ตอนที่แล้วบทที่ 57: เมืองคนหรือเมืองผี? วิชาจากปรมาจารย์ทั้งสอง  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 59:  อะไรที่ควรถูกทำลาย ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว

บทที่ 58: คืนร้อยผี หมู่เมฆและดาวตก


บทที่ 58: คืนร้อยผี หมู่เมฆและดาวตก

ร่างเหล่านี้ปล่อยแสงสีฟ้าจางๆ ออกมาในขณะที่พวกเขาทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศ

พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติที่ตายไปแล้วของเฟิงอู๋!

ในขณะนี้ ศพของพวกเขาก็กำลังนอนกองอยู่ในลานบ้านข้างๆ

พวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรอ?

ไม่สิ พวกเขากลายเป็นผีไปแล้ว!

ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของเฟิงอู๋ และในที่สุด สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ทหารทั้งสองคนที่กำลังจะหลบหนีออกไป ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความปิติยินดีอย่างมากในขณะที่เขากัดฟันและตะโกน

“ฮ่าฮ่าฮ่า! สวรรค์เปิดตาแล้ว! ไอ้พวกสัตว์เดรัจฉาน พวกเจ้านำภัยมาสู่ตัวเองแล้ว! ถึงต้องกลายเป็นภูตผี แต่เราก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่! ไปลงนรกกันให้หมดเดี๋ยวนี้เลย!”

ในขณะนี้ ชายร่างกำยำทั้งสองก็ลุกลี้ลุกลนไปหมด

พวกเขายังจำการจ้องมองของวิญญาณเหล่านี้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นสมาชิกของตระกูลเฟิงที่เพิ่งจะถูกพวกเขาฆ่าไป

จู่ๆ คนที่พวกเขาฆ่าก็กลายมาเป็นผีและกลับมาเอาคืน?

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสองคนกลัวจนปัญญา พวกเขาอยากจะหนีกลับไปที่ค่ายทหารเสียเดี๋ยวนี้

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้เลย!

ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปทางไหน พวกเขาก็จะชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นเข้าอยู่ดี!

“อย่านะ! อย่าเข้ามานะ!”

“อย่านะ! ตอนนั้นเราไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้านะ มือของพวกเรามันแค่ลื่น...”

ทั้งสองคนทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความกลัว ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวขณะที่ตัวของพวกเขาสั่นเทาและพยายามคลานถอยกลับหลัง กางเกงของพวกเขาทั้งสองเปียกโชกเนื่องจากความกลัว

ในขณะนี้ วิญญาณที่ดูแก่ชราก็ลอยเข้ามาจากทางด้านข้างของเฟิงอู๋ เปลวเพลิงสีน้ำเงินอ่อนถูกจุดขึ้นในมือของวิญญาณและแผดเผาเชือกบนร่างของเฟิงอู๋จนกลายเป็นเถ้าถ่าน

ในขณะเดียวกัน มันก็ยังรักษาอาการบาดเจ็บของเขา

“ท่านพ่อ!”

เฟิงอู๋มองไปที่วิญญาณเฒ่าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้จมอยู่กับอารมณ์ของเขาอีกต่อไป

เขารีบวิ่งไปที่ด้านข้างของชายร่างกำยำทั้งสองคนและชักกระบี่เหล็กออกมาจากเอวของพวกเขา!

ฉั้ว!

กระบี่ของเฟิงอู๋ฟาดลงบนคอของชายร่างกำยำ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาไม่ได้แข็งแรง และเขาก็ไม่ใช่เพชฌฆาตมืออาชีพ บวกกับกระบี่ของเขาก็ไม่ได้คมเช่นกัน ดังนั้นการฟันนี้จึงไม่สามารถตัดศีรษะของชายร่างกำยำลงได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังฝังติดอยู่ที่ก้านคอของเขาสามในสี่!

“อ้ากกกกก!” ชายร่างกำยำกรีดร้องจนสุดปอด เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากคอของเขาราวกับน้ำพุ ชายอีกคนที่อยู่ข้างๆ เขาเองก็ถูกเลือดสาดใส่หน้าและตกตะลึงอย่างสมบูรณ์

“ย้า!” เฟิงอู๋ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง น้ำพุเลือดที่อยู่ตรงหน้าเขาได้จุดความโกรธที่สะสมอยู่ในใจของเขาออกมาจนถึงขีดสุด เขากำด้ามกระบี่แน่นด้วยมือทั้งสองข้างและดึงกระบี่ที่ติดอยู่ที่คอของชายร่างกำยำออกมาก่อนที่จะฟันซ้ำลงไปอีกครั้งอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี

ฉึก!

อีกครั้ง!

ฉึก!

ไม่เพียงแต่จะฟันไปที่คอเท่านั้น แต่เขายังฟันไปที่ใบหน้า หัวศีรษะ ไหล่ แผ่นหลัง… และในที่สุด เขาก็สับชายร่างกำยำคนนี้จนกลายเป็นก้อนเนื้อ!

เฟิงอู๋หายใจหอบขณะที่ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาจ้องมองไปที่ชายร่างกำยำอีกคน เสียงของเขาแหบแห้งในขณะที่เขาตะโกนขึ้นอีกครั้ง “สวรรค์เปิดตาแล้ว! จงตายเพื่อชดใช้กรรมซะเถอะ!”

ในขณะที่เขาพูด เขาก็ยกกระบี่เหล็กขึ้นและฟันลงไปโดยไม่ลังเล!

….

คืนนี้เมืองซีหลิงมืดมิด เมฆดำบนท้องฟ้าหนาทึบจนน่าประหลาดใจ

ราวกับว่ามันกำลังจะกดลงมาบนพื้นโลก

ในขณะที่ซุยเฮ็งกำลังเดินอยู่บนท้องถนนที่ทรุดโทรม เสียงร้องอันน่าเวทนากับเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้นรอบตัวเขา ในทุกที่ที่เขามองผ่าน เขาก็สามารถมองเห็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่น่าสะพรึงกลัวกำลังเบ่งบานอยู่ได้

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายไปแล้วได้ลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบของวิญญาณและเดินเร่ร่อนอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานแห่งนี้

ครอบครัวของเฟิงอู๋เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ในค่ำคืนนี้ เปลวเพลิงแห่งวิญญาณก็ได้ร่ายระบำอยู่บนท้องฟ้าของมณฑลซีหลิง ภูติผีกว่าร้อยตนกำลังเดินร่อนอยู่ทั่วในยามราตรี!

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนตื่นตระหนกและประหลาดใจ

เขียว แดง ม่วง เทา… แสงหลากสีบินมาจากทุกทิศทุกทางและลอยเข้าสู่ร่างของซุยเฮ็ง

และในที่สุด เขาก็เดินมาจนถึงหน้าพระราชวังที่ค่อนข้างโอ่อ่า

มันคือพระราชวังของราชาหยาน!

….

ในขณะนี้ ภายในพระราชวังของราชาหยาน มันก็ยังคงเต็มไปด้วยเสียงเพลงของงานเลี้ยง

หวังถงนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะพลางดื่มเหล้าชั้นดีขณะมองดูสาวๆ เต้นรำด้านล่าง

อย่างไรก็ตาม คนที่นั่งอยู่ด้านล่างก็ดูเป็นกังวลเล็กน้อย

“ทุกคน ทำไมพวกเจ้าถึงทำหน้าบึ้งแบบนั้นกันล่ะ?” หวังถงจิบเหล้าและมองไปที่คนห้าคนด้านล่าง เขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “พวกเจ้ากังวลเกี่ยวกับพระเต๋อคงอย่างงั้นหรอ?”

“ฝ่าบาท พระชรารูปนี้ไม่สบายใจเลยสักนิด” พระหยานเจิงยืนขึ้นและโค้งคำนับ มือของเขาพนมประสานกัน “ด้วยระดับการฝึกตนของพระเต๋อคง เขาก็ควรจะกลับมาถึงตั้งนานแล้ว แต่กระนั้น แม้แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเขาเลย”

“ถูกต้อง สิ่งนี้ไม่สามารถเพิกเฉยได้อย่างแน่นอน” รัฐมนตรีอู๋พยักหน้าและขมวดคิ้ว “พระเต๋อคงเป็นปรมาจารย์ขอบเขตเซียนเทียน มันเป็นไปได้ไหมว่าเขาจะบังเอิญพบกับปรมาจารย์ขอบเขตสัมผัสโลกา?”

“วันนี้มีรายงานแจ้งมาว่ายอดฝีมือระดับสูงได้บุกมาโจมตีเมืองที่อยู่ข้างหลังเรา” จู่ๆ เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา “อย่างไรก็ตาม โชคดีที่มียอดฝีมือชั้นยอดสองคนจากอารามมหาจำเริญและอารามดอกปทุมคอยคุ้มกันอยู่ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงต้องถอยกลับไปพร้อมกับสภาพปางตาย”

“และจากสิ่งที่เรารู้มา มันก็น่าจะเป็นขีดจำกัดสำหรับมณฑลจูเหอแล้วที่จะส่งคนออกมาหนึ่งคน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้ยอดฝีมือระดับสูงคนอื่นปกป้องเมือง แบบนั้นแล้วพวกเจ้าคิดว่าพระเต๋อคงจะถอยกลับและวิ่งหนีหายตัวไปอย่างงั้นหรอ?”

มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังมองหาข้อแก้ตัวให้สำหรับการกลับมาช้าของพระเต๋อคง

แต่ในความเป็นจริง เขาก็กำลังบอกเป็นนัยว่าพวกเขาควรจะไว้ใจคนที่อยู่ข้างพวกเขาให้มากกว่านี้

“เฮ้อ พวกเจ้านี่พลอยทำข้าเป็นกังวลไปด้วยเลยจริงๆ!” หวังถงส่ายหัวและยืนขึ้น เขาเดินไปหานางรำที่กำลังจะเต้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามเหล่านี้ล่ะ? ทำไมพวกเจ้าถึงคิดแต่จะต่อสู้?”

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะกอดนางรำและเล่นกับเธอ ทันใดนั้นเขาก็เห็นชั้นแสงสีฟ้าประหลาดปรากฎขึ้นบนร่างกายของเธอ

ทันทีหลังจากนั้น นางรำสาวสวยที่มีส่วนโค้งสวยงามและผิวที่บอบบางก็เริ่มผลัดเนื้อหนังของเธอออก และทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็ถลนออกมาจากเบ้า

ในชั่วพริบตา พวกเธอก็กลายเป็นโครงกระดูกที่มีเนื้อเน่าห้อยติดอยู่!

สิ่งที่แปลกไปกว่านั้นก็คือพวกเธอยังคงร่ายรำอยู่กลางวังราวกับว่าพวกเธอไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเองเลย

“อ้ากก?!”

หวังถงรู้สึกตกใจและรีบถอยหลังกลับไปหลายก้าว

พระหยวนเจิงและคนอื่นๆ ด้านล่างเองก็ตกใจไม่ต่างกัน พวกเขาลุกขึ้นและก้าวถอยออกมาทีละคน ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อในขณะที่พวกเขามองไปที่โครงกระดูกสีขาวที่เต้นรำอยู่กลางพระราชวัง

เกิดอะไรขึ้น?!

“นี่คืออะไร? มันคือภาพลวงตาอย่างงั้นหรอ!”

นายทหารคนหนึ่งใจกล้ามาก พร้อมกับเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยว เขากำหมัดแน่นและโจมตีออกไปในทันที!

ด้วยหมัดนี้ ลมและสายฟ้าก็คำรามก้อง มันวาดลวดลายสีขาวที่ชัดเจนในอากาศ ความผันผวนของพลังแห่งสวรรค์และปฐพีทำให้ทั้งวังสั่นสะเทือน!

บู้มมมม!

กำปั้นของเจ้าหน้าที่ทหารฟาดตรงไปที่โครงกระดูกร่างหนึ่ง แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถเจาะทะลุผ่านแสงสีน้ำเงินเข้มบนพื้นผิวของมันได้ แรงมหาศาลได้สะท้อนกลับไปในทันทีและทำให้กระดูกของเขาส่งเสียงแตกหักที่คมชัด แม้แต่เนื้อของเขาก็ยังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

ในเวลาเดียวกัน เปลวเพลิงสีฟ้าจางบนพื้นผิวของโครงกระดูกก็แผ่กระจายไปตามกำปั้นของเจ้าหน้าที่ทหารและลามไปยังร่างกายของเขา ในชั่วพริบตา มันก็ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ทั้งหมด

ในวินาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ทหารก็ถูกมันห่อหุ้มไว้อย่างสมบูรณ์และกลายเป็นกองเถ้าถ่านที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

เกิดความเงียบขึ้นในวังอย่างกะทันหัน

ทุกคนตกใจกลัว

มีเพียงศพนางรำเท่านั้นที่ยังคงร่ายรำต่อไปราวกับว่าพวกนางไม่ได้รู้สึกอะไร

ฉากนี้แปลกประหลาดมาก!

….

ซุยเฮ็งขยับเท้าอีกครั้งและก้าวออกจากวังของราชาหยาน

ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้เปลวเพลิงสีน้ำเงินเพื่อปลอมตัวให้กับนางรำเหล่านั้นเป็นโครงกระดูกขาว และในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังทำให้ประสาทสัมผัสของนางรำที่น่าสงสารเหล่านั้นมืดบอดเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเธอรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างแผลใจสำหรับพวกเธอเอง

เมื่อถึงเวลาที่นางรำเหล่านี้รำเสร็จ พวกเธอก็จะสามารถรับรู้ถึงโลกภายนอกได้ และความสงบสุขก็น่าจะกลับมาสู่มณฑลซีหลิงดังเดิม

หลังจากออกมาจากพระราชวังของราชาหยาน ซุยเฮ็งก็ยังคงเดินเตร่ไปรอบๆ เมืองที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

เมื่อเขามาถึงหน้าเรือนจำ จู่ๆ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป

“อดีตผู้ว่าการหยาน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่เราได้เจอกันอีกครั้ง” ซุยเฮ็งยิ้มให้หยานเฉิงซึ่งถูกขังอยู่ในคุก “ราชาหยานจับเจ้าไว้ทำไมกัน?”

“ซุยเฮ็ง?!” หยานเฉิงตกใจมากที่เห็นซุยเฮ็งมาถึงที่นี่ได้อย่างกระทันหัน เขาพูดด้วยความตกใจว่า “หรือว่าท่านบุกมาถึงเมืองนี้แล้ว?”

ถ้าไม่ใช่แบบนั้น มันก็ยากที่จะอธิบายได้ว่าทำไมผู้ว่าการมณฑลจูเหอคนนี้ถึงมาปรากฏตัวในคุกของมณฑลซีหลิงได้ ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ดูไม่เหมือนกับว่าเขาถูกจับมา

ซุยเฮ็งยิ้ม “ข้าแค่มาเพื่อทำลายกองทัพของราชาหยาน”

“ท่านมาที่นี่คนเดียวหรอ?” หยานเฉิงตกตะลึง

“ถูกต้อง แค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย

“สมแล้วที่เป็นเซียน!” หยานเฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านฆ่ากบฏไปมากมายหลายพันคน ท่านไม่กลัวสวรรค์จะลงทัณฑ์บ้างหรอ?”

“ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้คนที่สมควรตายมีชีวิตอยู่” ซุยเฮ็งส่ายหัว เขาเดินเล่นไปทั่วทั้งมณฑลซีหลิง และมันก็ไม่มีสักคนเดียวในกองทัพของราชาหยานที่ไม่สมควรตาย

“ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้คนที่สมควรตายมีชีวิตอยู่?” หยานเฉิงลุกขึ้นยืนในทันที “งั้นช่วยบอกข้าทีว่าทำไมพวกเขาถึงสมควรตาย”

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยเป็นแม่ทัพของราชวงศ์ต้าจิน แบบนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงหันไปภักดีต่อราชาหยานเป็นพิเศษล่ะ” ซุยเฮ็งถามแทนที่จะตอบ เขาเคยได้ยินเรื่องนี้จากฮุ่นฉี

“แน่นอนว่ามันเป็นเพราะต้าจินนั้นกำลังจะล่มสลายและจะพังทลายลงในสักวัน!” ใบหน้าของหยานเฉิงเต็มไปด้วยความโกรธ เขากัดฟันและกล่าวต่อ “ตระกูลหยานของข้าซื่อสัตย์และชอบธรรมมาหลายชั่วอายุคน แต่ถึงอย่างนั้น พ่อของข้าก็กลับถูกสั่งตัดศีรษะแค่เพียงเพราะการใส่ร้ายของขุนนางที่ทรยศ!”

“และในตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับกองทัพของราชาหยาน ข้าก็ได้สาบานว่าข้าจะปกป้องเมืองจนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ราชสำนักกลับส่งผู้บังคับบัญชาที่ฉ้อฉลมาที่กองทัพของข้าและยักยอกเอาเงินทั้งหมดของเราไป และหลังจากที่ข้าได้ค้นพบความจริงข้อนี้ พวกเขาก็กลับยังกล่าวหาข้าว่าทรยศและหันไปเข้าร่วมกับศัตรู!”

“และในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว งั้นทำไมข้าถึงจะไม่สมควรไปเข้าร่วมกับราชาหยานและช่วยเขาโค่นล้มต้าจินที่เน่าเฟะนี้ลงไปล่ะ?!”

“ซุยเฮ็ง ทำไมเซียนอย่างท่านถึงมาช่วยต้าจินกัน? ทำไมท่านถึงไม่ช่วยราชาหยานและสร้างโลกขึ้นมาใหม่?”

“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการฝึกตนของข้า” การแสดงออกของซุยเฮ็งไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่เขาพูดอย่างเฉยเมย “ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนทำผิดอะไร? หลังจากที่กองทัพของราชาหยานบุกทะลวงเข้าสู่เมืองต่างๆ ได้ พวกเขาก็เผาบ้านเผาเมือง ฆ่าสังหารหมู่และปล้นสะดมทรัพย์ พวกเขาข่มขืนผู้หญิงและลดจำนวนประชากรในเมืองลงไปมากถึง 80% สิ่งนี้ต่างจากการสังหารหมู่อย่างไร?”

“ไร้สาระ!” หยานเฉิงรู้สึกเดือดพล่านเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่เขาคำราม “ตั้งแต่สมัยโบราณ ทหารก็ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้ปล้นและข่มขืน!”

“ถ้าเราไม่เผา ไม่ฆ่า ไม่ปล้น แล้วเราจะเติมเต็มเสบียงของเราได้อย่างไร? หากเราไม่ปล่อยให้มีการปล้นสะดมและปล่อยให้พวกทหารได้ไปหลับนอนกับผู้หญิง แบบนั้นแล้วเราจะทำให้พวกเขาเชื่อฟังได้อย่างไร?”

“ท่านคิดว่าทหารโง่ๆ ที่อ่านหนังสือไม่ออกมันจะไปเข้าใจเจตนารมณ์ที่ทำให้เราต้องโค่นล้มราชวงศ์ต้าจินลงหรอ?”

“เราต้องให้ผลประโยชน์ที่พวกมันสามารถเห็นและสัมผัสได้ เพียงแค่นั้นเท่านั้นพวกมันถึงจะยอมสู้เพื่อเราได้! และทั้งหมดนี้ก็เพื่อล้มล้างต้าจินที่เสื่อมทรามและสร้างราชวงศ์ที่ดีกว่าขึ้นมาใหม่”

“คนตายหลายแสนคนแล้วยังไงล่ะ? คนตายหลายล้านคนแล้วยังไงล่ะ? ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเราถึงจะสามารถสร้างโลกขึ้นมาใหม่ได้ โลกที่ผู้คนจะสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสงบสุข โลกที่ผู้คนจะสามารถพัฒนาความสามารถจนพึงพอใจได้ และโลกที่จะกลายมาเป็นโลกใบใหม่!”

“บอกข้าสิว่าพวกเราผิดตรงไหน!”

“ข้อผิดพลาดเดียวคือมันไม่ได้สวยหรูแบบนั้น ราชาหยานดูเหมือนจะไม่ได้คิดแบบนั้น และในขณะเดียวกัน เขาก็ยัง…” หลังจากหยุดชั่วครู่ ซุยเฮ็งก็หัวเราะเยาะและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา  “เขาก็ยังทำให้ข้าไม่พอใจ ใช่แล้ว ไม่พอใจมากๆ เลย!”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบตะเกียงน้ำมันข้างๆ ขึ้นมาและจับไหล่ของหยานเฉิง จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า

“มากับข้า ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่ากองทัพที่เจ้าบอกว่าต้องการจะสร้างโลกใบใหม่นั้นได้ทำอะไรกับโลกไปแล้วบ้าง!”

“ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าราชาหยานที่เจ้าภักดีนั้นกำลังทำอะไรอยู่?”

“และจากนั้น เราก็จะค่อยมาดูกันว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นไปตามอย่างที่เจ้าต้องการหรือไม่!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด