจึงสัญญากับตัวเองว่าต้องรับผิดชอบเหล่าศิษย์และไม่ปล่อยให้พวกเขาเดินทางผิด

ผลลัพธ์จากการปรุงยาสามารถแสดงลักษณะนิสัยและการบ่มเพาะของคนคนหนึ่งออกมาได้เป็นอย่างดี

“ศิษย์เหล่านี้ทำได้ดีมาก พวกเขายังสามารถพัฒนาต่อไปได้” เหลิงอู่เหยียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“ดูเหมือนว่าการกีดกันพวกเขาจากความรักและความสัมพันธ์เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง” เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาก แต่ในขณะที่นางหยิบกล่องยาอันสุดท้ายออกมา นางก็สังเกตเห็นว่าน้ำหนักดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง นอกจากนี้มันยังไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตนใดๆ

หลังจากเปิดออก นางก็พบกับหินสีฟ้า

“หือ? ศิลาเงา?” เหลิงอู่เหยียนขมวดคิ้ว “ใครมันกล้าเล่นอะไรบ้าๆแบบนี้?”

ตอนแรกนางอยากจะโยนมันทิ้ง แต่หลังจากลังเล นางก็ดูมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ข้าอยากจะรู้นักว่าใครกันที่กล้าขนาดนี้!”

หลังจากที่ศิลาเงาฉายภาพต่อหน้านาง ฉากก็เปลี่ยนไป ฉากหลังยังคงเป็นยอดเขาปีศาจ แต่ชายร่างสูงคนหนึ่งกลับปรากฏตัวต่อหน้านาง เขาสวมชุดสีขาว ใบหน้าหล่อเหลา และพูดพร้อมกับมีรอยยิ้มบนใบหน้า “เจ้าเปิดมันแล้ว”

เหลิงอู่เหยียนตกตะลึง ชายคนนั้นกลับเป็นหลี่หราน

‘ทำไมเขาถึงบันทึกมันลงศิลาเงา? มีบางอย่างที่เขาไม่สามารถพูดต่อหน้าได้หรือไม่? เป็นอะไรที่พูดออกมายาก?’

นางเห็นหลี่หรานมองมาที่นางและพูดว่า “ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างข้าตลอดมา เจ้าเป็นดั่งแสงตะวันอันอบอุ่นที่ส่องเข้ามาในชีวิตอันมืดมิดของข้า…”

เหลิงอู่เหยียนส่ายหัวและยิ้ม “กลายเป็นว่าเขาขอบคุณข้าที่เป็นอาจารย์ให้เสมอมา เจ้าเด็กนี่หัดมีมารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ในเวลานี้ ภาพฉายของหลี่หรานยังคงดำเนินต่อไป เขามอง ‘เหลิงอู่เหยียน’ ด้วยความรักใคร่และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกว่า “ข้าชอบสายฝนในฤดูร้อน สายรุ้งหลังฝนพรำ และเจ้า”

เหลิงอู่เหยียนตกตะลึงอีกครั้ง “หือ?”

‘ประโยคนี้ดูเหมือนจะผิดไปหน่อยหรือเปล่า?’

“ในสายตาของข้า ดวงดาวนับล้านก็ไม่อาจเทียบได้กับความงดงามของเจ้า”

“เอ๊ะ???”

“ข้าชอบเจ้า ได้โปรดมาเป็นคนรักของข้า!”

“!????”

//////////