ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 148 ปรุงยาและสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 150 ฆ่าเช้าจรดค่ำ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 149 เลือดและเนื้อของมนุษย์หนึ่งพันคน


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 149 เลือดและเนื้อของมนุษย์หนึ่งพันคน

แปลโดย iPAT  

เสี่ยวอันกางมือออก โครงกระดูกหลายร้อยชุดบินไปรวมตัวเป็นทรงกลมอยู่ต่อหน้าเขา

เปลวเพลิงสีขาวซีดกลืนกินกระดูกทรงกลมและค่อยๆละลายมัน

จากนั้นเสี่ยวอันก็นั่งในท่าปางสมาธิและสวดมนต์แต่ไม่มีเสียง

นี่เป็นภาพที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวแต่มันกลับปลดปล่อยกลิ่นแห่งคุณธรรมออกมา ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความชั่วร้าย

กระบวนการหลอมกระดูกดำเนินไปอย่างช้าๆ ภายใต้การควบคุมของเสี่ยวอัน กองกระดูกถูกหลอมมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปครึ่งเดือนในพริบตาตั้งแต่คืนที่หลี่ฉิงซานเรียนรู้วิธีการปรุงยา เฉียนหรงจื่อไปเยี่ยมเขาหลายครั้งแต่นางยังไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจกลับเมืองเจียเผิง ข้อความเดียวที่นางทิ้งไว้คือนางจะรอเขาอยู่ที่นั่น

สำหรับวิถีชีวิตที่สงบสุขของหลี่ฉิงซาน ในที่สุดมันก็เริ่มพังทลายลง

แม้การปกครองเมืองของตระกูลเฉียนจะจบลงแต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเมืองวายุบรรพกาลให้กลายเป็นสวรรค์ที่ผู้คนสามารถอาศัยอยู่อย่างสงบสุข หลังจากทั้งหมดนี่ไม่ใช่โลกแห่งเทพนิยาย

ผู้คนในยุทธภพเริ่มปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก่อตั้งกลุ่มและต่อสู้เพื่อแย่งดินแดน ทุกวันพวกเขาจะต่อสู้บนท้องถนนเพื่อครอบครองหอโคมแดงหลายแห่งในเมือง การต่อสู้และการลอบสังหารเกิดขึ้นในความมืดอย่างไม่รู้สิ้นสุด

วันนี้หลี่ฉิงซานไปที่โรงเตี้ยมที่เขาเคยไปเป็นประจำและสั่งอาหารจานอร่อย เพียงเมื่อเขาเริ่มกิน คนจำนวนมากก็เข้ามาในโรงเตี้ยมและสั่งให้ลูกค้าทั้งหมดออกไป ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มสองกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันตกของเมืองต้องการเจรจากัน

ชายร่างกำยำมาถึงโต๊ะของหลี่ฉิงซานและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “เจ้ากินเสร็จหรือยัง? หากเสร็จแล้วก็ออกไปซะ!”

หลี่ฉิงซานมองชายร่างกำยำก่อนจะหันกลับไปมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารของเขา จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “ข้ายังกินไม่เสร็จ”

ชายร่างกำยำกล่าว “เจ้าหนู อย่าทำตัวเหมือนกระดูกของตนเองแข็งนัก ข้าทุบกระดูกไปหลายชิ้นแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”

เผชิญหน้ากับคำขู่ที่ไร้สาระ หลี่ฉิงซานไม่แม้แต่จะรู้สึกโกรธ เขาเพียงถอนหายใจที่ช่วงนี้เขามีเวลาพักผ่อนน้อยลงเท่านั้น

ชายร่างกำยำหมดความอดทนในที่สุด เขาเปิดฉากโจมตีโดยไม่ลังเล หากมองผิวเผิน เขาดูเป็นคนมีพละกำลังแต่ไร้สมอง ไม่ เขาไม่แม้แต่จะมีมัดกล้ามเนื้อ

ชายร่างกำยำบินออกจากโรงเตี้ยมและทำให้กำแพงด้านนอกพังลงมา เมื่อชายร่างกำยำล้มลง ชายอีกหลายสิบคนก็ผุดลุกขึ้น ทั้งหมดมองไปที่เด็กหนุ่มและตะโกนข่มขู่ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตี หลังจากนั้นทุกคนก็บินออกจากโรงเตี้ยม

เป็นเพียงเวลานี้ที่บางคนดูเหมือนจะจำได้ พวกเขายืนตัวสั่นและเฝ้าดูหลี่ฉิงซานทานอาหารจนเสร็จ วางเงินบนโต๊ะ และเดินจากไป

หัวหน้ากลุ่มทั้งสองเดินมาจากปลายถนนสองข้างพร้อมผู้ติดตามของพวกเขา เพื่อเป็นการดูแคลนฝ่ายตรงข้าม ทั้งคู่จึงเลือกที่จะมาสาย อย่างไรก็ตามพวกเขาบังเอิญพบหลี่ฉิงซานที่ทางเข้าหรือควรกล่าวว่าหลี่ฉิงซานบังเอิญพบพวกเขาที่ทางเข้า

ทันทีที่หลี่ฉิงซานเดินลงบันได เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ฤดูร้อนกำลังจะจบลง

“เจ้าเป็นใคร?”

หลี่ฉิงซานคิดว่าพวกเขาสามารถเป็นผู้นำได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดก่อนที่พวกเขาจะถามชื่อและที่มาของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาก็ควรประเมินกำลังของอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก

“ข้า หลี่ฉิงซาน ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ พวกเจ้าเป็นเจ้านายของพวกเขา ความผิดของคนที่โจมตีผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ในที่สาธารณะไม่สามารถให้อภัย วันนี้ข้าต้องประหารชีวิตพวกเจ้าทันที...แต่ลืมมันไปเถอะ ข้าไม่สนใจที่จะฆ่าผู้ใด ถือว่าวันนี้พวกเจ้าโชคดี”

หลังหลี่ฉิงซานกล่าวจบ ใบหน้าของผู้นำทั้งสองก็กลายเป็นซีดเผือดราวกับกระดาษ แม้เวลาสิบปีจะผ่านไป ผู้คนของเมืองวายุบรรพกาลก็จะไม่ลืมชื่อของเขา

เมื่อหลี่ฉิงซานกล่าวว่าจะประหารชีวิตพวกเขาทันที เข่าของพวกเขาก็อ่อนไปหมดแล้ว พวกเขาไม่แม้แต่จะมีเวลาร้องขอชีวิต พวกเขาทำได้เพียงปิดเปลือกตาและรอความตายเท่านั้น อย่างไรก็ตามน้ำเสียงและกลิ่นอายของหลี่ฉิงซานกลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นี่ทำให้พวกเขาแปลกใจมาก

เมื่อร่างของหลี่ฉิงซานหายไป เหล่าลูกน้องก็รีบเข้าไปช่วยประคองพวกเขา พวกเขามองหน้ากันด้วยความสุขที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติ ในที่สุดพวกเขาก็ละทิ้งความขัดแย้ง หลังการเผชิญหน้าครั้งนี้ พวกเขาจึงรวมตัวเป็นกลุ่มเดียว

หลี่ฉิงซานกลับไปที่บ้านของเขาและมองเข้าไปในกระจก

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนเข้าใจความคิดของผู้ที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์ คนเหล่านี้จะทำตัวราวกับผู้อื่นไม่คู่ควรที่พวกเขาจะฆ่า อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจละทิ้งความคิดเช่นนี้ เขายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับต่ำ เขายังไม่ใกล้เคียงเป้าหมายของเขา ไม่ว่าผู้ใดที่ยั่วยุเขาในอนาคต เขาจะก้าวข้ามทุกคน แม้คนเหล่านั้จะเป็นเพียงเศษขยะบนพื้นก็ตาม

จากนั้นหลี่ฉิงซานก็มองไปที่หลุมศพ ‘เสี่ยวอัน เจ้าสบายดีหรือไม่?’

เขาเริ่มคิดถึงเมืองเจียเผิงและจ้าวจื่อป๋อแล้ว

การอยู่ภายใต้แรงกดดันจะทำให้เขาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากเทียบกับวิถีชีวิตที่สงบสุขและจืดชืดที่นี่ เขาชอบการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังมากกว่า

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาแม้เขาจะค่อนข้างเกียจคร้านแต่เขาไม่เคยหยุดฝึกฝน ด้วยเม็ดยารวบรวมพลังปราณเกือบสองร้อยเม็ดที่อยู่ในท้องของเขา ไม่เพียงปราณปีศาจของเขาจะเติบโตขึ้นอย่างมากแต่พลังปราณของเขายังมีเสถียรภาพมากขึ้น เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงขั้นที่ห้าของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะปราณเบื้องต้นแล้ว

ภายในหลุมใต้พิภพ กระดูกทรงกลมละลายหมดแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นก้อนสีขาวบริสุทธิ์ แต่เมื่อมองใกล้ๆ แท้จริงแล้วมันเป็นหัวกะโหลกที่น่ากลัวอย่างมาก

โครงกระดูกหลายร้อยชุดถูกหลอมเป็นลูกประคำขนาดเล็ก  เสี่ยวอันถือลูกประคำเอาไว้ในมือ หากเขาต้องการร้อยมันเป็นสร้อยคอลูกประคำ เขาต้องใช้ลูกประคำสิบสี่เม็ดเป็นอย่างต่ำ กล่าวได้ว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณบนเส้นทางแห่งกระดูกเป็นเรื่องยากที่จะเลียนแบบ

นี่เป็นเหตุผลที่เสี่ยวอันเลือกลูกประคำเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณชิ้นแรกของเขา นอกจากนั้นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณบนเส้นทางแห่งกระดูกในบันทึกของเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ล้วนมีพลังทำลายล้างสูงมาก พวกมันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถสร้างได้ในระดับปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามเขาสามารถสร้างลูกประคำหัวกะโหลกได้ทีละเม็ดและไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องสร้างลูกประคำทั้งหมดในครั้งเดียว

เสี่ยวอันรู้สึกว่าจิตใจของเขาเชื่อมต่อกับมัน ราวกับลูกประคำไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณแต่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา

เปลวไฟในหลุมมอดดับลงและกลับไปที่เบ้าตาของเสี่ยวอัน จากนั้นเขาก็กระโจนผ่านชั้นดินและออกจากหลุม

เมื่อสูญเสียแรงพยุงที่มองไม่เห็น ดินก็ถล่มลงไปทันที มันถูกค้นพบโดยผู้คนในวันรุ่งขึ้น ซากศพของตระกูลเฉียนหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันกลายเป็นเรื่องลึกลับที่ถูกเล่าขานกันอย่างไม่รู้จบสิ้น

ในความมืด หลี่ฉิงซานเปิดเปลือกตาขึ้นและเผยรอยยิ้ม “เสี่ยวอัน เจ้าทำสำเร็จแล้วงั้นหรือ?”

โครงกระดูกน้อยที่ดูเหมือนแก้วเจียรนัยยืนอยู่ต่อหน้าเขาโดยมีดวงไฟสีแดงและขาวปะปนอยู่ในเบ้าตา

หลี่ฉิงซานลูบศีรษะเด็กน้อย “เจ้าดูงดงามขึ้นมาก”

เสี่ยวอันเปิดมือออกและเผยให้เห็นลูกประคำหัวกะโหลก

หลี่ฉิงซานหยิบลูกประคำขึ้นมา “มันคือสิ่งใด?” ทันใดนั้นลูกประคำก็ลอยขึ้นจากมือของเขาและบินไปรอบๆ มันทิ้งภาพติดตาสีขาวไว้เบื้องหลังเป็นเส้นสาย มันไม่ได้ช้ากว่าดาบบินของโจวเหวินปิงเลย

หลี่ฉิงซานตะลึง “นี่คือ...สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ?” อย่างน้อยมันก็ต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลาง

เสี่ยวอันยิ้มและงอนิ้วของเขา ลูกประคำขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นหัวกะโหลกขนาดใหญ่ ฟันของมันกระทบกันราวกับมันกำลังหัวเราะ ขณะเดียวกันเบ้าตาของมันก็มีเปลวเพลิงสีแดงและสีขาวคล้ายกับดวงตาของเสี่ยวอัน

เมื่อเด็กได้ของดีมา พวกเขามักนำออกมาอวดคนใกล้ตัวเสมอ

เมื่อหลี่ฉิงซานได้เรียนรู้เรื่องราวทั้งหมดของเสี่ยวอัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจชื่นชมอีกครั้ง เคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ยอดเยี่ยมจริงๆ กล่าวได้ว่าผู้สร้างเคล็ดวิชานี้รอบคอบมาก หากไร้อาวุธ มันก็ยากที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูแม้ความสามารถและทักษะของพวกเขาจะทรงพลังมากก็ตาม

เนื่องจากการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณบนเส้นทางแห่งกระดูกจึงใช้งานได้ง่าย

ในความเป็นจริงมันกระทั่งทรงพลังกว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลาง แต่เนื่องจากข้อจำกัดของเสี่ยวอัน เขาจึงสามารถสร้างมันได้ในระดับนี้เท่านั้น

ลูกประคำสิบสี่เม็ดคือจำนวนขั้นต่ำของสร้อยลูกประคำ มันสามารถเพิ่มเป็นสิบแปดเม็ด ยี่สิบเอ็ดเม็ดไปจนถึงหนึ่งพันแปดสิบเม็ดซึ่งจะทำให้มันทรงพลังมากขึ้น

หลี่ฉิงซานชื่นชมอีกครั้งก่อนจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าต้องใช้วัตถุดิบอีกมากเท่าใดก่อนที่จะสามารถสร้างร่างเนื้อ”

เสี่ยวอันก้มศีรษะลงและใช้นิ้วคำนวณ จากนั้นเขาก็ยกศีรษะขึ้นอีกครั้งและชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว

เขายังต้องการเลือดและเนื้อของมนุษย์อีกหนึ่งพันคน!

หลี่ฉิงซานกล่าว “นั่นเป็นงานที่ท้าทายมาก แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ไปสังหารหมู่กันเถอะ!”

ในคืนเดียวกันนั้น หลี่ฉิงซานไปที่จวนเจ้าเมืองและรับเงินจากการขายทรัพย์สินของเขา แม้พวกมันจะถูกขายอย่างเร่งรีบแต่เขาก็ยังได้เงินมากกว่าหนึ่งล้านตำลึง นี่เพียงพอแล้วที่เขาจะใช้แลกเม็ดยารวบรวมพลังปราณสิบเม็ดจากโจวเหวินปิง

ทั้งสองไม่รอกระทั่งวันถัดไป หลี่ฉิงซานรีบออกจากเมืองวายุบรรพกาลพร้อมเสี่ยวอัน เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองและไม่มีแผนการที่จะกลับมาที่นี่อีก

ในสระบัวบนไหล่เขา ปลาคาร์พตัวหนึ่งว่ายน้ำอย่างอิสระ โชคชะตาของพวกเขาจบลงแล้วในวันนี้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกหรือไม่

หลี่ฉิงซานเดินทางผ่านความมืดเป็นเส้นตรง เมื่อถึงรุ่งสาง เขาก็มาถึงท่าเรือแล้ว เขาขึ้นเรือลำใหญ่และล่องไปตามกระแสน้ำเพื่อมุ่งสู่เมืองเจียเผิง

ในเมืองเจียเผิง จ้าวจื่อป๋อกล่าว “กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเอาชนะเฉียนเยี่ยนเหนิงได้จริงๆงั้นหรือ?”

เฉียนหรงจื่อตอบ “ถูกต้อง ข้าก็คิดว่ามันค่อนข้างยากที่จะเชื่อ แต่ดูเหมือนเฉียนเยี่ยนเหนิงจะอ่อนแอลงตามอายุ เขาไร้ประโยชน์จริงๆ เขาอาจไม่เคยคิดว่าหลี่ฉิงซานเป็นผู้บ่มเพาะร่างกาย ดังนั้นเขาจึงประมาทและเป็นเหตุให้หลี่ฉิงซานสามารถจัดการเขา ข้าคิดว่าท่านคงต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว”

เฉียนหรงจื่อเดินทางออกจากเมืองวายุบรรพกาลอย่างช้าๆ นางจ้างเกวียนขนาดใหญ่เพื่อนำหม้อปรุงยาติดตัวมาด้วย ดังนั้นนางจึงพึ่งกลับมาถึงเมืองเจียเผิง

จ้าวจื่อป๋อเรียกนางเข้าพบทันทีเพื่อยืนยันข่าวที่ได้รับจากเตียวเฟย ในที่สุดเขาก็ได้บทสรุปว่าไม่เพียงหลี่ฉิงซานจะยังมีชีวิตอยู่แต่เขายังสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นห้า