ตอนที่แล้วบทที่ 47: อย่ากลับคืนคำ ไปเรียกราชาหยานให้กลับมา  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 49: ด้วยความยินดี ความไร้ยางอายคืออะไร?

บทที่ 48: ผู้บุกเบิกการเก็บลูกท้อ ผู้ว่าการมณฑลหลิว


บทที่ 48: ผู้บุกเบิกการเก็บลูกท้อ ผู้ว่าการมณฑลหลิว

ห่างออกไป 300 ลี้จากทางทิศตะวันออกของมณฑลจูเหอคือมณฑลลู่

ที่นี่คือหนึ่งใน 13 มณฑลของรัฐเฟิงโจวและเป็นศูนย์กลางทางน้ำของ รัฐเฟิงโจว ไม่เพียงแต่มันจะอยู่ติดกับแม่น้ำหงเท่านั้น แต่มันยังตั้งอยู่ในจุดตัดของแม่น้ำทั้งสามสายอีกด้วย มันสามารถใช้เป็นจุดเดินเรือผ่านทางน้ำทั้งหมดได้และตั้งแต่สมัยโบราณ มันก็เป็นสถานที่ที่กองทัพต่างๆ ต่างก็ ต่อสู้กันเพื่อหมายจะแย่งชิง ในครั้งนี้ ราชาหยานเองก็เลือกที่จะบุกยึดมณฑลลู่เช่นเดียวกัน มันมีแม่น้ำล้อมอยู่สามด้านของเมือง และมณฑลลู่ก็มีการสร้างท่าเรือ หลายแห่งขึ้นที่นี่เพื่อให้เรือสินค้าสามารถเข้ามาเทียบท่าได้ตลอด

ในขณะนี้เรือบรรทุกสินค้าที่ดูธรรมดาลำหนึ่งก็จอดอยู่ในท่าเรือแห่ง หนึ่งของท่าแม่น้ำหง

เรือสินค้าลำนี้เต็มไปด้วยทองคำ เงิน และเครื่องประดับต่างๆ มันมี หญิงสาวมากกว่าสิบคนและเด็กผู้ชายหลายคนกำลังนั่งหลบอยู่ข้างในนั้น อย่างไรก็ดี พวกเขาทั้งหมดก็กำลังนั่งอยู่ภายในห้องโดยสารด้วยท่าทีที่กระสับกระส่ายเล็กน้อย

ในที่สุดเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ชายวัยกลางคนที่มีพุงโตพลุ้ย และแต่งตัวดูเหมือนกับพ่อค้าก็เดินเข้ามาในเรือ

เมื่อคนในห้องโดยสารเห็นเขา พวกเขาทั้งหมดก็ถอนหายใจออกมา อย่างโล่งอก “ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดท่านก็มาถึง”

ชายวัยกลางคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิวหลี่เต๋า ผู้ว่าการมณฑลลู่ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางการมีสถานะสูงสุดในมณฑลแห่งนี้

ไม่กี่วันก่อน เขาได้รับรายงานว่าทัพหน้าของราชาหยานได้บุกยึดครอง มณฑลต้าคังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกมันก็กำลังจะบุกเข้ายึด ครองมณฑลจูเหอต่อ

เมื่อได้ยินรายงานนี้ ผู้ว่าการหลิวก็ตกใจกลัวมากจนตัดสินใจจะละทิ้งเมืองและหลบหนีออกไปในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับเงิน และนางบำเรอมามาก ดังนั้นเพียงแค่การเตรียมการเพียงอย่างเดียวก็จึงต้องใช้เวลามากถึงสามวันแล้ว และในที่สุด วันนี้เขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว เขาแสร้งทำเป็น ออกไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน นอกจากนี้เขาก็ยังบอกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาว่าเขาจะกลับมาภายในเจ็ดวันเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หลิวหลี่เต๋ากำลังจะขึ้นเรือ คนรับใช้คนหนึ่งก็ได้ รีบวิ่งเข้ามา “นายท่าน มีรายงานด่วน!” คนรับใช้รีบวิ่งเข้ามาขณะหอบแฮ่ก เขายังคงถือจดหมายเอาไว้อยู่ในมือ “มีรายงานด่วนจากหน่วยข่าวกรอง”

“น่าสมเพช เจ้ากำลังถ่วงเวลาการหลบหนีของข้า!” ผู้ว่าการหลิวก่นด่า ในใจ แต่เขาก็ยังคงเปิดรายงานอ่านอย่างใจเย็น

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม อย่างน้อยรายงานฉบับนี้ก็ยังน่าจะพอใช้เป็นข้อมูล อ้างอิงสำหรับเส้นทางการหลบหนีของเขาได้บ้าง “นี่มันอะไรกัน?!”

เมื่อผู้ว่าการมณฑลหลิวอ่านเนื้อหาข้างในเสร็จเขาก็อุทานออกมา ในทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่เขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“โอ้พระเจ้า!”

“มณฑลจูเหอสามารถป้องกันได้สำเร็จ แม่ทัพเว่ยคุนถูกสังหาร ส่วนแม่ ทัพหยานเฉิงและน้องชายของราชาหยาน หวังชุนถูกจับทั้งเป็น”

“นอกจากนี้ กว่าครึ่งของกองทหาร 50,000 นายก็ยังเสียชีวิตลงและ ได้รับบาดเจ็บสาหัส?!”

“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? มณฑลจูเหอมีขนาดเล็กจะตาย พวกเขาจะ สามารถต้านทัพทหาร50,000 นายได้อย่างไร? พวกเขากล่าวว่า กองทัพศัตรูประสบเข้ากับพายุและจึงสูญเสียกำลังรบไปในขณะบุก โจมตี นี่มันเรื่องไร้สาระทั้งเพ พวกเขาคิดว่านี่เป็นบทละครหลอกเด็ก อย่างงั้นหรอ?!”

เนื้อหาในรายงานฉบับนี้มันไร้สาระเกินไป ในฐานะผู้ว่าการมณฑลลู่ เขาก็รู้สถานการณ์ในมณฑลจูเหอเป็นอย่างดี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถต้านทานกองทัพของราชาหยานที่กวาดล้างครึ่งหนึ่งของเฟิงโจวไปแล้วได้! ถึงอย่างงั้น รายงานก็ได้กล่าวเอาไว้ว่ามณฑลจูเหอนั้นสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างอยู่หมัด

“เป็นไปได้ไหมที่เฉินตงจะรู้ว่าข้ากำลังจะหลบหนีดังนั้นเขาจึงสร้าง เรื่องมาโกหกข้า?” การคาดเดาแวบเข้ามาในหัวของหลิวหลี่เต๋า แต่แล้ว เขาก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว การโกหกเกี่ยวกับข่าวกรองถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง มันร้ายแรงยิ่ง กว่าการที่เขาหนีหน้าที่ตนเองด้วยซ้ำ

“นี่มันจริงแน่หรอ? แต่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?” หลิวหลี่เต๋าถือรายงานไว้ ในมือและมองซ้ายขวาอย่างลังเล “ถ้ารายงานนี้เป็นความจริง…”

เขาไม่ได้เชื่อในเนื้อหาของรายงาน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะ รู้สึกดีใจอยู่เล็กน้อย

ราชาหยานผู้ก่อการกบฏได้สร้างความหายนะในเฟิงโจวมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว เขาชนะทุกการศึกติดต่อกันและไม่เคยได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้มา ก่อน ราชสำนักต้าจินเองก็ได้ออกคำสั่งให้ผู้ว่าการมณฑลในรัฐเฟิงโจวส่งกองกำลังมาเข้าปิดล้อมและทำลายล้างพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ยังถูกทำลายลง

ด้วยเหตุนี้เอง ตราบใดที่ผลของรายงานนี้เป็นความจริง ไม่ว่าพวกเขา จะทำสำเร็จได้อย่างไร แต่มันก็จะยังนับเป็นชัยชนะที่อยู่เหนือการ คาดการณ์อย่างแน่นอน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาจับน้องชายของราชาหยานได้ทั้งเป็น นี่ถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่มาก!

“จะจริงหรือไม่ ข้าก็ต้องส่งคนไปสืบก่อน” ดวงตาของหลิวหลี่เต๋าเป็น ประกายในขณะที่เขากำรายงานเอาไว้แน่น เขาคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไรดี

“หากผลลัพธ์ในรายงานนั้นเป็นเรื่องจริง ข้าก็สามารถสั่งให้ผู้ว่าการ มณฑลจูเหอคุ้มกันหวังชุนมาส่งยังมณฑลลู่ได้ และหลังจากให้รางวัล เขาเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ยังสามารถพาตัวหวังชุนไปที่เมืองหลวงเพื่อเอา หน้าแทนได้!”

“ผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวคนปัจจุบันนั้นไร้ความสามารถและปล่อยให้กลุ่ม โจรหยานสร้างความเสียหาย ทางราชสำนักเองก็ไม่พอใจเขามานาน แล้ว นอกจากนี้ ถ้าข้าสามารถทำผลงานได้ดีขนาดนี้ มันก็จะมีโอกาสูง มากที่ข้าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวแทน!”

“และเมื่อถึงเวลานั้น ข้าก็จะได้กลายเป็นราชาแห่งรัฐ และในโลกที่ วุ่นวายใบนี้ข้าก็จะสามารถปักหลักตั้งมั่นได้อย่างสบายใจ!”

แม้ว่าโลกจะตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลและจะเป็นเรื่องยากสำหรับคำสั่งของราชสำนักที่จะเข้าถึงมณฑลต่างๆ แต่ผู้ว่าการทุกคนต่างก็ ยังคงเคารพในตัวราชสำนักต้าจินในฐานะผู้นำสูงสุด

พวกเขาจะไม่ขัดคำสั่งของจักรพรรดิในสถานการณ์ปกติอย่างแน่นอน

มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นกบฏ และมันก็จะง่ายมากที่พวกเขา จะตายในวันถัดมา ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ว่าการเหล่านี้ก็ไม่มีความตั้งใจที่จะรับใช้ราชสำนักเลย

พวกเขาเพียงแค่ต้องการจะรักษาชีวิตและเงินทองของพวกเขาเอาไว้ก็เท่านั้นเอง!

“นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว!” หลิวหลี่เต๋าตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาคิดกับตัวเองว่า “เร็วเข้า รีบส่งคนไปที่มณฑลจูเหอโดยเร็วที่สุด ข้าจะเป็นคนไปเด็ดลูกท้อผลนี้เอง!!”

สำหรับความคิดเห็นของผู้ว่าการมณฑลจูเหอ ใครบ้างจะสนใจเกี่ยวกับ ความคิดเห็นของเมล็ดงา?

นี่เป็นโลกแห่งพลัง ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะทรงพลังเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังไม่ สามารถพลิกฟ้าได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ!

หลังจากที่ซุยเฮ็งออกประกาศให้จัดตั้งกองทัพขึ้น มณฑลจูเหอก็ตกอยู่ ในความโกลาหลวุ่นวาย จ้าวกวงเป็นคนที่ยุ่งเป็นพิเศษ ในทางกลับกัน ซุยเฮ็งก็กลายเป็นคนที่เกียจคร้านเป็นพิเศษเช่นกัน

ในที่สุดเขาก็มีเวลาดูความคืบหน้าในการฝึกตนของเขา หลังจากที่การต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองผ่านพ้นไป แสงจากอารมณ์ทั้งเจ็ดก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

สีแดงที่แสดงถึงความสุขและสีขาวที่แสดงถึงความรักได้สว่างเกินสาม จุดแล้ว สีดำที่แสดงถึงความรังเกียจและสีเขียวที่แสดงถึงความกลัวเอง ก็กำลังจะสว่างถึงสามจุดแล้ว สีเทาที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยและมันก็ใกล้จะถึงหนึ่งจุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ซุยเฮ็งปวดหัวที่สุดก็คือสีเหลืองที่แสดงถึงความปรารถนา

เขาจะทำให้แสงสีเหลืองสว่างขึ้นได้อย่างไร?

นี่เป็นคำถามที่ควรค่าแก่การคิด อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจอะไรในตอนนี้ เขาทำได้เพียงจดจ่ออยู่กับการหาวิธีใช้พลังปราณของเขาอีกครั้ง

ในขณะที่พยายามดูว่าเขาจะสามารถสร้างลุกเล่นอะไรใหม่ๆ ได้หรือไม่ เขาก็ต้องการจะดูว่าเขาจะค้นพบความก้าวหน้าบางอย่างในการใช้พลัง ปราณของเขาได้หรือไม่

เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ ซุยเฮ็งกำลังทดสอบลูกเล่นใหม่บางอย่างอยู่ แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ท่านผู้ว่าการ มีหญิงสาวกำลังรอท่านอยู่ข้างนอก นางบอกว่าชื่อของนางคือซูไป่ลู่”

“ซูไป่ลู่?” ซุยเฮ็งตกตะลึง เขาไม่เคยพบคนชื่อนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม จู่ๆ เขาก็นึกถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาพบเจอตอนอยู่บนกำแพงเมือง ในตอนนั้น ฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยก็กำลังยืนพูดคุยกับเธออยู่ ดังนั้นแล้วเธอก็น่าจะเป็นอาจารย์ของพวกเธอ

“เป็นนางนี่เอง” ซุยเฮ็งพยักหน้ากับตัวเองเล็กน้อย “บอกนางให้ไปรอข้าที่ห้องรับแขก”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด