ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 145 เพลิงสีขาว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 147 ทักษะการปรุงยา

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 146 สิ่งลวงตาในสังคมมนุษย์


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 146 สิ่งลวงตาในสังคมมนุษย์

แปลโดย iPAT  

เมื่อมองลงไปจากจุดนี้ เมืองวายุบรรพกาลดูเหมือนบันไดหลายขั้น อาคารเรียงรายกันเป็นแถวตามขั้นบันไดและตอนนี้พวกมันกำลังถูกย้อมไปด้วยแสงสีแดง

ผู้คนจำนวนมากเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนและตรอกซอย

มุมมองที่กว้างใหญ่ทำให้ความคิดของเขาโลดแล่นไปไกล

“ทิวทัศน์ที่นี่ช่างงดงามนัก” หลี่ฉิงซานถอนหายใจ จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกหมัดปีศาจวัว

เขาไม่รีบร้อนกลับร่างปีศาจและกินยาจำนวนมาก มันจะดีกว่าที่เขาจะกลับไปรับเม็ดยารวบรวมพลังปราณที่เมืองเจียเผิงแทนการกินยาจำนวนมากและต้องทนทุกข์กับการขาดแคลนอยู่ที่นี่

เขาเปลี่ยนชุดก่อนจะออกจากบ้านและเดินลงบันไดหลายขั้น เขาสั่งขนมท้องถิ่นและรู้สึกว่าเขาเข้าใกล้ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะลิ้มลองอาหารเลิศรสทั้งหมดบนโลกใบนี้ไปอีกก้าว หลังจากนั้นเขาก็ออกไปเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ เขาเคลื่อนที่อย่างช้าเพื่อชื่นชมทัศนียภาพ

เขาไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ตนเองได้ทำเรื่องเช่นนี้ ตั้งแต่เขาเริ่มบ่มเพาะ ทุกวันก็เต็มไปด้วยแรงกดดันและความตึงเครียด แม้เขาจะกลับเข้าสู่สังคมมนุษย์และมาถึงเมืองวายุบรรพกาล เขาก็ยังต้องจัดการปัญหามากมาย

เขาลงทัณฑ์คนชั่ว สังหารคู่ต่อสู้ที่มีอำนาจ และป้องกันตัวเองจากศัตรู แม้เขาจะมีเวลาว่างเล็กน้อย เขาก็ต้องใช้มันเพื่อการบ่มเพาะและไม่สามารถผ่อนคลาย

เขาเกือบลืมไปแล้วว่าการพักผ่อนเป็นอย่างไร เขาหวนคิดถึงอดีต ช่วงเวลาที่เขาอยู่บนภูเขากระทิงหมอบ เฝ้าดูวัวดำกินหญ้า มองภูเขา เป่าขลุ่ย หลีกเลี่ยงการกดขี่ของพี่ชายและพี่สะไภ้ วันเวลาเหล่านั้นผ่านมาโดยที่เขาแทบไม่ทันรู้ตัว

สองชีวิตของเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ละชีวิตมีเสน่ห์ของมันเอง แต่เขาชอบวิถีชีวิตในปัจจุบันมากกว่า

เมื่อมองผู้คนบนท้องถนน เขารู้สึกถึงความแตกต่างบางอย่าง แม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์พลังปราณระดับต่ำและอ่อนแอที่สุด แต่เส้นทางของเขายังแตกต่างจากคนธรรมดามาก

คนธรรมดาจะทำงาน แต่งงาน และมีลูก พวกเขาใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปจนตาย ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนเหมือนคนกำลังปีนภูเขาที่พวกเขาไม่สามารถไปถึงยอด ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวไปข้างหน้า พวกเขาจะเห็นทิวทัศน์ใหม่ๆ ชีวิตของพวกเขาจะยืดยาวออกไปและอยู่ไกลจากเงื้อมมือมัจจุราชมากขึ้น

ด้านหน้าสำนักงานของทางการ ป้ายประกาศถูกติดไว้ มันระบุว่าทรัพย์สินของตระกูลเฉียนจะถูกนำออกประมูล

ชาวเมืองหลายร้อยคนมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลี่ฉินซานยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและคิดว่าเจ้าเมืองผู้นี้ช่างทำงานได้รวดเร็วนัก

หลังจากนั้นเขาก็เดินฝ่าฝูงชนไปยังร้านหนังสือเล็กๆ เขาจ่ายเงินสองตำลึงเพื่อซื้อหนังสืออ่านเล่นหลายเล่มทั้งบทกวี ประวัติศาสตร์ และวรรณกรรมทั่วไป ต่อมาเขายังใช้เงินสามสิบห้าตำลึงเพื่อซื้อขลุ่ยหยกชิ้นหนึ่งจากร้านขายเครื่องดนตรี

เมื่อกลับถึงบ้าน เขานั่งลงบนเก้าอี้โยกใต้ต้นองุ่นและเปิดหนังสืออ่านอย่างระมัดระวัง ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาว มันเจาะผ่านใบหนาทึบของเถาองุ่นและตกกระทบลงบนหนังสือเช่นเดียวกับใบหน้าของเขา

ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่น่าเกรงขามหรือผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่เด็ดขาดเมื่อกล่าวถึงการฆ่า ความแข็งกระด้านบนใบหน้าของเขาดูเหมือนจะอ่อนโยนลงเล็กน้อย

แก่นปีศาจรูปกระดองเต่าหมุนวนอย่างช้าๆอยู่ในร่างากายของเขาและเรืองแสงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหงื่อไหลออกมาจากร่างของเขาทำให้เสื้อของเขาเปียกชื้น

ธนูที่ไม่ได้ใช้งานต้องปลดเชือกออก การพักผ่อนทำให้ความตึงเครียดในใจของเขาผ่อนคลายลง สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้ธนูของเขาทรงพลังยิ่งขึ้นในอนาคตหรืออาจจะเร็วๆนี้

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่สามารถผ่อนคลาย มีเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากเมืองวายุบรรพกาลหลายสิบกิโลเมตร มันถูกเรียกว่าเมืองซ่างกวน คนส่วนใหญ่ของที่นี่ใช้คำว่าซ่างกวนเป็นนามสกุลของพวกเขา

แม้พวกเขาจะมีนามสกุลที่หายากแต่พวกเขาไม่ใช่กองกำลังของจอมยุทธ์ พวกเขาเป็นเพียงคนสามัญธรรมดา

อย่างไรก็ตามมีครอบครัวหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองเพียงเพราะพวกเขาให้กำเนินบุตรสาวที่ใช้นามสกุลเฉียน พวกเขามีบ้านหลังใหญ่พร้อมคนรับใช้จำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาสังสรรค์ทุกวันและทำให้ทุกคนในเมืองรู้สึกอิจฉา

ตอนนี้ม้าสีขาวตัวหนึ่งกำลังวิ่งไปตามเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองวายุบรรพกาลกับเมืองซ่างกวน

เฉียนหรงจื่อมองไปที่หมู่บ้านซ่างกวนจากระยะไกล จิตใจที่เคยสงบนิ่งของนางกลายเป็นยุ่งเหยิง นางอดไม่ได้ที่จะกระชับแส้แยกแม่น้ำที่เอวของนางให้แน่นขึ้น นี่เป็นอาวุธที่ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจ

ดวงตะวันทอแสงอยู่บนท้องฟ้าแต่แววตาของนางกลับหม่นหมอง นางเย้ยหยันตนเอง “เฉียนหรงจื่อ โอ้ เฉียนหรงจื่อ เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปจริงๆ”

นางถูกพรากไปจากครอบครัวนี้ หลังจากนางประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะ เฉียนเยี่ยนเหนิงอนุญาตให้นางกลับบ้านพบครอบครัวของนาง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็กลับมาบ่อยๆ นางปฏิบัติต่อคนในครอบครัวอย่างอบอุ่น นางต้องการให้เฉียนเยี่ยนเหนิงเชื่อว่านางให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์และอดีตของนาง นอกจากนี้นางยังต้องการทำให้ตระกูลเฉียนเชื่อว่าพวกเขาสามารถควบคุมนางได้โดยใช้คนเหล่านี้

แต่ตอนนี้นางหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นแล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่คนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หัวใจของนางค่อยๆเย็นเยียบลง ถึงเวลาที่นางต้องจบทุกสิ่งแล้ว

ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้มีความสุขบนความทุกข์ของนาง! ไม่มี!

ประตูสีแดงชาดของคฤหาสน์เปิดกว้าง เลือดไหลนองอยู่ตรงทางเข้า

เฉียนหรงจื่อถือแส้แยกแม่น้ำและขมวดคิ้วครุ่นคิดขณะที่นางยืนมองศพมากกว่าสิบศพที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้หรือยาม

นางสามารถบอกชื่อของทุกคนแต่ตอนนี้พวกเขาตายหมดแล้ว

เมื่อนางเดินลึกเข้าไป นางก็เห็นศพมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนางมาถึงลานบ้านด้านใน นางเห็นนายหญิงของบ้านหลังนี้ เดิมทีนายหญิงผู้นี้เป็นหญิงบ้านนอกที่ยากไร้ แต่บัดนี้ศีรษะของนางเต็มไปด้วยเครื่องประดับล้ำค่า นางสวมผ้าไหมราคาแพงจากทางใต้ อย่างไรก็ตามตอนนี้นางกลับนอนอยู่บนกองเลือด

เฉียนหรงจื่อลืมชื่อนางหญิงผู้นี้ไปแล้วเนื่องจากนางเรียกแม่มานานเกินไป

อย่างไรก็ตามนางกลับรู้สึกสบายใจขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง นางมองศพก่อนจะก้าวข้ามมันไป

จากนั้นนางก็พบคนรู้จักมากขึ้น

แม้จะเป็นเวลาเที่ยงวันแต่ห้องโถงบรรพชนกลับมืดมาก ป้ายวิญญาณหลายป้ายถูกความมืดกลืนกิน

ชายชราผมขาวกำลังจับชายวัยกลางคนร่างท้วมเอาไว้ เขามองด้วยสายตาเย็นชาและเกลียดชังไปที่เฉียนหรงจื่อขณะที่นางเดินเข้ามา “ซ่างกวนหรงจื่อ ข้ารู้ว่าเจ้าจะกลับมาที่นี่!”

เฉียนหรงจื่อกล่าวด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย “ลุงสาม!”

ชายชราผู้นี้คือหลานชายของเฉียนเยี่ยนเหนิง เขาปิดประตูบ่มเพาะมานานหลายปี ในที่สุดเขาก็กลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสอง คืนที่ผ่านมาเขาหลบหนีออกจากห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉียน เตียวเฟยไม่ได้ไล่ล่าเขาซึ่งเป็นเหตุผลที่เขารอดชีวิตมาได้

เฉียนหรงจื่อกล่าว “ท่านทำทั้งหมดนี้งั้นหรือ?”

ลุงสามกล่าว “ถูกต้อง ซ่างกวนหรงจื่อ คนทรยศ! เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าลุงสามอีกงั้นหรือ! เจ้าฆ่าล้างตระกูลเฉียน เจ้าทำลายตระกูลเฉียน เจ้าทำลายทุกอย่างของข้า ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า ข้าจะฆ่าครอบครัวทั้งหมดของเจ้า!”

“หรงจื่อ ช่วยข้าด้วย!” ชายร่างท้วมกระตุก น้ำมูกและน้ำตาลไหลอาบใบหน้าของเขา

นี่คือคนที่นางเรียกว่าพ่อ เฉียนหรงจื่อกล่าวด้วยความโกรธและหวาดกลัว “ท่านพ่อ ข้าจะช่วยท่านอย่างแน่นอน! เฉียนห่าวเต๋อ ปล่อยพ่อของข้า!”

เฉียนห่าวเต๋อกล่าว “ตอนนี้เจ้ารู้จักกลัวแล้วงั้นหรือ? นังสารเลว ทิ้งอาวุธและคุกเข่าลง!” เฉียนห่าวเต๋อลังเลในตอนแรก ดังน้นเขาจึงกดไหล่ของชายร่างท้วมเพื่อทำให้ชายร่างท้วมกรีดร้องและออกคำสั่ง “คุกเข่า!”

เฉียนหรงจื่อโยนแส้แยกแม่น้ำออกไปด้านข้างและคุกเข่าลงพร้อมกับกรีดร้อง “ได้โปรด ปล่อยท่านพ่อของข้า!”

เฉียนห่าวเต๋อยิ้มอย่างบ้าคลั่งและพึงพอใจ เขาไม่รีบร้อนฆ่านาง เขาต้องการทรมานครอบครัวของนางต่อหน้านาง

เฉียนหรงจื่อขยับเข้าไป ขณะเดียวกันนางก็เอื้อมมือขวาไปข้างหลังและใช้พลังปราณดูดแส้แยกแม่น้ำกลับเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นนางก็กระโจนขึ้นจากด้านล่างและโจมตีเฉียนห่าวเต๋ออย่างกะทันหัน

เฉียนห่าวเต๋อดึงชายร่างท้วมเข้ามาเพื่อเป็นโล่ป้องกันและรอให้เฉียนหรงจื่อถอยกลับ

อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกเย็นที่หน้าอก ปรากฏว่าเฉียนหรงจื่อไม่มีความตั้งใจที่จะล่าถอย แส้แยกแม่น้ำทะลวงโล่เนื้อและเจาะเข้าไปในหน้าอกของเฉียนห่าวเต๋อพร้อมกับพลังปราณสีฟ้า

“เจ้า...” เฉียนห่าวเต๋อและชายร่างท้วมมองเฉียนหรงจื่อด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะที่ความเจ็บปวดบนใบหน้าของนางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา

เฉียนหรงจื่อยิ้ม “มันค่อนข้างยากสำหรับข้าที่จะฆ่าเจ้าโดยตรง!”

เฉียนห่าวเต๋อกล่าว “ซ่างกวนหรงจื่อ...นังตัวร้าย! เจ้าไม่ไว้ชีวิตแม้แต่ครอบครัวของเจ้าเอง!”

เฉียนหรงจื่อแก้คำของเขา “ข้าไม่ใช่ซ่างกวนหรงจื่อ ข้าคือเฉียนหรงจื่อ! ครอบครัวส่วนใหญ่ของข้าตายไปแล้ว เหลือเพียงท่านเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่มีครอบครัวเหลืออยู่” นางดึงแส้แยกแม่น้ำกลับมาอย่างโหดเหี้ยม

เฉียนห่าวเต๋อและชายร่างท้วมทรุดลงบนพื้นพร้อมกัน เฉียนหรงจื่อไม่แม้แต่จะชำเลืองมองชายร่างท้วมขณะที่นางหยิบกระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนห่าวเต๋อขึ้นมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า “ขอบคุณท่านลุงสาม”

เฉียนห่าวเต๋อยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ขณะที่เขาพยายามรวบรวมพลังปราณ แส้แยกแม่น้ำก็พุ่งผ่านศีรษะของเขาไปโดยไม่ลังเล นางกล่าว “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรงจื่อ”

“หรงจื่อ ช่วยข้าด้วย!” ชายร่างท้วมยื่นมือออกมาและคว้าชายเสื้อของเฉียนหรงจื่อเอาไว้

“เจ้าเป็นใคร?”