ตอนที่แล้วตอนที่ 564 สือหย่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 566 ตกตะลึง

ตอนที่ 565 จับราชา


กลุ่มดาวหมีใหญ่

หานปิงหนิงปาดเหงื่อบนใบหน้าของนาง นางได้พักราวๆสิบนาทีและจะเริ่มฝึกในรอบต่อไปการฝึกอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายของนางทนจนมาถึงขีดจำกัด  แต่นางยังกัดฟันและอดทน  วิชากระบี่ของนางไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย

นางหายใจเร็วขึ้นเหมือนกับว่าไม่สามารถทนรับได้  ทันใดนั้นความอบอุ่นทะลักไปทั่วทั้งตัวนาง  ความอบอุ่นนี้ชั่วประเดี๋ยวเดียวแต่ก็ทำให้นางสะดุ้งตื่น

พลั่ก นางล้มกับพื้น

นางไม่เหลือเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาอีกและได้แต่นอนอยู่บนพื้น รู้สึกถึงเหงื่อค่อยๆ ไหลย้อยมาตาแก้ม นางรู้สึกถึงลมหายใจพะงาบๆขณะที่นางมองดูเพดานด้วยความมึนงง

แม้ว่าพรสวรรค์ของข้าจะธรรมดา  แต่ข้าไม่ยินดีจะมองตัวเองล้างหลังไปมากกว่านี้

เมื่อคิดถึงความอบอุ่นที่กระจายตัวออกไป ใบหน้าที่เยือกเย็นของนางที่ปกคลุมไปด้วยเหงื่อพลันมีรอยยิ้มทันที

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดนางก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้ นางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขจัดความเมื่อยล้าออกไปจากร่างของนาง  ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องทานอาหารค่ำเพื่อช่วยให้พวกเขามีสมาธิกับการฝึกฝน จึงมีห้องอาหารพิเศษให้พวกเขาเฉพาะ อาหารดีที่สุดปรุงอย่างพิถีพิถันและช่วยบำรุงร่างกายของพวกเขา

อาโมรี่ เหลียงชิวและซือหม่าเซียงซานนั่งรอนางอยู่แล้ว  ทั้งสี่คนมาจากที่เดียวกันทุกคน  ดังนั้นจึงมีความกลมเกลียวกันอย่างมาก พวกเขาเชื่อถือกันและพวกเขาก็เข้าใจระหว่างกันเป็นอย่างดี

“ปิงหนิงช้าจริงนะครั้งนี้” ซือหม่าเซียงซานหัวเราะ

อาโมรี่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับจานของเขาซึ่งใหญ่กว่าคนอื่นมาก  เขาก้มหน้ากินอย่างเดียวขณะที่เหลียงชิวยิ้มให้หานปิงหนิง

หานปิงหนิงถือจานของนางด้วยมือทั้งสองและเดินมาที่โต๊ะ  หลังจากนั่งลงนางกินได้สองคำจึงพูดทันที  “ข้าจับเค้าอะไรบางอย่างได้แล้ว”

ซือหม่าเซียนซานตกใจ เหลียงชิวหยุดและวางตะเกียบของเขาทันที อาโมรี่เงยหน้าขึ้นมาจากจานไม่สนใจอาหารที่เปรอะเปื้อนใบหน้าแต่อย่างใด

“เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”

ทั้งสามคนถามพร้อมกัน

ทั้งสี่คนยังคงเข้าร่วมในการลดพลังงานเปลี่ยนแปลงและเดินตามเส้นทางร่างพลังกายเป็นศูนย์  ปัจจุบันร่างพลังกายเป็นศูนย์ของพวกเขาส่วนใหญ่ได้รับการกระตุ้นด้วยวิธีเดียวกับที่ใช้กับถังเทียน  พวกเขาใช้พลังงานกระตุ้นร่างพลังกายเป็นศูนย์เพื่อเพิ่มประสิทธิผลพลังขับไล่ของกายพลังเป็นศูนย์

ทั้งสี่คนมักจะถกเถียงกันอยู่บ่อยๆและในที่สุดมีอยู่วันหนึ่งที่ซือหม่าเซียงซานมีความคิดแปลกประหลาดกว่าใครทั้งหมด  จู่ๆ เขาคาดเดาอย่างประหลาดว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะต้องมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง

ซือหม่าเซียงซานมีความคิดว่า แม้ว่าพลังสายเลือดทั้งหมดจะมีความสามารถพิเศษเฉพาะตนก็ตาม

และแม้ว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะมีพลังขับไล่สิ่งแปลกปลอมและเสริมพลังให้ร่างกาย แต่เมื่อเทียบกับพลังสายเลือดอื่น พลังทั้งหมดนี้ยังไม่นับว่าเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะ

การฝึกของซือหม่าเซียงซานเป็นแนวคิดที่แหกคอก เขารู้สึกว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์ไม่ได้มีความแตกต่างมากนักเมื่อเทียบกับพลังสายเลือดอื่นในแง่คุณสมบัติภายใน  แน่นอนว่ามันมีความสามารถบางอย่างที่ไม่ซ้ำใคร  แต่มันยังไม่ถูกแตะต้องใช้งาน  ก็เหมือนกับวิธีการใช้ความสามารถพลังสายเลือดสามารถปลุกให้ตื่นได้ มีแนวโน้มว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะมีวิธีการปลุกเฉพาะทางของตนเอง

แนวคิดของซือหม่าเซียงซานได้รับความสนใจจากทุกคน ความคิดของถังเทียนมีผลต่อการค้นคว้าและศึกษาจากหน่วยเซียนมากขึ้น

เนื่องจากมีเซียนมากมายฟังเขาและร่วมค้นคว้าโครงการยามว่างนี้ผุดขึ้นมาสองสามอย่างโดยไม่มีการสิ้นเปลืองแต่อย่างใด  ในช่วงสองสามวันต่อมาทั้งสี่คนยังคงคิดหาทางตรงทุกครั้งที่นั่งทานอาหารด้วยกัน พวกเขาจะใช้เวลาปรึกษากัน

ความคืบหน้าของพวกเขาน้อยมาก  แต่พวกเขาไม่รู้สึกท้อเพราะพวกเขารู้ว่าก็แค่ความคิดกล้าได้กล้าเสียความคิดหนึ่ง

แต่ในทางลับแล้ว พวกเขามองหานปิงหนิงในแง่ดี  พวกเขาทุกคนมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน  อาโมรี่ห้าวหาญไม่หวาดหวั่น,  ซือหม่าเซียงซานฉลาดและเจ้าความคิด  เหลียงชิวเป็นคนที่จริงจังที่สุดขณะที่หานปิงหนิงสงบและใจเย็นที่สุดคนเช่นนั้นจะบรรลุได้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา

แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าหานปิงหนิงจับเค้าอะไรบางอย่างได้  พวกเขาพากันตื่นเต้นทุกคน

“มันเป็นพลังที่แปลก ดูสิ”

หานปิงหนิงจับตะเกียบเหมือนกับกระบี่เล่มหนึ่งสีหน้าของนางสงบและเพลิงสีเทาขยายลามไปตามตะเกียบเงียบๆ

ทุกคนตะลึง

*************

ฉากภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดกาลกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า  เสียงก้องสำรวจที่โบราณดูเหมือนไม่เคยหายไปและได้ยินอยู่ในสายลม

คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินไปข้างหน้า

นอกจากสุภาพสตรีสาวผู้เดินนำหน้าอยู่ในชุดทหารสีเขียวแล้วคนที่เหลือจะมีสีสันสีเทา

หลังจากต่อสู้มาหลายศึกต่อเนื่องทุกคนหมดแรงและทั้งกลุ่มได้เดินไปอย่างเงียบๆ

ในที่สุดพวกเขาก็หยุดอยู่หน้าแม่น้ำสีแดงเข้ม  แม่น้ำใหญ่มีคลื่นสีแดงซัดสาดผิวแม่น้ำกว้างใหญ่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนลอยอยู่ในทะเลเลือด

ถ้าสนามรบในปัจจุบันนี้เป็นโลกสีเทาอย่างนั้นแม่น้ำเลือดก็เป็นพรมแดนคั่นระหว่างโลก อีกด้านหนึ่งเป็นโลกที่ถูกกั้นเอาไว้ โลกสีดำดูเหมือนไร้ขอบเขต และมองดูร้ายกาจมาก

“หลังจากข้ามแม่น้ำนี้ไปแล้ว จะเป็นพื้นที่โลกรกร้างเราจะไปถึงที่นั่น” เสี่ยวหลานเอามือป้องหน้าผากเพื่อบังตานางพยายามมองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

“นั่นก็ถูกแล้วเมื่อเราไปถึงดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถช่วยให้เสี่ยวหลานแต่งตัวเหมือนนางฟ้าได้แล้ว”  อาซิ่นหัวเราะอย่างไม่รู้สึกเก้อเขิน

เสี่ยวหลานมองดูอาซิ่น

ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายนั้นอาซิ่นดูเหมือนจะเปลี่ยนไป  แม้ว่าเขาจะดูเหมือนชอบเฮฮาอยู่ แต่เสี่ยวหลานสามารถรู้สึกได้ว่าเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง  ใช่แล้ว นัยน์ตาของเขา  ตาของอาซิ่นไม่มีชั้นหมอกขุ่นมัวคั่นแต่สุกใสเหมือนดวงดาว เหมือนกับเปลวไฟลุกโชน มีบางอย่างเกิดขึ้นในตัวของเขา

“เจ้ามีเงินบ้างไหม?” เสี่ยวหลานมองเขาอย่างเหยียดหยาม

อาซิ่นตกใจครู่หนึ่งปกติเวลาอย่างนี้จะต้องเจอลูกโดดถีบใส่เขาไม่ใช่หรือ หรือไม่ก็ต้องโดนแผ่นดาบใหญ่หวดจนปลิวกระเด็นไปแล้ว?หรือว่านางจิตใจเปลี่ยนไปแล้ว?

ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าหรือว่าความเปลี่ยวเหงาทำให้ราชสีห์กลายเป็นแกะเชื่องไปแล้ว ความคิดสมองของข้าคงอยู่อยู่สภาวะถดถอยอย่างแน่นอน  โอวไม่ต้องเป็นเพราะจำนวนการรบที่ผ่านมาของข้า...

ป้าบ!

ด้านแบนของดาบฟาดใส่อาซิ่นทำให้เขาหยุด  ตอนนี้เหตุการณ์ปกติ...

ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางพวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำทุกวัน พวกเขารวบรวมกองทัพขุนพลวิญญาณซึ่งยังคงลดลงต่อเนื่อง  จำนวนในปัจจุบันนี้เหลืออยู่เพียงหนึ่งในสี่ของประชากรเริ่มต้น  ดังนั้นใครๆก็คงจะคาดคิดได้ว่าการเดินทางนั้นยากเย็นเพียงไหน

แต่มองในด้านดี แม้จะมีเหลือเพียงหนึ่งในสี่  แต่ขุนพลวิญญาณทั้งหมดนี้ก็ยังแข็งแกร่งมาก

สินสงครามเป็นของบำรุงที่ดีที่สุดของพวกเขา

เชียนฮุ่ยมองดูฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาว่างเปล่านัยน์ตาของนางฉายประกายราวกับดวงอาทิตย์ การสู้รบในดินแดนรกร้างจะต้องโหดร้ายยิ่งขึ้น  แต่นางไม่กลัวแม้แต่น้อยและด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด นางออกคำสั่ง “ข้ามแม่น้ำ!”

อาซิ่นและเสี่ยวหลานเก็บความรู้สึกสนุกเอาไว้  หัวใจของพวกเขาสั่นและตะโกนทันที “รับทราบ!”

*************

วิหารเซียน

“กลุ่มดาวหมีใหญ่มีความเคลื่อนไหวแปลกๆ เมื่อเร็วๆ นี้พวกเขาเสริมกำลังเมืองสามวิญญาณ เราจำเป็นต้องสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขา”  ผู้อาวุโสศีรษะล้านกล่าว

“แปลก?  ทำไม?”  ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าว  “เมืองสามวิญญาณมักจะเป็นฐานหลักของพวกเขา  แม้ว่ากลุ่มดาวเตาหลอมก็ยังเป็นของพวกเขา  แต่เมืองสามวิญญาณก็อยู่ในภูมิภาควิญญาณและจะสะดวกกว่าถ้าย้ายมาจากกลุ่มดาวคันชั่ง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังทำงานร่วมกัน”

“งั้นทำไมพวกเขาต้องยึดดาวอู่อันด้วยเล่า?”  ผู้อาวุโสศีรษะล้านกล่าว  “มีอะไรที่คู่ควรให้ครอบครอง?และประกาศมีอำนาจเหนือดาวนั่นได้หรือ? พวกเขาส่งทหารไปที่นั่น ต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่...”

เวลานี้แม้แต่ประมุขอาวุโสผู้เสนอให้ประชุมกันไม่อาจทนได้อีกต่อไป  เขาพูดขัดขึ้น “บางทีเขาอาจต้องการระลึกถึงอดีต หรือบางทีเขาต้องการดูแลสุสานของมารดาหรืออยากจะดูแลอาจารย์เก่าของเขาก็ได้ หรือบางทีทหารอาจะทำให้ถังเทียนวิ่งเต้นได้มากขึ้นมีความเป็นไปได้มากมาย แต่มันจะแปลกไปได้ยังไง? เขาก็แค่กลับไปบ้านเกิดในยามที่รุ่งเรืองก็เท่านั้นเอง”

ผู้อาวุโสอื่นผงกหัวตามๆ กัน

จะแปลกอะไรนักหนากับการรวบบ้านเก่าเข้ากับกลุ่มดาวหมีใหญ่?  ต่อให้พญาหมีทำเช่นนั้น ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

หน้าของผู้อาวุโสหัวโล้นแดงด้วยความอาย  เขาเตรียมโต้แย้งอย่างไม่เลิกรา

ประธานผู้อาวุโสต้องออกหน้าห้ามด้วยตนเอง  “บางทีท่านอาจถูกก็ได้!  แต่เรายังไม่สามารถสู้กับกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคาพร้อมกันทั้งสองได้และอย่าว่าแต่สามเลย  ในเวลาอย่างนี้ถ้าเราไปตอแยกับหมีใหญ่ นั่นถือเป็นเรื่องโง่จริงๆ  ข้าเชื่อว่าท่านคงจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูด”

ผู้อาวุโสศีรษะโล้นคลายความโกรธลง  แต่ไม่พูดอะไรต่อ  นั่นก็ถูกแล้ว ต่อให้ถังเทียนทำบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลที่ดาวอู่อัน  แล้วยังไงล่ะ?

พวกเขาต้องการป่าวประกาศว่าพวกเขาจะทำสงครามกับกลุ่มดาวหมีใหญ่อย่างนั้นหรือ?

ประธานผู้อาวุโสพูดด้วยความยินดี “ตอนนี้เราจะปรึกษากันเรื่องปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มดาวราชสีห์เราจะปล่อยให้สงครามยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ข้าขอเสนอให้ระดมกำลังทั่ววิหารเซียน!”

ระดมกำลังทั่ววิหารเซียน!

ทั่วทั้งสถานที่มีเสียงฮือฮาทันทีเก้าอี้หลายตัวล้มลงกับพื้น ผู้อาวุโสสองสามคนลุกพรวดพราด และผู้อาวุโสหลายอยู่ในอาการตกใจ  จำนวนครั้งที่วิหารเซียนระดมกำลังเต็มที่ในประวัติศาสตร์แทบจะนับได้ด้วยมือข้างเดียว ครั้งล่าสุดย้อนหลังกลับไปเกินกว่ายี่สิบปีที่แล้ว

ประธานผู้อาวุโสทำเป็นมองไม่เห็นความโกลาหลเขายังคงพูดต่อไป

“การสู้รบใช้เวลาลากยาวนานเกินไป  และเราไม่ควรยั้งมือกันต่อไป  อย่าลืมเหตุผลสำหรับวิหารเซียนและวันเวลาใกล้เข้ามาแล้ว ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเรากับตำหนักระนาบสุริยุปราคาไม่มีวันจางหายไป เหตุผลที่พวกเขาไม่ต้องการลงมือเป็นเพราะเราเอาชนะพวกเขาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ดังนั้นพวกเขายังคงกลัวต่อเราและไม่วางใจพวกเรา ถ้าเราปล่อยให้การต่อสู้ลากยาวต่อไปกลุ่มดาวอื่นๆก็จะกลัวเราน้อยลงไปเรื่อย ถึงเวลานั้นพวกเขาจะโจมตีพวกเราเหมือนหมาป่าหิวโหยและกินเราได้แม้กระทั่งกระดูกและนั่นจะส่งผลต่อแผนการยึดครองสวรรค์วิถี”

“ครั้งนี้ความตายและการบาดเจ็บไม่มีความหมาย”

“เราต้องชนะอย่างเดียว!”

“มีแต่ชนะเราจึงจะสามารถรอการสนับสนุนจากกองทัพใหญ่ได้ ก่อนที่กองทัพใหญ่จะมาถึง เราทำได้แต่เพียงต่อสู้ตามลำพังโดยไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด”

“ทุกคน, เรามีชะตากรรมเป็นศัตรูของสวรรค์วิถี  มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวระหว่างสวรรค์วิถีกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!

ประธานผู้อาวุโสมองดูกลุ่มคนที่อยู่ต่อหน้าเขาทั้งหมด  ตาของเขาแข็งกร้าว ไม่มีใครกล้ามองเขาโดยตรง

เสียงฮือฮาหายไป และทุกคนเงียบเสียง

****************

สนามรบยุ่งเหยิง คนแคระน้ำเงินสูงอายุที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันถอยกลับด้วยความตื่นเต้น  เมื่อคนแคระน้ำเงินกับหอกสีดำถูกสังหาร  พวกเขาทุกคนตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังไล่ล่าพวกเขา

แต่น่าเสียดาย พวกเขาพบกับเสี่ยวเอ้อที่รู้จักวิชาเคลื่อนย้ายพริบตา

เมื่อองครักษ์รุกกระหนาบ ตาของเสี่ยวเอ้อหดลีบทันที วับ!

ร่างของเขาหายไป ที่ตามมาจากนั้น เขาปรากฏด้านหลังคนแคระน้ำเงินสูงอายุเหมือนเป็นภูตพราย  มีเพียงพื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อย  และเสี่ยวเอ้อก็ลงได้พอดีอย่างสมบูรณ์แบบ

ไม่มีใครสังเกตช่องว่างตรงนั้น

ก่อนที่พวกคนแคระน้ำเงินจะทันรู้สึกตัว เสี่ยวเอ้อพาดกระบี่กับคอของคนแคระน้ำเงินที่มีอายุนั้นใช้มืออีกข้างคว้าตัวคนแคระสูงอายุ ทั้งสองคนหายไปด้วยวิชาเคลื่อนย้ายพริบตา

ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อปรากฏตัวในท้องฟ้าพร้อมกับคนแคระน้ำเงินสูงวัย

พื้นข้างล่างตกอยู่ในความยุ่งเหยิงคนแคระน้ำเงินแตกตื่นกันทุกคนและเมื่อคนแคระน้ำเงินคนหนึ่งชี้มาทางเสี่ยวเอ้อและผู้นำของพวกมันในกลางอากาศเขาร้องและคุกเข่าลงกับพื้น

พวกมันเริ่มสังเกตเห็นว่าคนแคระน้ำเงินสูงอายุอยู่กับเสี่ยวเอ้อ  พวกมันทุกคนร้องโหยหวนเสียใจและเริ่มคุกเข่ากับพื้น

สนามรบใหญ่หลังจากมีเสียงร้องโหยหวนก็ตกอยู่ในความเงียบราวกับป่าช้า

ถังเทียนที่กำลังฆ่าอย่างเมามันตระหนักได้ทันทีว่าคนแคระน้ำเงินรอบตัวเขาไม่ต่อต้านแล้วและหยุดกันหมด  เขาเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อจับหัวหน้าพวกมันแขวนอยู่ในอากาศ  เขาสะดุ้งไปชั่วครู่จากนั้นมีสีหน้ายินดีทันที

หยาหยาคลานออกมาจากหลุมลึกในพื้น  หน้าที่ซีดของมันเต็มไปด้วยความโกรธ  มันลูบท้องด้วยความเจ็บปวด  และเมื่อเห็นเสี่ยวเอ้ออยู่ในอากาศ  มันลืมความเจ็บปวดและส่งเสียงยิย้าลั่นพร้อมกับโบกมือทันที

เสียงตะโกนดีใจดังมาจากหมู่บ้านในระยะไกล

สือหย่งที่สังเกตดูการต่อสู้  รู้สึกยากจะเชื่อสายตาจริงๆ  นี่...เราชนะหรือ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด