ตอนที่แล้วตอนที่ 532 ภายในลูกปัดข่มพลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 534 กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ

ตอนที่ 533 ความเปลี่ยนแปลงในเพลิงกลืนวิญญาณ


กว่าร้อยล้านเครื่องหมายกฎเหมือนกับมหาสมุทรกว้างเริ่มเคลื่อนไหว

ใจของเสี่ยวเอ้อตึงเครียด เขาเหมือนกับเรือแจวน้อยในมหาสมุทรหลงอยู่ในทะเลกว้างไร้ขอบเขต ราวกับเขาเป็นฝุ่นธุลีที่ไม่สำคัญ

ทุกๆ คลื่นของทะเลกฎวิญญาณนั้นเงียบ  แต่ในใจของเสี่ยวเอ้อนั้นพลังคลื่นพรั่งพรูและกระทบใส่เหมือนกับเสียงฟ้าคำราม

แสงเหมือนหิ่งห้อยเริ่มลอยออกมาจากทะเลกฎวิญญาณ  จุดแสงเกินกว่าร้อยล้านทะลักออกมาจากสัญลักษณ์กฎทองกลายเป็นทะเลแสง

ทะเลแสงหิ่งห้อยสะท้อนกับใบหน้าของเสี่ยวเอ้อ  เขาประหลาดใจและตกใจอย่างมาก

แสงลงทัณฑ์ดูเหมือนจะรู้ถึงอันตราย ได้ระเบิดแสงออกมาทันทีเพื่อกัดกร่อนเพลิงกลืนวิญญาณ

แต่ต่อหน้าทะเลแสงหิ่งห้อยแสงลงทัณฑ์นั้นมีขนาดเล็กมากและสลัวลงอย่างไม่มีอะไรสำคัญ รังสีแสงที่เหมือนหิ่งห้อยทั้งหมดบินออกมาจากทุกตำแหน่งตรงเข้าหาเพลิงกลืนวิญญาณ

แสงเหมือนหิ่งห้อยเหล่านั้นบินช้ามากราวกับว่าพวกมันกำลังเดินเล่นทำให้แสงลงทัณฑ์ตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น  มันควบแน่นพลังแสงทันทีกลายเป็นรูปสัญลักษณ์อักษรรูนสีขาวและหนีออกไปจากเพลิงกลืนวิญญาณ

สัญลักษณ์รูนเรืองแสงขาวนี้บินอย่างรวดเร็วมาก ทันใดนั้นมันพลุกพล่านไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับจะคิดหาวิธีหนี

แต่พูดถึงตำแหน่งที่มันพล่านไป  ล้วนแต่เป็นมิติว่างที่ไร้ขอบเขต

แสงหิ่งห้อยรอบๆ  พากันรุมล้อมมันมากขึ้นทุกทีและมันก็ยิ่งแตกตื่นกลัวและคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่ามันจะบินไปทางไหน ก็มักจะมีจุดแสงรุมล้อมอยู่เสมอ

จุดแสงที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนคลื่นน้ำซัดมาจากทุกทาง  มันใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ

เครื่องหมายรูนสีขาวที่ไม่สามารถหลบได้เปล่งแสงสีขาวทำให้จุดแสงที่อยู่ใกล้ดับลง  แต่จำนวนจุดแสงเหมือนหิ่งห้อยมีมากเกินไป ค่อยๆบังคับจนเข้าทางของพวกมัน พื้นที่แสงสีขาวหดตัวลง

กระแสของจุดแสงหิ่งห้อยยังคงมากมายทำให้แสงสีขาวหมองลงและหายไป

ครู่ต่อมาจุดแสงนับร้อยล้านจุดค่อยๆจมลงและเข้าไปในทะเลกฎที่กว้างขวาง และกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ในมิติว่างมีเพียงเพลิงขาวขนาดเท่าเล็บเหลืออยู่  เปลวเพลิงไม่มีคุณสมบัติใดๆแต่กำลังปลดปล่อยพลังเย็นอยู่  เพลิงกลืนวิญญาณที่อ่อนแอดูเหมือนจะได้กลิ่นบางอย่าง มันเปลี่ยนเป็นเส้นเพลิงบินเข้าหาเพลิงขาวขนาดเท่าเล็บและกลืนกินทันที

ปัง!

แสงประกายของเพลิงกลืนวิญญาณขยายออกไปแสงหลากสีกระพริบอย่างไม่แน่นอน รังสีฆ่าฟันที่เปล่งออกค่อยๆ จางหายไปสิ่งที่มาแทนก็คือหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเยือกเย็น

ตาของเสี่ยวเอ้อเป็นประกายและมีร่องรอยประหลาดใจ เขาหลับตาและพยายามรู้สึกถึงเพลิงกลืนวิญญาณ  ใบหน้าที่น่ารักของเขามีแววดีใจ

จำนวนสีสันของเพลิงกลืนวิญญาณค่อยลดลงกลับคืนสภาพเป็นสีโปร่งแสง มันลอยอยู่เงียบๆ อยู่ในมิติว่างโดยไม่มีร่องรอยของปราณอันตรายเลย

เสี่ยวเอ้อโบกมือ  เพลิงกลืนวิญญาณก็บินเข้ามาในฝ่ามือของเขา   เขาค่อยๆ เผยอยิ้มกว้างขึ้นๆ จากนั้นหัวเราะออกมาดังๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”

เสียงเด็กหัวเราะอย่างจงใจและบ้าคลั่ง

ค่าพลังของเพลิงกลืนวิญญาณเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดคือ260 จุด

เมื่อทะลุเกณฑ์ค่าพลังวิญญาณ 200จุดไปได้ก็หมายความว่าเพลิงกลืนวิญญาณเป็นสมบัติจิตวิญญาณระดับเงิน! นอกจากนี้หลังจากมันกลืนกินแสงลงทัณฑ์ไปแล้ว เพลิงกลืนวิญญาณจะกลายเป็นอันตรายต่อวิชาจิตวิญญาณยุทธของสมาพันธ์ชาวยุทธ  แสงลงทัณฑ์ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะสามารถรับได้  มันเอาไว้ใช่ควบคุมพวกผู้บริหารระดับสูงและเซียนของสมาพันธ์ชาวยุทธ  นักสู้ระดับทองโดยทั่วไปไม่มีคุณสมบัติได้รับแสงลงทัณฑ์  และสำหรับจิ่งหาว เมื่อเขามีคุณสมบัติบกพร่องเขายังไม่ได้เป็นนักสู้ระดับทองด้วยซ้ำ

และเพื่อตอบโต้พวกเซียนและผู้บริหารระดับสูง  แสงลงทัณฑ์มีพลังในการทำลายล้างที่ไม่ธรรมดาสามารถต่อต้านวิชาจิตวิญญาณและพลังปราณแท้ได้

ใครจะตำหนิเสี่ยวเอ้อได้ เพราะเขามีความสุขมาก

แม้ว่าเพลิงกลืนวิญญาณจะทรงพลัง  แต่ในบันทึกของกุ่ยอู๋  หลังจากถึงระดับที่ค่า 190 จุด  การกลืนสมบัติดวงดาวทำให้ยากจะพัฒนาต่อได้และมีเพียงแต่กลืนกินจิตวิญญาณยุทธเฉพาะหรือจิตวิญญาณเซียนก็อาจจะก้าวไประดับเงินได้

แต่เขาต้องยอมรับว่าแสงลงทัณฑ์นี้ทรงพลังอย่างแท้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของลูกปัดข่มพลังที่กุ่ยอู๋เหลือทิ้งไว้ให้  เสี่ยวเอ้อคงไม่สามารถเอาชนะมันได้ แสงลงทัณฑ์ถูกลูกปัดและทิ้งไว้แต่เพียงกฎที่มาของมันและกลายเป็นการหล่อเลี้ยงเพลิงกลืนวิญญาณ

สำหรับเพลิงกลืนวิญญาณเป็นกฎแกนกลางของแสงลงทัณฑ์กลายเป็นของระดับสูงและนั่นคือสิ่งที่จะใช้มันได้ง่ายในคุณภาพระดับก้าวกระโดด

พลังของเพลิงกลืนวิญญาณในปัจจุบันเทียบได้กับพลังโจมตีของฝูอิงในตอนนั้นได้  และถ้าศัตรูของเขาคือสมาพันธ์ชาวยุทธมันอาจขยายได้หลายเท่า นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไป เสี่ยวเอ้อซึ่งมีเพลิงกลืนวิญญาณจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเซียนของสมาพันธ์

ถังเทียนไม่มีเวลาดูเสี่ยวเอ้อ  เขากำลังยุ่ง กองพลดาบแสงยอมแพ้เป็นเรื่องทำให้เขาลำบากใจ

กำลังใจของกองพลดาบดาบแสงนั้นอยู่ในช่วงเวลาตกต่ำ ผู้บัญชาการทั้งสองยังหมดสติทำให้พวกเขาเป็นมังกรไร้หัว ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงของการยอมแพ้นั้นได้  ความภาคภูมิใจที่สมาพันธ์ชาวยุทธมอบให้แก่พวกเขาได้ซึมซับเข้าไขกระดูกมาเป็นเวลานานแล้ว  ในสายตาพวกเขาถังเทียนและพวกก็แค่กลุ่มแก๊งอันธพาล

พวกเขาถูกรังแกโดยกลุ่มอันธพาลและพวกเขาก็ยอมแพ้

จุดจบแบบนี้กัดกินใจพวกเขายิ่งนัก  ไม่มีใครเกลียดเจ้านายทั้งสอง เพราะแสงลงทัณฑ์นั้นฉายอยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาและเจ้านายของพวกเขายินดียอมรับการลงโทษเป็นเพราะพวกเขา

ถังเทียนไม่คาดเลยว่ากองพลดาบแสงจะยอมแพ้และถูกจับโดยไม่ทันเตรียมตัว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสูญเสีย เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเขายอมแพ้ เขาไม่สามารถฆ่าตัวประกันได้ ดังนั้นปัญหาใหญ่เกิดขึ้นทันทีว่า จะเอากองพลดาบแสงไปไว้ตรงไหน

ความแข็งแกร่งของแต่ละคนในกองพลดาบแสงไม่ใช่อ่อนแอ  ถ้าพวกเขาไม่ตั้งใจสักเล็กน้อย  ก็จะทำให้เกิดภัยพิบัติได้ง่าย

ถ้าเพียงแต่ลุงปิงอยู่ที่นี่

ถังเทียนกำลังคิด  เนื่องจากลุงปิงไม่อยู่แถวนี้ทาร์ตันและพวกที่เหลือก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าว  ดังนั้นถังเทียนจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ทำหนังหนาไว้ก่อน

ขณะที่ถังเทียนรู้สึกกระวนกระวายใจ  เย่โส่วซินและเมอร์เรย์ก็ฟื้นขึ้น  สภาพใจที่หม่นหมองของทหารคลายความตึงเครียดขึ้นมาบ้าง  นักสู้หลายคนที่พบว่าเป็นแกนหลักของพวกเขาได้สงบจิตใจลงได้ การยอมรับแสงลงทัณฑ์เพื่อรักษาชีวิตคนของเขา การกระทำของเย่โส่วซินและเมอร์เรย์ถือว่าได้พิสูจน์ตัวต่อกองพลดาบแสง

ถังเทียนมีความสุขมาก  ความจริงเขาให้เกียรติคนทั้งสอง

พวกเขาคือลูกผู้ชายตัวจริง!

เขาแตะไหล่พวกเขาและพูดอย่างจริงจัง  “จากนี้ไปทุกคนถือเป็นพี่น้องกัน!”

สีหน้าอารมณ์ของเย่โส่วซินและเมอร์เรย์กลับกลายเป็นซับซ้อน  พวกเขาทั้งสองเตรียมตัวตาย  แต่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะรอด  เย่โส่วซินสงบใจได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ใช่คนที่มีทุกอย่างจากสมาพันธ์ชาวยุทธ  ดังนั้นเขาไม่เห็นด้วยกับสมาพันธ์ชาวยุทธ์เต็มที่  ขณะที่สีหน้าของเมอร์เรย์หม่นหมองมาก

เย่โส่วซินที่สงบอารมณ์ได้แล้วเตือนถังเทียน  “จะมีเซียนสิบห้าคนจากวิหารเซียนมาถึงในไม่ช้า  ท่านควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ”

เซียนสิบห้าคนจากวิหารเซียน!

หน้าของทุกคนเคร่งเครียด  มอนตากล่าว “เราจะมีเวลาอีกนานเท่าใด?”

“อย่างมากครึ่งวัน”เมอร์เรย์เป็นคนกล่าว  แม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดใจ  แต่เขารู้ว่าถ้าถังเทียนต้องสู้กับพวกเขา  อย่างนั้นชะตาของกองพลดาบแสงก็มีแนวโน้มว่าจะต้องถูกประหาร

ฆ่าเพื่อเตือนคนที่เหลือ!

ระดับสูงจะต้องลงโทษกองพลดาบแสงรุนแรงอย่างแน่นอน  เมอร์เรย์แม้สงสัยว่าอาจจะต้องตายทันทีในฐานะเป็นกองทหารระดับสูง พวกเขาคงไม่สามารถชดเชยความผิดได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเย่โส่วซิน?  กลัวตายหรอกหรือ?  เขารู้ว่าไม่ใช่เพราะเมื่อเทียบกับแสงลงทัณฑ์แล้วความตายสะดวกสบายมากกว่า

ถังเทียนไม่รู้เรื่องของศักดิ์ศรีของวิหารเซียน แต่คนที่เหลือรู้และเมื่อพวกเขาได้ยินถึงกับเปลี่ยนสีหน้า

“พวกเขาแข็งแกร่งมากนักหรือ?”  ถังเทียนไม่สบายใจ  “เฮ้ เฮ้ ที่นี่เรามีคนตั้งมากมาย  43 ต่อ 15 มีอะไรที่พวกท่านต้องกลัว”

เย่โส่วซินและเมอร์เรย์ตะลึง  พวกเขามองดูถังเทียนด้วยสายตาประหลาด

ดูเหมือนเจ้าโง่นี่  เขาใช่หนุ่มชาวฟ้าที่กวาดชัยชนะไปทั่วโลกทันทีที่ออกมาหรือ

เขาแกล้งทำตัวอย่างนั้นหรือเปล่า?   บางที...

สามารถสร้างรากฐานได้อย่างนั้น  เขาจะโง่ได้ยังไง?  เขาจะตบตาชาวโลกได้ยังไง?

มอนตาเห็นว่าถังเทียนตาบอดเพราะมองโลกในแง่ดี  เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอดหน้ากากเปิดเผยความผิดพลาด  “ท่านเจ้ากลุ่มดาว  เราทุกคนเป็นเซียนอิสระ  เทียบกับเซียนจากวิหารเซียนไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องมือเครื่องใช้ หรือพลังความแข็งแกร่งเราด้อยกว่าทั้งนั้น”

ถังเทียนเพียงแต่สะดุ้ง ร้องโอว จากนั้นตอบ “เป็นอย่างนี้นี่เอง”

ในบรรดาเซียนกลุ่มนี้มอนตาถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นถ้าเขาพูดว่าพวกเขาไม่มีความมั่นใจ อย่างนั้นคนที่เหลือก็คงเป็นไปตามนั้นแน่ เซียนทุกคนต้องการรักษาหน้า ถ้าไม่แตกต่างกันเกินไป พวกเขาคงไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองแน่นอน

ถังเทียนเกาคางและเริ่มคิด

ทันใดนั้นเย่โส่วซินพูด  “ลูกกลมบรอนซ์ที่ท่านเจ้ากลุ่มดาวเพิ่งใช้ไปของเหล่านั้นก็คืออาวุธเฉพาะไม่เหมือนใคร”

ทุกคนพยักหน้า มอนตาเอ่ย “ใช่แล้วเปลวเพลิงนั่นสามารถทำอันตรายเซียนได้หนักหน่วงแน่”

ถังเทียนตบต้นขาเขา ใช่แล้วเพลิงกลืนวิญญาณนับได้ว่าเป็นสมบัติจิตวิญญาณครึ่งหนึ่ง  ดังนั้นมันสามารถทำร้ายเซียนได้  เขาไม่พูดอะไรสักคำและเรียกเสี่ยวเอ้อออกมา  “เสี่ยวเอ้อ,ถ้าเจ้าเริ่มสร้างลูกกลมตอนนี้ ครึ่งวันเจ้าจะทำได้กี่ลูก?”

“ร้อยลูก”  เสี่ยวเอ้อตอบ ก่อนหน้านี้เขาก็สร้างมาร้อยลูกแล้วจึงมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง นอกจากนี้เขายังมีความเข้าใจเพลิงกลืนวิญญาณอย่างลึกซึ้งมากขึ้นการสร้างอีกจึงเป็นเรื่องง่ายขึ้น

“เยี่ยมมาก  อย่างนั้นจะได้กันคนละสองลูก”  ถังเทียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี

“คนละลูกก็พอ” เสี่ยวเอ้อไม่เต็มใจในตอนแรก  แต่หลังจากคิดดูอีกที  ถ้าเขาให้เพลิงกลืนวิญญาณพวกเขา อย่างนั้นเขาคงไม่จำเป็นต้องสร้างสมบัติวิญญาณอีกต่อไป

เสี่ยวเอ้อเอ่ย“มันเรียกว่าเพลิงกลืนวิญญาณ แต่จะดีที่สุดต่อพวกท่านทุกคนถ้าหาอาหารที่เป็นสมบัติให้มันกินยิ่งมากก็ยิ่งดี เนื่องจากพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยสมบัติ  เมื่อเริ่มสร้างค่าจิตวิญญาณของมันจะอ่อนแอมากและยากจะทำร้ายพวกเซียนได้”

“เพลิงกลืนวิญญาณ?”

ทันใดนั้นใครบางคนอุทานออกมา  นั่นคือเถียนกู่ เขาคือเซียนพลังสายเลือดคนเดียวในกลุ่มและตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“แข็งแกร่งมากไหม?”  มอนตาถามเขาด้วยความสงสัย

แม้ว่าเถียนกู่จะตื่นเต้น  แต่เขามองเสี่ยวเอ้อและไม่ตอบ

“บอกพวกเขาได้เลย”เสี่ยวเอ้อพูดด้วยเสียงเหมือนเด็ก  ใบหน้าของเขาเหมือนตุ๊กตาน่ารักลักษณะที่พยายามทำตัวเหมือนเป็นคนแก่ทำให้ดูน่าขัน

เถียนกู่กล่าว “เพลิงกลืนวิญญาณถูกสร้างขึ้นมาโดยเซียนพลังสายเลือดผู้มีชื่อว่าฉีจือชวินเขาไม่ได้มาจากองค์การวิญญาณมืดแต่เป็นเซียนอิสระ เขาต่อต้านสมาพันธ์ชาวยุทธและถูกไล่ล่าและจากนั้นเขาก่อตั้งกลุ่มเซียนอิสระและสอนเพลิงกลืนวิญญาณให้พวกเขาจากนั้นขอให้พวกเขาปฏิญาณตัวว่าจะไม่เผยแพร่ออกไป เซียนกลุ่มนี้ได้รับการขนานนามว่ากลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ”

“กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ!” หน้าของเมอร์เรย์ตื่นตกใจทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด