ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 กลุ่มคนคลุ้มคลั่งหน้ามหาวิทยาลัย

ตอนที่ 1 ลูกปัดหินโบราณ


ตอนที่ 1 ลูกปัดหินโบราณ

มหาวิทยาลัยโมบัส หนึ่งในมหาวิทยาลัยของเมืองวอริก ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง เป็นหนึ่งในย่านเศรษฐกิจใหม่ เมืองแห่งนี้มีแม่น้ำตัดผ่านและสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่หลายแห่ง นอกจากนั้นยังเป็นเขตมหาวิทยาลัย จึงมีห้างร้านและโรงภาพยนตร์มาเปิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

บริเวณนี้ยังเป็นมีถนนหลายเส้นที่ผ่านเข้าไปในใจกลางเมือง จึงมีขนส่งสาธารณะจำนวนมาก ไม่ว่าจะทั้งทางบกหรือทางน้ำ เพื่อรองรับผู้คนในการเดินทาง

ทำให้ย่านพื้นที่นี้เติบโตไปอย่างรวดเร็ว

แต่ตอนนี้ภายในมหาวิทยาลัยกลับเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง ต่างจากช่วงเวลาไม่กี่เดือนก่อน นั้นก็เพราะอยู่ในช่วงของวันปิดเรียนภาคการศึกษาต้น ในเดือนธันวาคม

ทำให้นักศึกษากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้มาที่มหาวิทยาลัย ยกเว้นนักศึกษาที่มาเรียนในภาคพิเศษ นักศึกษาที่ทำกิจกรรม และสุดท้ายคือนักศึกษาที่พักอยู่หอในมหาวิทยาลัย

หอพักของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 อาคารและแต่ละแห่งมีชั้นมากถึง 10 ชั้น ซึ่งรองรับนักศึกษาที่มาพักในหอได้เป็นจำนวนหลักพันคน

ที่มหาวิทยาลัยต้องมีหอพักมากขนาดนี้ เพราะต้องรองรับกับนักศึกษาที่ได้ทุนเรียนและเกินครึ่งของนักศึกษาที่นี่คือนักศึกษาที่ได้ทุนการศึกษาด้านต่าง ๆ จากมหาวิทยาลัย ส่วนที่เหลือจะถูกปล่อยให้เช่าแก่นักศึกษาที่ต้องการหอพัก แน่นอนว่าราคาถึงจะสูง แต่ก็ยังเป็นราคาที่ถูกกว่าด้านนอกอย่างน้อยก็ 30 เปอร์เซ็นต์

ที่เป็นแบบนี้เพราะ 1 ห้องจะพักกันถึง 4 คน

ถึงอย่างนั้นก็มีนักศึกษาที่ไม่ได้มีฐานะทางบ้านที่ดีนักจะมาคอยแย่งชิงห้องเหล่านี้ ถ้าได้มาพวกเขาก็จะประหยัดเงินได้มาก

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากปิดภาคเรียนนักศึกษาหลายคนที่พักอยู่ในหอจะเลือกเดินทางกลับบ้านเพื่อลดค่าครองชีพในช่วงหลายเดือนที่หยุดยาวนี้ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่อยู่ที่หอ เช่นนักศึกษาที่ทำงานในช่วงปิดภาคเรียนและเหตุผลอื่น ๆ ต่างกันไป

รวมถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดธรรมดา กางเกงขายาว เสื้อยืดและรองเท้าผ้าใบ ด้านหลังสะพายกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วไว้อยู่สองสามชุด

ผมสีดำทรงอันเดอร์คัต สูง 179 เซนติเมตร น้ำหนักสมส่วน มีกล้ามเนื้อตามวัย แสดงให้เห็นถึงการออกกำลังกายอยู่บ่อย ๆ

ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า เรน เป็นนักศึกษาปี 4 ของมหาวิทยาลัยโมบัสแห่งนี้

วันนี้เขาพึ่งเดินทางกลับมาจากงานศพพี่ชาย ที่พึ่งจัดงานจบไปเมื่อวานและเดินทางกลับมาที่หอพักในมหาวิทยาลัย

ขณะที่เดินจะถึงหอพักอยู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีเค้าลางอะไรที่บ่งบอกว่าฝนจะตกลงมา

ซู่...

“...” เรนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

ช่วงหลายวันมานี้เขารู้สึกเศร้าใจจากการสูญเสียพี่ชายและการเดินทางไปเพื่อจัดการงานศพ แม้ทางภาครัฐบาลที่พี่ชายของเขาทำงานอยู่จะดูแลเรื่องนี้ให้เขาทั้งหมด แต่อย่างไรเขาก็เป็นน้องชาย ซึ่งเป็นญาติเพียงคนเดียว จึงต้องรับหน้าแขกจำนวนมาก

เขาเหลือตัวคนเดียวแล้วยังต้องมาคอยปั้นหน้ารับแขก ซึ่งตัวเขาก็ไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นเลย นอกจากเคยได้ยินพี่ชายกล่าวขึ้นมาทางโทรศัพท์บ้างเป็นบางครั้ง มันทำให้เขารู้สึกสับสนไปหมด

เรนไม่มีเวลามาถอนหายใจนานมากนัก

ตอนนี้สายฝนได้เทลงมาใส่เขาราวกับว่ามันกำลังซ้ำเติมชีวิตของเขาไม่มีผิด เรนวิ่งโดยใช้กระเป๋าเป้ขึ้นมาบังศีรษะไว้ไม่ให้โดนน้ำฝน เพราะถ้าไม่สบายเขาจะต้องเสียเงินไปหาหมอและจะเป็นปัญหาได้

เขาวิ่งมาถึงที่หอพักพอดีที่ฝนจะตกหนักจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร นอกจากเขาแล้วยังมีนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงพากันมาหลบฝนด้วย

เรนลูบน้ำฝนที่อยู่บนใบหน้าและออก ก่อนจะเดินเข้าไปในหอพัก เพราะรู้สึกว่าด้านหน้านั้นฝนเริ่มจะตกแรงขึ้นและสาดเข้ามาในจุดที่เขายืนอยู่

ชั้นแรกของหอพักเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เขาเดินไปที่ลิฟต์และกดไปที่ชั้น 8

ลิฟต์ของหอพักมีอยู่แค่ 1 ตัว มันไม่เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา ปกติเขาจะต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าออกหอพักและบางครั้งถ้ามีเรียนในอาคารใกล้ ๆ เขาจะเดินไปยังสะพานทางเชื่อมของอาคารหอพักเพื่อไปยังอาคารเรียนเหล่านั้น แต่เพราะในตอนนี้เป็นเวลาปิดภาคเรียนนักศึกษาจึงน้อยทำให้เขารอไม่นานลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นแรก

ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกก็มีชายหนึ่งที่ท่าทางหวาดกลัววิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนชนเข้ากับเรน จนเขาเสียหลักเซไปด้านข้างและเกือบจะล้มลง

“ระวังหน่อยสิ!” เรนตะโกนไล่หลังชายคนนั้นไป แต่นักศึกษาชายคนนั้นกลับไม่สนใจที่จะหยุดวิ่งหรือหันมามองเขาแม้แต่นิดเดียว

นักศึกษาชายคนนั้นวิ่งไปชนคนอื่น ๆ ต่อทำให้หลายคนล้มลงและเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดประตูและวิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่าจะมีฝนตกอยู่หรือไม่

เรนขมวดคิ้วทำได้แค่มองด้วยความไม่พอใจเท่านั้น

ตอนนั้นก็มีนักศึกษาสาวสองคนเดินเข้าไปในลิฟต์และถามว่า “นายจะไปไหม”

“ไปครับ” เรนตอบไปอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินเข้าไป

“ช่วยกดชั้น 8 ด้วยครับ” เรนบอกกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงปุ่มกดลิฟต์อย่างสุภาพ

หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะกดลงไปที่ลิฟต์ แต่หลังจากหญิงสาวกดไปแล้วก็รู้สึกแปลกใจที่ปลายนิ้วของเธอกับเปื้อนบางสิ่ง ซึ่งมันเป็นเหมือนกับหมึกสีแดง

“เวรเอ๊ย! ใครมาแกล้งเอาหมึกท่าทีลิฟต์กัน” หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทีหงุดหงิด

“เอานี่เช็ดออก ไว้เราไปแจ้งป้าแม่บ้านที่ดูแลหอทีหลัง” เพื่อนสาวของหญิงสาวหยิบกระดาษทิชชูส่งให้กับหญิงสาวก่อนจะเริ่มเช็ดมัน

เรนเพียงมองดูเท่านั้น

เขาชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว เพราะในหอพักมีเด็กนักศึกษาจากต่างสถานที่กันมาพักที่หอพักแห่งนี้ ซึ่งทำให้มีนักศึกษาหลายคนพากันเล่นพิเรนทร์ ไม่ว่าจะเป็นการรับน้องในหอหรือแกล้งกันในหอ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เช่นใช้สีหรือแป้ง

เวลาเกิดเรื่องแบบนี้นักศึกษาที่โดนแกล้งก็จะแจ้งเจ้าหน้าที่ดูแลหอพัก ซึ่งถ้าคนแกล้งโดนจับได้ก็จะโดนหักคะแนนความประพฤติและอาจจะโดนลงโทษให้ทำความสะอาดด้วย

มันจึงเป็นเหมือนเรื่องท้าทายและสร้างความเคยชินให้กับชาวหอพักอย่างพวกเขาไปแล้ว

มีครั้งหนึ่งเรนก็เคยไปแกล้งคนอื่น ๆ เหมือนกัน แน่นอนว่าตอนนั้นเป็นการเอาคืนคนที่แกล้งเขาก่อน

ประลิฟต์ปิดลงท่ามกลางการบ่นของหญิงสาว เพราะเธอรู้สึกว่ามีกลิ่นแปลก ๆ ติดที่ปลายนิ้วของตนเองอยู่

หลังจากขึ้นไปจนถึงชั้น 5 หญิงสาวทั้งสองคนก็ออกไปจากลิฟต์ทำให้เหลือเรนเพียงในลิฟต์เท่านั้น ลิฟต์เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ไปจนขึ้นไปถึงชั้นที่ 7

ตอนนั้นประตูก็เปิดออกมา มีนักศึกษาอีกคนเดินเข้ามา เขาเห็นชายคนนี้ก็พอจำได้ เพราะเป็นนักศึกษาที่พักอยู่ชั้นเดียวกันกับเขา

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันแค่ยิ้มให้กันเท่านั้น

พอมาถึงที่ชั้นแปดเรนก็ออกมาก่อนและเดินไปยังห้องของตนเองที่อยู่ทางด้านใน ห้องพักของเขาอยู่ตรงใจกลางทางเดินของชั้นพอดี

ด้านหน้าห้องเก็บสะอาดเรียบร้อยไม่มีรองเท้าจอดวางอยู่ เพราะนักศึกษาทุกคนที่นี่รู้กฎดีว่า ถ้าวางรองเท้านอกห้องได้มีหายแน่

เรนเอากระเป๋าเป้ของตนมาก่อนจะหยิบลูกกุญแจออกมาและกำลังจะเสียบเข้าไปที่ลูกบิดและไขกุญแจลูกบิดเปิดประตูเข้าไปในห้อง

แต่เรนก็ต้องตกใจ เพราะสิ่งแรกที่เห็นคือเพื่อนสนิทของเขาที่ชื่อว่า ธันวากำลังถูกแฟนสาวที่ชื่อไอรานั่งคร่อมตัวอยู่

เธอโยกเอวไปมาบนร่างของธันวาอย่างเร่าร้อน ขณะที่เพื่อนสนิทเขาก็ทำหน้าฟินและจับไปที่หน้าอกของเธอที่มีไม่มากนักอยู่

ตอนนั้นเองหญิงสาวที่ร้องอย่างเมามันอยู่ก็สังเกตเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามาเธอก็กรีดร้องออกมา แน่นอนว่ามันร้องคนละอย่างกับก่อนหน้านี้ เธอรีบฟุบตัวลงไปธันวา

ธันวาเองก็ดึงผ้าห่มมาปิดตัวของทั้งสองไว้ด้วยเช่นกัน

ที่จริงแล้วเรนในตอนนี้ก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นรายละเอียดอะไรมากนัก นอกจากที่เห็นในตอนแรก

“เฮ้ เรนนายว่าจะกลับมาพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ” ธันวาไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรที่เห็นเรน เขาเพียงแค่ถามอย่างสงสัย เนื่องจากที่เรนบอกไว้ก่อนไป เขาจะกลับมาในวันพรุ่งนี้

“พอดีฉันจัดการงานศพเสร็จแล้ว เดียวฉันออกไปรอด้านนอกนะ” เรนกล่าวจบก็ปิดประตูและยืนอยู่ด้านนอก

ผ่านไปสักพักธันวาก็เปิดประตูและเดินออกมาพร้อมกับไอรา

ไอราเขินที่เรนเห็นฉากก่อนหน้านั้น แต่ทั้งสองรู้จักกันในระดับหนึ่ง จึงพยักหน้าให้กันเท่านั้น เรนก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย

“นายจะออกไปด้านนอกเหรอ” เรนถาม

“ใช่ว่าจะไปหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย เพราะฉันพึ่งฝึกมวยปล้ำมา” ธันวากล่าวด้วยท่าทางปกติและยิ้มออกมา ก่อนที่ธันวาจะเดินเข้ามาตบบ่าของเรนและกล่าว “เสียใจเรื่องพี่ชายนายด้วยนะ ถ้าไม่ไหวก็บอกกันได้ ฉันก็เคยสูญเสียคนในครอบครัวเหมือนกัน”

“ไม่เป็นอะไร ฉันทำใจได้แล้ว ตอนขึ้นมาซื้อข้าวกะเพราหมูกรอบมาให้กล่องหนึ่งด้วย” เรนกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน เขาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจธันวา เพราะรู้จักนิสัยเพื่อนสนิทของตนดีว่าเป็นยังไง

ส่วนเรื่องที่บอกว่าฝึกมวยปล้ำนั้นแน่นอนว่า มวยปล้ำที่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องบนเตียง แต่เป็นเรื่องของมวยปล้ำจริง ๆ ธันวาเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยและเพราะมีแข่งในอีกไม่กี่วันทำให้ต้องซ้อมหนัก จึงไม่มีเวลาไปงานศพพี่ชายของเรนด้วย

เขาเดินเข้าไปในห้องในห้องมีเตียงอยู่ทั้งหมด 4 เตียง เป็นเตียงแบบชั้นนอนฝั่งละสอง ทางด้านขวาชั้นล่างเป็นของธันวา ส่วนของเรนอยู่ทางด้านซ้าย

และอีกสองทีทางด้านบนคือของเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งได้เดินทางกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด

ธันวาคือเพื่อนที่สนิทของเขามากที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมห้อง

เรนนั่งลงทิ้งตัวไปกับเตียงของเขา ก่อนที่เขาจะถอดเอากระเป๋าเป้ด้านหลังออกมาวางไว้ข้าง ๆ เรนเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วโยนไปใส่ในตะกร้าเสื้อผ้าของเขาที่อยู่ไม่ไกล

ตอนนั้นเองเขาก็เห็นว่าในกระเป๋ายังมีกล่องที่ห่อด้วยกระดาษคราฟท์สีน้ำตาลอยู่ ทำให้เขาพึ่งนึกไปถึงวันงานขึ้นมาได้

กล่องนี้เขาได้มา มันคือของจากพี่ชายที่เป็นนักโบราณคดี

วันที่ส่งกล่องนี้มาคือไม่กี่วันก่อนที่พี่ชายจะโดนดินถล่มเสียชีวิตที่โบราณสถานเก่าแก่บนภูเขา กล่องถูกส่งไปที่สำนักงานของพี่ชายและเพื่อนร่วมงานก็มอบให้กับเขาในวันงานศพ

เขาก็พึ่งกลับมาจากงานศพที่ไร้ร่างของพี่ชายทำให้ยังไม่ได้แกะดูว่ากล่องนั้นเป็นอะไร

เขาคว้ากล่องมาและเริ่มฉีกกระดาษด้านนอก เพื่อแกะกล่องดู เรนเทของด้านในออกมา มีแค่ของสองชิ้นเท่านั้นหนึ่งคือวัตถุโบราณที่ถูกห่อด้วยพลาสติกกันกระแทกและจดหมายแนบติดมาฉบับหนึ่ง

เขารู้สึกสนใจจดหมายมากกว่า เรนหยิบจดหมายและเริ่มอ่านก็ทำให้รู้ว่านี่ของขวัญวันเกิดที่พี่ชายเตรียมไว้ให้เขา

จดหมายนี้ทำให้เรนพึ่งนึกได้ว่าพี่ชายเคยโทรมาบอกว่าจะส่งของขวัญมาให้

‘แต่นี่มันผ่านมาแล้วเกือบเดือน พึ่งมานึกส่ง’ เรนบ่นพี่ชายในใจ เขาไม่ได้โกรธอะไร เพราะรู้ว่าพี่ชายของเขานั้นงานยุ่งมาก

พี่ชายเขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน

ข้อความมีไม่มาก นอกจากบอกเป็นของขวัญก็เขียนไว้อีกว่าที่ให้มาคือ วัตถุโบราณ เจอที่โบราณสถานที่พี่ชายเขากำลังทำงานอยู่

“ฉันแอบเอาออกมาให้นายเลย หวังว่านายจะชอบ” นี่เป็นข้อความสุดท้ายในจดหมาย เรนยกมือขึ้นมาเช็ดตาเล็กน้อย ก่อนจะวางจดหมายลงและหยิบเอาวัตถุโบราณที่พี่ชายเขาส่งมาให้เป็นของขวัญ

หลังจากแกะพลาสติกกันกระแทกออกมา เขาก็พบว่าสิ่งที่ส่งมาให้นั้นเป็นเพียงลูกหินกลม ๆ ที่ดูเก่าชิ้นหนึ่ง ซึ่งมันคล้ายกับเศษหินที่พบได้ตามโบราณสถานหินเก่าแก่ทั่วไป

ลูกปัดหิน?

มุมปากเรนกระตุกเบา ๆ เขาบ่นใส่ใจทันที ‘ไอ้พี่บ้านี่มันจริง ๆ เลย ขนาดจากไปแล้วยังแกล้งฉันอีก’

พี่ชายของเรนมักจะแกล้งเขาบ่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็เป็นพี่ที่ดีคนหนึ่ง เรนจำหน้าพ่อแม่ไม่ได้ เพราะทั้งพ่อและแม่ของเขานั้นพวกท่านประสบอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเล็ก

พี่ชายเล่าว่าพ่อเป็นครูสอนประวัติศาสตร์และแม่เป็นพนักงานในครัวเท่านั้น ฐานะทางบ้านไม่ดี พอทั้งสองจากไปก็เหลือมรดกไม่มาก

พี่ชายเขาเรียนเก่งและขยันทำงาน พอจบออกมาก็เป็นนักโบราณคดี มีเงินส่งมาให้เขา ทำให้เรนใช้ชีวิตไม่ขัดสนมากนัก แต่เรนก็ยังอยากช่วยพี่ชาย เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระมาตลอด

เขาเรียนไม่เก่ง จึงหันมาสนใจกีฬา เขาเริ่มจากการเข้าชมรมยิงธนูในมัธยมปลาย เพราะถ้าเป็นนักกีฬายิงธนูแล้วไปแข่งชนะจะได้เงิน มันเป็นเหตุผลง่าย ๆ แต่พอได้เข้าชมรมเขากลับพบว่าตัวเองนั้นมีพรสวรรค์ในการยิงธนูมากพอตัวและแข่งชนะมาเรื่อย ๆ

จนในที่สุดก็ใช้ทุนนักกีฬาเข้ามาเรียนมหาลัยได้ เขาจึงกลายมาเป็นนักกีฬายิงธนูของมหาวิทยาลัย

เรนโยนลูกปัดหินไว้หัวเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนและเอาโทรศัพท์มากดดูโซเชียล เขาพบว่าทั้งหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยข่าวการก่อจลาจลและการทำร้ายร่างกายกัน

“ทำไมคนพวกนี้ถึงชอบสร้างคอนเทนต์แบบนี้กันนักนะ” เรนบ่นในใจ เพราะสมัยนี้คนมักชอบสร้างคอนเทนต์อันตรายและไร้สาระ เพื่อให้ได้รับความสนใจ

ที่จริงเขาก็เห็นข่าวที่เหมือนจะจริงอยู่บ้าง เป็นข่าวฆ่ากันและอาชญากรรมต่าง ๆ ยังมีข่าวโรคระบาดด้วย

“เมืองนี้เกิดอะไรขึ้น เราไม่อยู่แค่อาทิตย์เดียว ทำไมถึงมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเยอะแบบนี้” เรนขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะพบว่ามีเพจชื่อดังกำลังถ่ายวิดีโอคนทำร้ายกัน

ซึ่งเรนเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมา เพราะมันเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองเลย

ขณะที่เรนกำลังสนใจหน้าจอ ตอนนั้นเองก็มีเสียงเฮลิคอปเตอร์บินผ่านมหาวิทยาลัยไป เรนรีบลุกขึ้นจากที่นอนและเดินไปเปิดหน้าต่างดูบนท้องฟ้า เขาก็พบว่ามีเฮลิคอปเตอร์หลายลำกำลังบินไปมาอย่างวุ่นวาย

“เกิดเรื่องอะไร!?” เรนตกใจและมีสีหน้ากังวล

บึม!!!

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด