ตอนที่แล้วตอนที่ 502 - เซี่ยอีและไห่อิงอู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 504 - แว่วเพลงปีศาจ

ตอนที่ 503 - บุคคลลึกลับ


“ไม่ใช่ว่ามันทำไม่ได้ เพียงแต่ข้ายังขาดคนคอยช่วยกรองงานให้ข้าตอนที่ไม่อยู่ เจ้าช่วยทำได้ไหม?” ทันทีที่เย่ว์หยางพูดอย่างนี้ ไห่อิงอู่ทำเป็นอ่านเอกสารอย่างจริงจัง แต่อดแอบหัวเราะไม่ได้

“เจ้า!” เซี่ยอีโกรธจัดจนนางอยากจะกัดเจ้าเด็กนี่ให้ตายนัก

“ความจริง มีอีกเรื่องหนึ่งที่มีแต่เจ้าเท่านั้นสามารถทำได้” เมื่อเย่ว์หยางพูดเช่นนี้ เซี่ยอีดูมีความสุขขึ้นทันที

มีบางอย่างที่นางเท่านั้นสามารถทำได้อย่างนั้นหรือ?

เห็นอย่างนั้นแล้ว ความจริงนางเป็นคนที่มีพรสวรรค์

เซี่ยอีแอบค้อนใส่ไห่อิงอู่ ไห่อิงอู่ก็ประหลาดใจเช่นกัน จะเป็นงานแบบไหนกันที่มีแต่เซี่ยอีเท่านั้นจึงจะทำได้?

หญิงสาวทั้งสองคนลอบชิงดีชิงเด่นกัน ขณะที่สาวลูกครึ่งเอลฟ์ไม่ไยดีเรื่องอย่างนี้แม้แต่น้อย

นางยังคิดจะเตรียมอ่างน้ำร้อนให้เย่ว์หยางอาบ

เซี่ยอีรีบฉุดรั้งตัวเย่ว์หยางและแสดงท่าทีในทำนองว่า “ข้าเตรียมพร้อมแล้ว พร้อมจะเริ่มงานได้ทุกเมื่อ”

เย่ว์หยางผงกศีรษะ จากนั้นเขาหยิบสมุดบันทึกออกมาจากโต๊ะและมอบให้เซี่ยอี “พรุ่งนี้เช้า จงเดินทางไปทวีปกู่ฟงช่วยข้าตรวจสอบสภาพปัจจุบันของทางผ่านโบราณเข้าทวีป ข้าต้องการข้อมูลให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ ถ้าเจ้าคิดว่าทำตามลำพังไม่ได้ อย่างนั้นข้าจะให้คนไปช่วยเจ้าจำนวนหนึ่ง”

“ไม่จำเป็น, ข้าสามารถทำตามลำพังได้” เซี่ยอีตบอกแสดงความมั่นใจของนาง

อย่าว่าแต่ปัจจุบันนี้นางมีพลังระดับเตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิด แม้ว่าก่อนหน้านั้นนางยังมีพลังของนักสู้ระดับหกก็ยังพอทำงานให้สำเร็จได้โดยไม่มีอุปสรรค

อย่างไรก็ตาม นางสงสัยว่าทำไมเย่ว์หยางถึงต้องการรู้สภาพของทางผ่านโบราณด้วย

เป็นไปได้ไหมว่าเขาต้องการให้นางจากไป เพื่อที่ว่าเขาจะได้สามารถสานสัมพันธ์กับธิดาจักรพรรดิสมุทรหรือเปล่า? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยอีเป็นกังวลและถามขึ้นทันที “พรุ่งนี้เจ้ามีงานยุ่งอีกหรือ?”

ราวกับว่ามองเห็นความคิดของเซี่ยอี เขายื่นมือออกมาลูบหน้านางเบาๆ “พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปทวีปมังกรทะยาน และอีกสิบวันข้าถึงจะกลับมาที่นี่ ภายในสิบวันนี้ เจ้าต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของทางผ่านโบราณให้ดี ถ้าปัจจุบันนี้มีคนใช้มันอยู่ อย่างนั้นเจ้าต้องรีบกลับมารายงานทันที อย่าให้ใครสังเกตเจ้าออก ถ้ามีใครใช้งานมัน อย่างนั้นเจ้าต้องบันทึกสถานการณ์เอาไว้ ดีที่สุดที่เจ้าทำได้ก็คือให้วาดรูปสถานการณ์ทั้งหมดออกมา”

เซี่ยอีถูกเย่ว์หยางลูบหน้า เขินหน้าแดงทันที

ถ้าเป็นตามปกติ นางจะต้องโกรธไปแล้ว แต่ตอนนี้ นางอายจนได้แต่ก้มหน้ามองเท้า เหมือนกับว่านางไม่สามารถคิดอะไรได้เลย

“จำเรื่องนี้ไว้ให้ดี ถ้าเจ้าพบคนที่ใช้ทางผ่านโบราณ ให้กลับมารายงานข้าทันที เอ้านี่ มีดทำลายดวงตา เอาไว้ป้องกันตนเอง” เย่ว์หยางค่อยๆ สอดมีดทำลายดวงตาไว้ที่สายคาดเอวของเซี่ยอี

“ถ้าเจ้าพบกับปีศาจที่เจ้าไม่อาจสู้ได้ในทวีปกู่ฟง แค่บันทึกชื่อเขาเอาไว้ บางทีอาจจะมีประโยชน์ก็ได้” ไห่อิงอู่เสริมขึ้นทันที

“…..” เซี่ยอีรู้สึกหงุดหงิดและโกรธนาง “เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครนึกว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกน่า”

นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงโง่ ดังนั้นเรื่องอย่างนี้นางจะไม่เข้าใจเชียวหรือ?

ปกติ การทำงานให้สำเร็จเป็นสิ่งที่นางให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก นางไม่โง่พอจะบุ่มบ่ามสร้างความลำบากให้เย่ว์หยาง

เซี่ยอีหมุนตัวและเตรียมตัวกลับไปทวีปกู่ฟงเพื่อตรวจสอบทางผ่านโบราณทันที พรุ่งนี้หรือ? ไม่ นางต้องการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จเร็วๆ

เย่ว์หยางตะโกนและตามนางมาทันที

เซี่ยอีตะลึง เจ้าผู้นี้รังเกียจจะเข้าข้างนางหรือ? หรือว่าจะยกเลิกงาน?

“ยื่นมือเจ้าออกมา” เย่ว์หยางสั่งให้เซี่ยอียื่นมือออกมา เซี่ยอีมองดูหนังสือบันทึกในมือนางและรู้สึกว่าเขาคงเสียใจ บางทีเขาอาจต้องการยกเลิกงานนาง ดังนั้นนางจึงขัดขืน “ข้าทำได้นะ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมให้ข้าลองทำดู? เมื่อนางบอกว่านางสามารถทำได้ เจ้าก็ยอมให้นางช่วยเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อใจข้าบ้าง?” เซี่ยอีเริ่มตาแดง นางรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

นางต้องการระบายความในใจออกมา

อย่างไรก็ตาม นางอดกลั้นไม่ร้องไห้ ไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา

เย่ว์หยางดึงมือน้อยๆ ของนางออกมาและจ้องมองนาง “เจ้าพูดเรื่องอะไร?” เนื่องจากนางได้ยินว่าไม่ใช่เรื่องการยกเลิกงาน เซี่ยอีหยุดขัดขืนและมองดูเขาด้วยแววตาประหลาดใจ เย่ว์หยางวางกระเป๋าเล็กๆ ในมือนางและย้ำนาง “มีผลึกเวทอยู่สองสามลูกและทองอยู่ข้างใน พยายามใช้ให้มากเท่าที่จะทำได้”

“อ่า..ได้ ได้สิ” เซี่ยอีก้มหน้าลง ดูเหมือนว่านางจะคิดมากไปเอง

“มีผลึกอัญเชิญอสูรหุ่นอยู่ข้างในสองลูก แต่ละลูกสามารถเรียกใช้หุ่นขุนพลปฐพี อสูรหุ่นทองระดับหก ถ้าศัตรูแข็งแกร่งเกินไปแค่เรียกพวกมันออกมาและให้พวกมันฆ่าโดยไม่ต้องสนใจอะไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกพวกมันกลับ ขอให้กลับมารายงานข้าอย่างปลอดภัยก็พอ นั่นคือภารกิจที่สำคัญที่สุดของเจ้า ส่วนกำไลข้อมือนี้เป็นเครื่องมือที่แตกต่างออกไป เจ้าต้องสวมมันไว้ตลอดเวลา ห้ามทำหาย มันคือแก่นแท้ของอสูรหุ่น” เย่ว์หยางช่วยเซี่ยอีสวมกำไลทองที่ลงอักขระรูนไว้บนแขนนางอย่างนุ่มนวล

“….” เซี่ยอีเม้มปากบางของนางไว้แน่น

นางพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าเขา

อย่างไรก็ตาม น้ำตาเจ้ากรรมหยดหนึ่งไม่ยอมเชื่อฟังนางกลับหยดลงบนมือของเขา

ไห่อิงอู่ถือเอกสารอยู่สองฉบับ

อย่างไรก็ตาม ตาของนางไม่ได้ดูเอกสารแต่มองดูเซี่ยอี นางยังคงมองดูเซี่ยอีและกำไลทองที่เย่ว์หยางสวมให้ที่ข้อมือนาง

หลังจากเซี่ยอีออกไปแล้ว สถานที่ก็เงียบลง

ไห่อิงอู่ถอนสายตากลับมาและถามเย่ว์หยางทันที “บอกข้าได้ไหม นางจะเผชิญกับอันตรายหรือเปล่า?”

เย่ว์หยางพึมพำกับตนเองชั่วขณะและส่ายหน้า “หวังว่าข้าจะเดาผิด อย่างไรก็ตาม ข้ามีความรู้สึกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเซี่ยอี มิฉะนั้นข้าคงไม่ปล่อยนางไปตามลำพัง” ไห่อิงอู่ต้องการจะพูดอีก แต่นางกลับยับยั้งตนเอง นางก้มหน้าก้มตาทำงานเอกสารในมือต่อไปทันที

หลังจากผ่านไปห้านาที เซี่ยอีเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนางโจรสีดำ แล้วมาปรากฏตัวต่อหน้าเย่ว์หยางอีกครั้ง

นางไม่ได้พูดอะไร

ดวงตานางสดใสเหมือนกับมีคำพูดนับพันคำ

เย่ว์หยางนึกบางอย่างออกจึงกวักมือเรียกนางมาหา “ข้าเพิ่งนึกออกว่าตอนนี้ข้ากำลังค้นคว้าเรื่องเลือดอยู่ ขอเลือดเจ้าสักสองสามหยด แค่สองสามหยดก็พอ”

เซี่ยอีใช้มีดทำลายตาจิ้มปลายนิ้วเบาๆ และรีดเลือดออกมาหยดลงในขวดหยกในมือของเย่ว์หยาง

นางมองดูเย่ว์หยางขณะทำท่าว่าจะเดินจากไป

อย่างไรก็ตาม เท้าของนางไม่ยอมขยับ

ทันใดนั้น นางโผเข้าอ้อมอกเย่ว์หยางและกอดเขาแน่น หลังจากนั้น นางเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา ร่างที่ดื้อรั้นของนางค่อยๆ หายลับตาไป

ไห่อิงอู่ทำเป็นมองดูเอกสารจนกระทั่งเซี่ยอีจากไปในไม่กี่วินาที อีกด้านหนึ่งเย่ว์หยางยังคงเตรียมตัวอาบน้ำ ดังนั้นนางฝืนพูด “นางน่ารักมากเลยนะ”

“ก็เป็นบางครั้ง” เย่ว์หยางตอบ

“พลังในตัวนางยังไม่สามารถควบคุมได้ ท่านเป็นคนช่วยยกระดับให้นางใช่ไหม?” ไห่อิงอู่ถามอย่างใจเย็น

“เจ้ามีสายเลือดจ้าวมังกรทองของจักรพรรดิสมุทรไหลเวียนอยู่ในร่างกาย นางเองก็มีสายเลือดที่ดีและนั่นก็ไม่ด้อยไปกว่าของเจ้าเลย มีเพียงสิ่งเดียวก็คือนางไม่มีบิดาอย่างจักรพรรดิสมุทร” เย่ว์หยางถอดหน้ากากเจมินี่ออกและยิ้มให้นางอย่างมั่นใจ

“…..” เมื่อเย่ว์หยางยิ้ม สีหน้าไห่อิงอู่กลับกลายว่างเปล่าทันที

นี่เป็นครั้งที่สองที่สีหน้านางเวิ้งว้างว่างเปล่า ครั้งแรกเมื่อสามชั่วโมงที่แล้วเมื่อเขาถอดหน้ากากเจมินี่เพื่อแสดงลักษณะที่แท้จริงของเขา

หลังจากอาบน้ำแล้ว เขามีความสุขปล่อยให้สาวลูกครึ่งเอลฟ์นวดเฟ้นอย่างสบายใจ

หลังจากรวบรวมเลือดของไห่อิงอู่และสาวลูกครึ่งเอลฟ์ เย่ว์หยางตัดสินใจออกจากป้อมสายฟ้าในตอนกลางคืน

แม้ว่าสาวลูกครึ่งเอลฟ์จะไม่ยินดีแยกจากกับเขา แต่นางก็ยังส่งเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เย่ว์หยางจูบอำลานาง แม้จะเป็นแค่การจูบที่หน้าผาก แต่นางก็ยังรู้สึกมีความสุขเหลือล้นเหมือนกับภรรยาส่งสามีออกจากบ้าน สาวลูกครึ่งเอลฟ์โบกมือลาจนกระทั่งเย่ว์หยางหายลับตาไปในที่สุด นางจะกลับไปที่ห้องอย่างเขินอายและมีความสุข นางขึ้นไปอยู่บนเตียงใหญ่และค่อยดึงผ้าห่มมาคลุมโปงอย่างช้าๆ ระลึกถึงอ้อมกอดและจูบของเขาอย่างมีความสุข

ในหอทงเทียนชั้นที่หก

เย่ว์หยางเดินทางมาถึงสมาคมนักรบ หลังจากพบกับโอวเกินแล้ว เขาตัดสินใจเขียนจดหมายถึงจื้อจุน, จักรพรรดินีราตรี, นางเซียนหงส์ฟ้า, เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน

“เฮ้…แม่สาวน้อย.. ข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหนรู้ไหม? ก็มากพอๆ กับที่เจ้าคิดถึงข้า!” นี่คือจดหมายที่เขาเขียนถึงเสวี่ยอู๋เสีย

“แม่เสือสาว! นานแล้วหนอที่ข้าไม่ได้ยินเสียงเจ้า ข้ายังไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่ไม่มีคนมาคำรามใส่ข้างหูข้าเหมือนราชสีห์คำราม รีบกลับมาเร็วๆ หน่อยนะ เจ้ากลับมาครั้งนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอีกเลย ข้าจะไม่ยอมให้พวกงี่เง่าตาบอดมาชิงตัวแม่เสือสาวไปจากบ้านข้า! ว่าแต่ ข้ามีข้อสงสัยที่ข้าไม่กล้าถาม เนื่องจากตอนนี้เจ้าไม่สามารถไล่ตีข้าได้แล้ว อย่างนั้นข้าขอถามเจ้าเลยก็แล้วกัน เจ้าคือแม่เสือขาวที่ไร้ตำหนิใช่หรือเปล่า?” นี่คือจดหมายที่เขาเขียนถึงองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เขาคาดไว้ว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อนางได้อ่านจดหมายนี้

“ข้าจะไม่พูดอะไรมากหลายหรอกนะ รีบพาอาหญิงมารเคราะห์ฟ้ามาที่วังเทียนหลัวและให้ข้าใช้อภิสิทธิ์กับนางสักนิด” นี่คือจดหมายที่เขาเขียนถึงนางเซียนหงส์ฟ้า

“จักรพรรดินีราตรีผู้งดงาม ใจกว้างที่สุด และใจดีที่สุดในสามโลก ข้าคือคุณชายสามตระกูลเย่ว์ ข้าเข้าใจความอบอุ่นของเตียงนอน ข้ารู้วิธีประจบเอาใจผู้คน ข้าจะขอให้ท่านโปรดปรานข้า เอ๊ย..เขียนผิด ข้าแค่อยากจะถามเกี่ยวกับการใช้งานหยกสุบิน เป็นไปได้ไหมที่คนผู้ไม่เคยฝันในเวลาหลับจะใช้หยกสุบินได้?” เย่ว์หยางรู้สึกว่าคำถามนี้ เขาควรถามกับจักรพรรดินีราตรีมากที่สุด

มิติลวงของจักรพรรดินีราตรีเป็นเหมือนดินแดนแห่งความฝันที่ผสมผสานกับความเป็นจริง

กล่าวกันว่านางใช้หยกสุบินและสมบัติอื่นสร้างจนสำเร็จได้

มันสามารถละเว้นการโจมตีจากนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหกได้ หากจะนับจำนวนคนผู้สามารถผ่านเข้าไปในมิติลวงทั่วทั้งหอทงเทียนแทบจะนับคนได้ด้วยมือข้างเดียว

จุดที่สำคัญที่สุดก็คือรหัสภายในของมิติลวงจะทำตามความปรารถนาและความคิดของจักรพรรดินีราตรี ถึงจะไม่ใช่สมบัติชั้นเทพ แต่ก็พอเทียบกันได้

สำหรับจดหมายที่เย่ว์หยางเขียนถึงจื้อจุน เขาไม่อาจทำโยกโย้อ้อมค้อมได้

เขาเขียนไปตามตรง “อาจารย์จื้อจุนที่เคาพร, บัดนี้สงครามมาถึงแล้ว ข้าขอเชื้อเชิญท่านอย่างจริงใจให้มาชมดู ศิษย์น้อยจะขอน้อมรอต้อนรับท่าน”

แค่เมื่อเย่ว์หยางเตรียมจะส่งจดหมายลับเท่านั้น พนักงานต้อนรับจำเย่ว์หยางได้ รู้สึกปวดหัวทันที “เจ้าอีกแล้ว? ต่อให้เจ้าร่ำรวย เจ้าไม่ควรสิ้นเปลืองอย่างนี้”

“ครั้งนี้เจ้าแค่เพียงส่งมอบจดหมายทั้งหมดให้จักรพรรดินีราตรี” ถ้าเป็นตามปกติ เย่ว์หยางไม่มีทางยอมเสียหมื่นเหรียญทองเพื่อส่งจดหมายลับ แต่จดหมายอย่างนี้ไม่ควรให้คนธรรมดาเห็น มิฉะนั้นจะมีผลต่อภาพลักษณ์ของจักรพรรดินีราตรี, นางเซียนหงส์ฟ้าและคนอื่นๆ ใช้เงินหมื่นเหรียญทองจะปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม หอการค้าไตตันของเย่ว์หยางมีรายได้ดียิ่งกว่าปล้นมาเสียอีก

“ได้เลย!” เมื่อพนักงานต้อนรับได้ยินชื่อของจักรพรรดินีราตรี เขาประหลาดใจทันทีและรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เขาน้อมตัวรับจดหมายไว้ด้วยความเคารพ

หลังจากเขียนจดหมายแล้ว เย่ว์หยางเตรียมกลับไปทวีปมังกรทะยาน

ทันใดนั้น เขาเห็นคนสามคนกำลังรอเขาอยู่ข้างหน้า

เมื่อสามคนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น หัวใจของเย่ว์หยางเต้นเร็วทันที ร่างของเขารู้สึกเกร็ง

สองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่พูดและเอาแต่มองเย่ว์หยาง คนตัวสูงตรงกลางซ่อนตนเองอยู่ในชุดคลุมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เสียงของเขาไพเราะมากและดึงดูดอย่างประหลาด “ยินดีที่ได้พบเจ้า คุณชายสามตระกูลเย่ว์ ข้าได้ยินชื่อเสียงต่างๆ ของเจ้ามานาน และเพิ่งจะได้ทราบข่าวความพ่ายแพ้ของราชาฉลาม ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าเจ้ายังอยู่ในหอทงเทียนชั้นที่หก ข้าจึงมารอเจ้าอยู่ที่นี่ ใครจะนึกกันว่าข้าจะได้พบกับเจ้าจริงๆ เจ้าช่างน่าชื่นชมแท้ๆ ตอนอายุเท่ากับเจ้า ข้ายังเป็นนักสู้ระดับห้าอยู่เลย และต้องฝึกอย่างหนักกว่าจะเป็นนักสู้ระดับหก ใช้เวลาสามปีถึงทำได้สำเร็จ… อัจฉริยะที่ปรากฏตัวในรอบพันปี ข้า..เล่าเฮยคิดว่าจักรพรรดิอวี้ตอนนั้นเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในโลกแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่ายังจะมีคนที่ยังเหนือกว่าเขาอีก

ม่านตาเย่ว์หยางหดแคบเหมือนกับคมมีด

เขารู้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเป็นใคร แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าพวกเขาจะพบกันในลักษณะนี้ในวันนี้

การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นสัญญาณที่ดี เขาคาดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย

******************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด