ตอนที่แล้วตอนที่ 534 กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 536 ยินดีต้อนรับศัตรู

ตอนที่ 535 ติดอาวุธจนถึงฟัน


น้ำหนักของโล่เงินทำให้ทุกคนหลั่งเหงื่อเยียบเย็น

เย่โส่วซินไตร่ตรองอยู่นานเหมือนกับว่าเขาจะคิดอะไรออก เขาโพล่งออกมาดังๆ “โล่หนักลายเงิน!  นี่คือโล่หนักลายเงิน!”

“โล่หนักลายเงิน?” นับเป็นครั้งแรกที่ถังเทียนได้ยินชื่อนี้

เมอร์เรย์ตระหนักได้ทันทีและผงกหัว  “ถ้านี่คือโล่หนักลายเงิน  นี่นับว่าเป็นไปได้”

เย่โส่วซินมองดูถังเทียนพลางทำหน้างงงวยและเริ่มอธิบาย “โล่หนักลายเงินเป็นสมบัติวิญญาณที่มีชื่อเสียงมาก  ราวๆ หกพันปีที่แล้ว มีเซียนอยู่กลุ่มหนึ่งขนานนามว่า‘กลุ่มโล่ศักดิ์สิทธิ์’ พวกเขาเชี่ยวชาญในการสร้างและใช้อาวุธจิตวิญญาณประเภทโล่โล่หนักลายเงินคือสมบัติวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพวกเขาและยังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของพวกเขา  รูปร่างของโล่จะเหมือนกับใบไม้ ประณีตมากหน้าของโล่จะใหญ่แต่ไม่หนา และมันหนักอย่างน่าพิศวง โล่หนักลายเงินมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีซึ่งเซียนโล่ทั้งหลายฝันใฝ่ว่าจะได้  แม้ว่าข้าจะเคยได้ยินมาก่อน  แต่ข้าไม่เคยเห็นของจริงๆ  นึกไม่ถึงเลยที่ข้าได้เห็นในวันนี้  อยู่มาถึงหกพันปี แต่ยังคงดูดีเหมือนใหม่มันคือของที่ทรงพลังอย่างแท้จริง

“มีเหตุผลมาก!”  ถังเทียนไม่สามารถเก็บความปลาบปลื้มใจได้  จากสิ่งที่เย่โส่วซินบอกโล่หนักลายเงินยังเป็นของที่มีประวัติศาสตร์ลึกซึ้ง  ไม่ใช่สมบัติธรรมดาอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามถังเทียนไม่ลืมเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า  เขาถาม “ช่วยเล่าเรื่องวิหารเซียนให้ข้าหน่อยเถอะ เซียนพวกนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน?”

“วิหารเซียนก็คือองค์การของสมาพันธ์ชาวยุทธ  พวกเขาประกอบไปด้วยพวกเซียนซึ่งมีสถานะพิเศษ  ไม่มีใครสั่งพวกเขาได้แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสของสมาพันธ์ชาวยุทธ เมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากวิหารเซียน  พวกเขาได้แต่ขอความช่วยเหลือจากวิหารเซียน”

เมอร์เรย์ลอบถอนหายใจ  ได้เข้าสู่วิหารเซียนเคยเป็นความใฝ่ฝันของเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขากลายเป็นเป้าให้วิหารเซียนล่าสังหาร

“เซียนจากวิหารเซียนมีความสามารถเช่นไร?”  ถังเทียนถามด้วยความสงสัย

เมอร์เรย์มองดูถังเทียนเหมือนกับว่าเขากำลงมองคนงี่เง่าที่เซ้าซี้ถามแต่คำถามเด็กๆ  แต่เขาก็ยังตอบอย่างแข็งขัน  “พวกเซียนจากวิหารเซียน แบ่งเป็นเซียนชั้นทองเงิน และบรอนซ์ ครั้งนี้เซียนสิบห้าคนที่ออกมาทำงานเป็นเซียนบรอนซ์ทั้งหมด”

ถังเทียนทำตากว้างขมวดคิ้วมีสีหน้าไม่พอใจ  “เซียนบรอนซ์?หือ... ดูถูกเราขนาดนั้นเชียวหรือ?”

เมอร์เรย์และเย่โส่วซินเหม่อมองดูถังเทียน

เจ้าผู้นี้สมองมีปัญหาหรือเปล่า....

“เซียนบรอนซ์ของวิหารเซียนก็มีพลังแข็งแกร่งมากกว่าเซียนทั่วไปแล้ว” เมอร์เรย์มองดูมอนตาและพวกที่เหลือ

แม้ว่าพวกเขาจะพูดเบา  แต่เซียนมีพลังหูที่ดีกว่าคนธรรมดาและเมื่อมอนตากับเซียนที่เหลือได้ยิน  พวกเขาหยุดทันที

มอนตาเดินเข้ามาหา  “เจ้าหมายความว่าไงที่พวกเขาทรงพลังมากกว่า?”

เมอร์เรย์ฟังออกว่าน้ำเสียงของมอนตาไม่พอใจ  แต่เขายังคงไม่ตื่นเต้น  เขากล่าว“มาตรฐานของเซียนบรอนซ์ในวิหารต้องมีค่าพลังวิญญาณ 300ซึ่งวิชาจิตวิญญาณสำหรับรุกของพวกเขาน่าจะไม่ต่ำกว่า 120 จุด พวกเซียนที่ไม่ถึงเกณฑ์นี้ถือว่าเป็นเด็กฝึกงานในวิหารเซียน  เมื่อพวกเขากลายเป็นเซียนบรอนซ์การจัดสรรสมบัติวิญญาณขั้นต่ำที่สุดอย่างน้อยต้องมีค่าพลังวิญญาณ 100 จุด  ในความเป็นจริงเว้นแต่เป็นคนใหม่ที่มาสู่วิหารเซียน สมบัติวิญญาณของทุกคนและค่าพลังวิญญาณอย่างน้อยต้องสูงกว่า 150 จุด”

มอนตาไม่สามารถพูดอะไรต่อได้

ด้วยมาตรฐานขนาดนั้นความจริงก็ปิดปากได้ทุกคนแล้ว ในบรรดาพวกเขา ไม่มีใครที่มีค่าพลังวิญญาณเกินกว่า 300 เลย  สมบัติวิญญาณที่มีค่าพลังวิญญาณสูงมากกว่า160  ฮ่าฮ่า อากาศวันนี้ดีเป็นบ้า

“ทรงพลังมาก!”  ถังเทียนลูบคาง คิดลึก

พวกเขาทรงพลังจริงๆ  ค่าพลังวิญญาณของเสี่ยวเอ้อปัจจุบันเพิ่งทะลุผ่านระดับ100 จุด อย่างไรก็ตามเพิ่มกระบี่ศุภลักษณ์และเพลิงกลืนวิญญาณอย่างน้อยก็ยังสามารถสู้ได้

แต่คนอื่นๆดูแล้วไม่มีแววเลย

สายตาของถังเทียนกวาดมองไปที่เพลิงกลืนวิญญาณในมือของทุกคนเขาเงยหน้าถามมอนตา “เพลิงกลืนวิญญาณมีค่าพลังเท่าไร?”

มอนตาตอบอย่างหงุดหงิด  “ค่าพลังวิญญาณ 80 จุด  ข้าใช้สมบัติดวงดาวของข้าไปหมดแล้ว”

ถังเทียนหันไปถามพวกเซียนที่หยุด  “พวกท่านทำของพวกท่านเสร็จหรือยัง”

“ใช่!”  “เสร็จแล้ว” “ไม่มีของอะไรเหลืออยู่แล้ว”

ทุกคนปรึกษากันเอง  พวกเขาเป็นเซียนอิสระทุกคนและยังจนมาก  พวกเขามีสมบัติอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น

โดยไม่ต้องพูดอะไร  ถังเทียนเอาสมบัติออกมาทั้งหมดและโยนให้พวกเขา  “ใช้ของนี้ทั้งหมดเลย”

มีกองภูเขาย่อมๆอยู่ต่อหน้าของทุกคน

ทุกคนสูดหายใจหนาวเหน็บ  กองภูเขาสมบัตินี้สูงเกินกว่าสิบห้าเมตร  ของทั้งหมดยังคงกะพริบแสงทำเอาทุกคนงงงวยไปหมด

นี่...นี่มีสมบัติอยู่กี่ชิ้นกันแน่....

วืดด,ตาของมอนตาและเซียนที่เหลือแดงทันที แม้แต่เย่โส่วซินซึ่งปกติจะใจเย็นยังอ้าปากค้างจ้องมองภูเขาสมบัติด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

“ข้าไม่รู้ว่าแค่นี้จะพอไหม  ถ้าข้ารู้ ก็คงเอามามากกว่านี้อีก”  ถังเทียนพูดอย่างฉุนเฉียว  สมบัติที่เป็นสินสงครามของถังเทียนส่วนใหญ่เขาจะมอบให้โส่วจินและผี่ผาจัดการให้ แต่ก็ยังมีเหลือไว้กับตนเองอีกมาก

มอนตาและเซียนที่เหลือหวั่นเกรงกับคำหงุดหงิดเช่นนั้น พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขาเกาะต้นขา..ขาใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลเสียแล้ว

เย่โส่วซินและมอนตาได้แต่มองหน้ากันเอง

กองภูเขาสมบัติดวงดาวมีปริมาณอย่างน้อยก็หมื่นชิ้น  คนแบบไหนกันที่ขนสมบัติถึงหมื่นชิ้นมากับเขา...

ทั้งกองพลดาบแสงพวกเขาสามารถรวบรวมสมบัติได้สองพันชิ้นเพื่อเอามาสร้างป้อมสมบัติ แต่เมื่อเห็นถึงเทียนเอาสมบัติมากองเป็นภูเขาอย่างหน้าตาเฉย   สร้างผลกระทบรุนแรงต่อกองพลดาบแสงจนไม่มีอะไรจะพูด

กลุ่มดาวหมีใหญ่มั่งคั่งนักหรือ?

ที่นี่มีใครร่ำรวยอย่างแท้จริงบ้าง...

ความมั่งคั่งกองทัพของสมาพันธ์ชาวยุทธเทียบกับที่อื่น ... ก็คงต้องเป็นกลุ่มดาวอควาเรียสจึงจะคู่ควร...

แม้กระนั้นก็ตามคำพูดปกตินี้ว่า “ถ้าข้ารู้ก่อนก็คงนำมามากกว่านี้”เมื่อพูดอยู่หน้าสมบัติดวงดาวที่กองเป็นพะเนินกลับฟังดูมีอำนาจห้าวหาญ

“เร็วเข้า, ต้องรีบใช้เวลาที่เรามีในตอนนี้”  ถังเทียนรีบกล่าว

มอนตาและเซียนที่เหลือเฮโลเข้าหากองสมบัติดวงดาว

สมบัติดวงดาวกองพะเนินอย่างน้อยก็ได้ใช้กันห้าร้อยชิ้นต่อคน แม้ว่าของระดับดีที่สุดจะเป็นระดับเงิน แต่ก็พอเพียงไว้หล่อเลี้ยงเพลิงกลืนวิญญาณ

เพลิงกลืนวิญญาณของทุกคนขยายขนาดทันที

เย่โส่วซินมองดูด้วยความกลัว ทันใดนั้นเขารู้สึกทันทีว่าเซียนบรอนซ์ของวิหารเซียน  เมื่อพบกับกาฝูงนี้  ถ้าพวกเขาไม่ใส่ใจ  พวกเขาจะตกอยู่ในความยุ่งยากครั้งใหญ่แน่นอน

ไม่มีใครสังเกตว่าในตอนนั้นถังเทียนหายไปแล้ว

เพลิงกลืนวิญญาณแข็งแกร่งมาก  แต่แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาชั่วโมงเต็มๆกับการกลืนกินสมบัติดวงดาวห้าร้อยชิ้น ใบหน้าของมอนตาและทุกคนเต็มไปด้วยความสุข เพลิงกลืนวิญญาณของพวกเขาตอนนี้มีค่าพลังวิญญาณสูงที่สุดมากกว่า 160จุด  อย่างต่ำสุดมีค่าพลังวิญญาณ 110 จุด

มอนตาเก็บเพลิงกลืนวิญญาณของเขาเองและอธิบายอย่างมีความสุข “ความรู้สึกอิ่มเอมพอใจอย่างนั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต  ข้าสามารถตายได้โดยไม่เสียใจแล้ว”

จำนวนสมบัติดวงดาวที่เขาใช้ไปรวมแล้วเกินกว่า1000 ชิ้น

“เพลิงกลืนวิญญาณนี้เป็นสมบัติพิเศษจริงๆ  ความจริงมันไม่มีขีดจำกัดค่าพลังวิญญาณ”  เจิ้งหวี่มีความสุข

เถียนกู่ลืมตาโพลงอธิบาย  “เพราะเพลิงกลืนวิญญาณไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน  เพลิงวิญญาณกำเนิดมาจากพลังหยินและหยาง  มีชีวิตง่ายๆ ในตัวมันเองอยู่แล้ว  หลังจากกลืนกินสมบัติดวงดาวเพลิงวิญญาณจะวิวัฒนาการต่อไป และด้วยระดับองศาต่างๆ เพลิงกลืนวิญญาณของทุกคนจะเติบโตเป็นเปลวเพลิงที่มีลักษณะแตกต่างเฉพาะตัวมาก  พวกมันจะมีสติปัญญาของตัวเองและเพลิงกลืนวิญญาณของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน”

ทุกคนเพิ่งเข้าใจ

มอนตาหัวเราะลั่น  “จากนี้เป็นต้นไป เครื่องไม้เครื่องมือของพวกเราจพัฒนาให้ดีกว่าหนังสะติ๊กยิงนกแล้ว”

คนจำนวนมากในกองพลดาบแสงมองดูมอนตาและเซียนที่เหลือด้วยความอิจฉา  สมบัติที่มีค่าพลังวิญญาณเหนือ 100 มีค่าสูงส่งมาก มันมีคุณค่าเทียมฟ้าและนั่นคือก่อนที่จะคุยกันเรื่องเพลิงกลืนวิญญาณ สมบัติที่มีชื่อและประโยชน์ขนาดนั้นไม่ถูกจำกัดโดยค่าพลังวิญญาณ  ถ้าขายออกไปราคาของมันเทียมฟ้าแน่นอน

เย่โส่วซินคิดในใจต่อไปอีก  เขาสังเกตอย่างรอบคอบว่าตราบเท่าที่พวกเขามีสมบัติดวงดาวที่เพียงพอ พวกเขาก็สามารถเสริมพลังเพลิงกลืนวิญญาณจนมีขนาดใหญ่ได้ อย่างมอนตาและเซียนที่เหลือความสามารถในการสู้ในปัจจุบันของพวกเขาเพิ่มแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่

ช่วงเวลานี้เองถังเทียนกลับมาปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคนพร้อมกับแบกถุงใบใหญ่

“มาดูซะว่าพวกท่านสามารถใช้อะไรได้บ้าง!”

สิ่งของถูกเทออกมาจากถุง

รอบๆพื้นที่เงียบกันหมดขนาดเข็มตกก็ยังได้ยิน

หน้าทุกคนแข็งค้างราวกับซอมบี้  ประกายแสงสีที่งดงามสะท้อนกับใบหน้าพวกเขา  ลมหายใจของทุกคนปั่นป่วน บางคนก็กลั้นลมหายใจ

พระเจ้า!

หลายคนเอามือกุมศีรษะ  พวกเขาทึ้งผมจับผมแน่นใบหน้าหวาดกลัวและตกใจเหมือนกับว่าพวกเขาเห็นสัตว์ประหลาด

ไม่มีเสียงหอบหายใจหนักหน่วง  มีแต่เสียงสูดหายใจเป็นระยะ

เซียนคนหนึ่งหน้าแดงขึ้นทุกทีหน้าเขาราวกับลูกพลับ มีความกลัวปรากฏบนใบหน้าของเขา  เขาถาม “นี่ข้าถูกพิษหรือเปล่า?  ถึงได้มีภาพลวงตาปรากฏอยู่ข้างหน้า  มีสมบัติวิญญาณมากมายนัก  นี่มันน่าหวาดกลัว...น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน...”

ด้านข้างเขาเซียนอีกคนหนึ่งสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า  เขายืนกุมอกตนเองแน่น  “ทะทะทะทำไม หัวใจข้ามันเต้นเร็วนัก... ขะ ขะข้าห้ามตัวเองไม่ได้ คะ..ใครก็ได้ช่วยตบหน้าข้าที....”

มือของมอนตายังคงสั่นเขาเริ่มพึมพำเสียงสั่นกับตัวเอง “หนักแน่นไว้  หนักแน่นไว้คนอย่างข้าเห็นอะไรมาก็มากมาย จะมาแสดงอารมณ์หวั่นไหวได้ยังไง  กองสมบัติวิญญาณก็เห็นมาแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าไม่เคยเห็นสมบัติวิญญาณมาสองสามชาติได้แล้วมั้ง  ปัดโธ่เว้ย... นี่ข้าตายไปแล้วและอยู่ในสวรรค์ใช่หรือเปล่า....”

เมอร์เรย์พลอยเกิดอาการคลั่งไปด้วย

เขาเหม่อมองจ้องดูสมบัติวิญญาณสีสันต่างๆ... หอกใบไม้ร่วง... กงจักรฟ้า...แว่นกันแดดนั่นท่าทางจะเป็นแว่นดำแห่งกลุ่มดาวหงส์...  ลูกดอกแห่งดาวสามเหลี่ยมใต้... แส้เขียวของกลุ่มดาวผมเบเรนิสเขียว..รูปร่างแบบนี้แปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ดูคล้ายกัน..”

ทุกคำที่เขาพูดทำให้เย่โส่วซินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับร่างกระตุก

เย่โส่วซินมองดูสมบัติวิญญาณทั้งหมดบนพื้นใจของเขาว่างเปล่า มีอยู่ประโยคเดียวที่เขาพร่ำย้ำออกมา นี่มันไม่จริง  ไม่จริง นี่มันไม่จริง....

เมอร์เรย์พล่ามรายชื่อที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย  เย่โส่วซินชาไปทั้งตัวแล้ว ความรู้สึกนั่นเหมือนกับอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่งดงามที่สุดในโลกและฟังไกด์ที่มีประสบการณ์สูงคอยอธิบายวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ที่ล้ำค่า...

หวา...ทรงพลังมาก!

อา...เนื่องจากพวกมันไม่ใช่ของข้า...

เดี๋ยวก่อน!

เย่โส่วซินสั่น  ทันใดนั้นเขาเรียกความรู้สึกกลับมาได้

สมบัติแต่ละชิ้นมีประกายงดงามจับใจมีความผันผวนของพลังต่างกัน ถ้าความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นอยู่กับจำนวน อย่างนั้นมอนตาและพวกเซียนที่เหลือคงได้ละเลงเลือดเป็นแน่

พวกเซียนปรากฏอยู่ต่อหน้าเย่โส่วซินทันที  บนร่างของเขาแขวนไปด้วยอาวุธสมบัติดูสง่างาม

มีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเขาเป็นสำนวนที่ทำให้เขาต้องตระหนักอย่างชัดเจน

ติดอาวุธทั่วตัวจนถึงฟัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด