ตอนที่แล้วบทที่ 44: เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออก! เราจะมุ่งหน้าสู่จูเหอ!!!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 46: จับหมูนอกเมือง นั่งพักในสำนักงานเทศมณฑล

บทที่ 45: อยู่เพราะผู้ว่าการ ตายเพื่อผู้ว่าการ เขย่าโลกสะเทือนสวรรค์!


บทที่ 45: อยู่เพราะผู้ว่าการ ตายเพื่อผู้ว่าการ เขย่าโลกสะเทือนสวรรค์!

ในเวลาเดียวกันกับที่กองทัพของราชาหยานเริ่มเคลื่อนทัพ คนๆ หนึ่งก็ได้มาถึงมณฑลจูเหอ

ซูไป่ลู่เป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ เธอสวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนที่มีลวดลายกวางสีขาวปักอยู่ เธอสวมมงกุฎดอกบัวและคล้องกระบี่ยาวไว้บนหลัง เธอดูกล้าหาญและสง่างามมาก

รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นงดงามราวกับจะล้มทั้งเมืองได้ ออร่าของเธอให้ความรู้สึกที่เย็นชาแต่ในขณะเดียวกันเธอก็ดูมีเสน่ห์เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของซูไป่ลู่ก็ไม่ได้มีเพียงเรื่องของความงามเท่านั้น แต่มันยังมีเรื่องความแข็งแกร่งของเธอด้วย

เธอเป็นผู้อาวุโสของศาลากระบี่ยู่หัวและยังเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตประตูลึกล้ำ เธออยู่ห่างจากขอบเขตเซียนเทียนเพียงครึ่งก้าวและถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ของโลก

เธอเป็นที่รู้จักในสมญานาม “กระบี่สัมบูรณ์”

สมญานามดังกล่าวมาจากเจตจำนงเสรีที่แข็งแกร่งมาก

ในตอนนี้ สิ่งแรกที่ซูไป่ลู่ทำเมื่อเธอมาถึงมณฑลจูเหอก็คือการมุ่งตรงไปที่สำนักงานเทศมณฑลแม้ว่าฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยจะห้ามปรามก็ตาม

เธอต้องการจะพบกับซุยเฮ็ง

“ท่านอาจารย์ ท่านจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ!” โจวไฉ่เว่ยยืนขวางหน้าซูไป่ลู่  “ท่านผู้ว่าการซุยเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ หากท่านรีบผลีผลามมาพบเช่นนี้ มันก็อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งได้”

“แต่หากข้าไม่ไปหาเขา มณฑลจูเหอก็จะต้องถูกเขาสังเวย” ซูไป่ลู่หัวเราะเยาะ “เมืองทั้งเมืองมีทหารไม่ถึง 300 นายแถมเขาก็ยังไม่มีแผนที่จะเกณฑ์ทหาร นี่มันดูเหมือนกับการป้องกันเมืองตรงไหน?”

“นี่…” ฟางหมินพยายามจะโน้มน้าว “บางทีเขาอาจจะรอให้ท่านอาจารย์มารับผิดชอบก็ได้ หากท่านสามารถเจรจากับกองทัพของราชาหยานได้ เขาก็จะไม่จำเป็นต้อง…”

“หากจะเจรจา เราก็ยังต้องการให้พวกเขาทำการซื้อเวลาด้วยการปกป้องเมืองอยู่ดี” ซูไป่ลู่ยกมือขึ้นเพื่อหยุดเธอและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าจะไปพบผู้ว่าการมณฑลคนนี้และจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เอง เราจะต้องระดมกำลังพลที่สามารถใช้ป้องกันเมืองให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่เราจะได้สามารถเจรจา…”

จู่ๆ เธอก็หยุดพูดลงกะทันหัน หูของเธอกระตุกขณะที่เธอขมวดคิ้ว “นั่นเสียงเปิดประตูหรอ”

จากนั้นซูไป่ลู่ก็รีบออกจากที่พัก

“ท่านอาจารย์!”

“ท่านอาจารย์!”

ฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยรีบตามไป

ในขณะนี้ ประตูเมืองจูเหอก็ได้เปิดออก

นี่เป็นเพราะทหารยามที่อยู่ด้านหน้าได้ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกองทัพของราชาหยานแล้ว และอีกฝ่ายก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงสั่งให้ฮุ่ยฉีเอาทหารไปนำเหล่าผู้ลี้ภัยเข้ามาหลบในเมืองก่อน

ในขณะเดียวกัน ซูไป่ลู่ก็บังเอิญเห็นฉากนี้

เธอตกตะลึง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเหล่าผู้ลี้ภัย ซูไป่ลู่เย้ยหยันและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าผู้ว่าการมณฑลซุยคนนี้จะยังพอมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง เขารู้จักปล่อยให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาหลบในเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงความหายนะของสงครามนอกเมือง”

“ท่านอาจารย์ ท่านผู้ว่าการซุยได้ตัดสินใจเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว” โจว ไฉ่เว่ยตระหนักได้ว่าท่าทีของอาจารย์ของเธอนั้นดูอ่อนลงเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงยิ้มและกล่าวว่า “ท่านผู้ว่าการชุยเป็นคนมีความเมตตากรุณาจริงๆ เขาจะไม่มีวันยอมแพ้และทิ้งเมืองนี้ไปแน่”

การทิ้งเมืองนั้นหมายความว่าผู้คนในมณฑลจะต้องอยู่ในความเมตตาของกองทัพของราชาหยาน

ในยุคนี้ มันก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเดินทัพโดยไม่มีการปล้นสะดม

มันเป็นไปไม่ได้ที่คนมีความเมตตาจะมาทำสงครามกัน

“เพียงเพราะเขาใจดีไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ไร้เดียงสา” ซูไป่ลู่ส่ายหัวและพูดว่า “บางทีเขาอาจจะคิดว่าตราบใดที่เขายอมจำนนและเสนอเมืองให้ เขาก็จะสามารถช่วยผู้คนในเมืองให้รอดจากสงครามได้ก็ได้”

“อย่างไรก็ตาม กองทัพของราชาหยานนั้นก็เป็นเผด็จการ ระหว่างทาง พวกมันได้ปล้นสะดมผู้คนไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน มันไม่มีเจ้าหน้าที่ทางการคนใดที่รอดชีวิต พลเมืองทุกคนเองก็ถูกปล้นและข่มขืนอย่างไร้มนุษยธรรม”

ในขณะนี้ เยาวชนที่เพิ่งเดินผ่านพวกเขาก็หันกลับมาและวิ่งกลับไป

เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่ซูไป่ลู่ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย เขากัดฟันและพูดว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า เจ้ากล้าดียังไงมาใส่ร้ายท่านผู้ว่าการโดยบอกว่าเขาจะยอมจำนนและยกเมืองให้อีกฝ่าย? ท่านผู้ว่าการเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนหยัดได้เหนือท้องนภา เขาจะไม่มีทางเสนอเมืองให้กับอีกฝ่ายแน่นอน!”

คนที่พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจ้าวกู่ตันที่เพิ่งเข้ามาในเมือง

ในขณะนี้ ลุงสามเองก็ตามมาด้วย เขาดึงจ้าวกู่ตันกลับไปและพูดกระซิบกับจ้าวกู่ตัน “กู่ตัน ตัวตนของหญิงนางนี้ไม่ธรรมดา เราเพิ่งจะเข้ามาในเมือง เราอย่าเพิ่งสร้างปัญหาเลยจะดีกว่า”

“ไม่! ชีวิตของข้ามอบให้กับท่านผู้ว่าการแล้ว ข้าจะยอมทนเพิกเฉยต่อการใส่ร้ายของนางได้อย่างไร!”

จ้าวกู่ตันยืนนิ่งและจ้องเขม็งไปที่ซูไป่ลู่ “ฟังนะ เราทุกคนหนีออกมาจากมณฑลต้าคัง และผู้ว่าการมณฑลก็รู้ดีว่าเจ้าหยานชาติหมานั่นเป็นคนสารเลวขนาดไหน เพราะฉะนั้นแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมจำนน!”

“ข้าจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่านผู้ว่าการ แม้ว่าข้าจะต้องหลั่งเลือดจนถึงหยดสุดท้าย แต่ข้าก็จะไม่มีวันยอมจำนนต่อเจ้าหยานชาติหมาแน่!”

คำพูดของเขาสะท้อนใจสิ่งที่อยู่ภายในใจของเหล่าผู้ลี้ภัยจำนวนนับไม่ถ้วนในทันที ชั่วอึดใจเดียว พวกเขาทั้งหมดก็ตะโกนเสียงดังลั่น

“เราจะหลั่งเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อท่านผู้ว่าการ และเราจะไม่มีวันยอมจำนนต่อเจ้าหยานชาติหมา!”

“เราจะหลั่งเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อท่านผู้ว่าการ และเราจะไม่มีวันยอมจำนนต่อเจ้าหยานชาติหมา!”

เสียงตะโกนของเหล่าผู้ลี้ภัยทำให้ทหารและประชาชนในเมืองเกิดติดเชื้อไปตามๆ กัน

ในตอนแรกพวกเขาก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวต่อภัยสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกว่าเลือดในกายของพวกเขากำลังเดือดพล่าน

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังตระหนักได้ว่าทรัพย์สินและที่ดินที่พวกเขาครอบครองอยู่ ณ ตอนนี้ล้วนแต่ถูกแจกจ่ายโดยผู้ว่าการทั้งหมด ถ้ากองทัพของราชาหยานบุกเข้ามาในเมืองได้ สิ่งที่พวกเขาจะสูญเสียก็มีเพียงน้ำใจของผู้ว่าการที่ประทานมาให้กับพวกเขา

“เราจะหลั่งเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อท่านผู้ว่าการ และเราจะไม่มีวันยอมจำนนต่อเจ้าหยานชาติหมา!”

“เราจะหลั่งเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อท่านผู้ว่าการ และเราจะไม่มีวันยอมจำนนต่อเจ้าหยานชาติหมา!”

ครู่หนึ่ง เสียงในเมืองจูเหอก็ดังลั่นไปทั่วท้องนภา และความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขาทั้งหมดก็พุ่งสูงขึ้น

สิ่งนี้ทำให้ซูไป่ลู่รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เธอพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ผู้ว่าการมณฑลชุยคนนี้โด่งดังขนาดนั้นเลยหรอ?”

ตอนนี้เธอไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าควบคุมมณฑลจูเหออีกต่อไป

นี่เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถเปรียบเทียบกับซุยเฮ็งได้เลยในแง่ของการระดมกำลัง

ถึงกระนั้น สิ่งนี้ก็ไม่ได้หยุดความสับสนงุนงงในใจของเธอลง

ในเมื่อพวกเขามีพลเมืองเลือดร้อนขนาดนี้ งั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เกณฑ์คนเหล่านี้มาช่วยล่ะ?

ตราบใดที่พวกเขาจัดระเบียบคนของพวกเขาและป้องกันได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเธอก็จะมีเวลามากพอไปเจรจาอย่างแน่นอน

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเกี่ยวกับตัวตนของซุยเฮ็ง เธอต้องการจะไปพบเขาเพื่อพูดคุยและถามเขาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ปัง! ปัง! ปัง!

ในขณะนี้ จู่ๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ว่าพื้นใต้เท้าของพวกเขากำลังสั่นสะเทือน ยิ่งไปกว่านั้น แรงสั่นสะเทือนนี้ก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“มันคือไอ้หยานชาติหมา! กองทัพของไอ้หยานมาถึงที่นี่แล้ว!!” เหล่าผู้ลี้ภัยจากมณฑลต้าคังอุทานออกมา เสียงเดินทัพและแรงสั่นสะเทือนนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับฝันร้ายของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันลืมมันแม้ว่าพวกเขาจะตาย

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงนี้ พลเมืองหลายคนที่ยังคงตะโกนอย่างเลือดร้อนก็อดไม่ได้ที่จะเลือดเย็นลงในทันที ฉากอันน่าสะพรึงกลัวแล่นวาบเข้ามาในความคิดของพวกเขา และร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านโดยไม่สามารถควบคุมได้

ในไม่กี่ชั่วอึดใจ ความกลัวก็เริ่มแพร่กระจายออกไป

ในขณะนี้ เสียงตะโกนก้องก็ดังขึ้นมาจากทางข้างหน้าอีกครั้ง

“ท่านผู้ว่าการได้ขึ้นสู่ประตูเมืองแล้ว! ท่านผู้ว่าการจะทำการปกป้องเมืองด้วยตัวของท่านเอง!!”

ข่าวนี้ทำให้เกิดความแตกตื่นอย่างมากในหมู่ฝูงชน

“ทุกคนไปกันเถอะ! ไปที่ประตูเมืองแล้วช่วยท่านผู้ว่าการปกป้องเมืองและฆ่าเจ้าสุนัขหยาน!” มีคนตะโกนขึ้น และทันใดนั้นผู้คนหลายร้อยคนก็ตอบกลับมา ในพริบตาเดียว ผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่เพิ่งจะเข้ามาในเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติก็เดินสวนกระแสออกมา

แม้แต่พลเมืองหลายคนที่รู้สึกหวาดกลัวก่อนหน้านี้ก็ยังกัดฟันและเดินตามหลังไป

จ้าวกู่ตันเองก็เป็นคนแรกที่ตามมา

ลุงสามเองก็ทำตามโดยไม่ลังเล

ซูไป่ลู่มองไปที่ฝูงชนจำนวนมากและเงียบลง หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ เธอก็พูดกับฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยว่า “มาดูกันว่าผู้ว่าการซุยจะปกป้องเมืองได้อย่างไร”

รู้สึกอย่างไรที่เห็นกองทัพจำนวน 50,000 นายวิ่งเข้าหาพวกเขา?

กลัว!

ความกลัวที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์

แม้แต่ลู่เจิงหมิงและฮุ่ยฉีก็ยังรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพจำนวน 50,000 นาย ความแข็งแกร่งของคนเพียงคนเดียวก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรเลย

และต่อให้พวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนเทียน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารจำนวนมากขนาดนี้ พวกเขาก็ยังมีแต่ต้องวิ่งหนีเท่านั้น

ส่วนพลเมืองที่มาช่วยป้องกันเมืองที่ปีนขึ้นกำแพงเมืองตามการนำของทหาร เมื่อพวกเขาเห็นฉากทหาร 50,000 นายควบม้าเข้ามาใกล้ พวกเขาก็กลัวจนแข้งขาอ่อนแรง

ซูไป่ลู่เองก็พาฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยไปที่กำแพงเมืองโดยมีจ้าวกวงนำทางพวกเธอ

หลังจากเห็นสถานการณ์ทั้งหมดจากบนกำแพงเมือง เธอก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เธอยังควมองโลกในแง่ดีเกินไปเล็กน้อย

แม้ว่าพวกเขาจะจัดระเบียบการป้องกันเมืองอย่างดีที่สุด แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาทั้งหมดจะสามารถต้านกองทัพจำนวน 50,000 นายเอาไว้ได้

แบบนี้แล้วพวกเขาจะปกป้องเมืองได้อย่างไร?

พวกเขาคงจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะเจรจา!

ซูไป่ลู่มองไปยังซุยเฮ็งที่ยืนอยู่ด้านหน้า

สิ่งแรกที่ทำให้เธอประหลาดใจคือความเยาววัยของอีกฝ่าย

และสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือผู้ว่าการมณฑลจูเหอคนนี้กำลังยิ้มอยู่!

“เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?” ซูไป่ลู่รู้สึกงงงวย นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะดูยังไง พวกเขาก็แพ้แน่นอน

“ท่านผู้ว่าการ ตอนนี้เราควรจะทำอย่างไรกันดี?” จ้าวกวงเป็นคนแรกที่ถามขึ้นมา คำถามนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที

ลู่เจิงหมิงและฮุ่ยฉีเองก็มองตามเช่นกัน

แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะได้เห็นความทรงพลังของซุยเฮ็งมากับตาเรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอยากรู้ว่าซุยเฮ็งต้องการจะทำอะไร

แม้ว่าเขาจะรู้อยู่ในใจแล้ว แต่แรงกดดันจากกองทัพจำนวน 50,000 นายนั้นก็ยังบีบบังคับให้พวกเขาเกิดความสงสัย

“เอาชามน้ำมาให้ข้า” ทันใดนั้นซุยเฮ็งก็พูดกับจ้าวกวง

“เอ่อ? ขะ.. เข้าใจแล้ว!” จ้าวกวงรีบหันกลับไปเพื่อตักน้ำ แต่เขาก็สับสนและยังไม่รู้ว่าซุยเฮ็งต้องการจะทำอะไร

คนอื่นๆ เองก็ดูสับสนมากเช่นเดียวกัน

น้ำ?

เขาต้องการจะเอาน้ำไปทำอะไรในเวลาแบบนี้?

ม้า 10,000 ตัวควบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฝุ่นผงและดินทรายปลิวว่อนไปทั่วทุกที่!

ในขณะนี้ หวังชุนก็ได้นำกองทัพทหารจำนวนมากกว่า 50,000 นายเข้ามาใกล้เมืองแล้ว

ทางด้านซ้ายและขวาของเขาคือเว่ยคุนและหยานเฉิงบ

หวังชุนมองไปที่กำแพงเมืองข้างหน้าเขาและหัวเราะเสียงดัง “กำแพงเมืองนี้เตี้ยมากจริงๆ ข้าเกรงว่ามันจะสูงไม่ถึง 20 ฟุตด้วยซ้ำ แบบนี้แค่สี่ชั่วโมงพวกเราก็ตีมันแตกแล้ว!”

“ฮ่าฮ่า ท่านก็ถ่อมตัวเกินไป” เว่ยคุนที่อยู่ด้านข้างพูดต่อ “สายลับที่เราส่งไปบอกว่าพวกมันมีทหารทั้งหมดประมาณ 200 นาย ดังนั้นข้าว่าเราน่าจะสามารถตีเมืองแตกได้ภายในสองชั่วโมง!”

“นั่นมันซุยเฮ็ง! เขาอยู่บนกำแพงเมือง เขามาที่นี่เพื่อปกป้องเมืองด้วยตัวเอง!” หยานเซิงขมวดคิ้วแน่น  “ท่านผู้บัญชาการสูงสุด คนผู้นี้…”

“เขาไม่ธรรมดาใช่ไหม? เราต้องระวังเอาไว้ใช่ไหม?” หวังชุนขัดจังหวะหยานเฉิงพร้อมกับรอยยิ้มอันเย็นชา เขาพูดอย่างเหยียดหยามว่า “ข้าเบื่อที่จะได้ยินมันแล้ว!”

“ที่อาจารย์เซนเต๋อคงมาช่วยฟื้นวรยุทธ์ให้กับเจ้านี่มันสูญเปล่าจริงๆ เจ้าได้กลายเป็นเศษขยะที่กลัวจนหมดปัญญาไปแล้ว เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดอีกต่อไปแล้ว เจ้าแค่อยู่เฉยๆ แล้วฟังคำสั่งของข้าก็พอแล้ว!”

“แม่ทัพหยาน ท่านนี่ช่าง…” เว่ยคุนส่ายหัวและยิ้ม “ขยะ!”

“เจ้า!” หยานเฉิงโกรธจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเขาเห็นซุยเฮ็งอยู่บนกำแพงเมืองที่ห่างไกล ความรู้สึกตื่นตระหนกก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา ราวกับว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น

“พี่น้องทั้งหลาย! ตามข้ามา!” หวังชุนตะโกนเสียงดังลั่นและสั่งให้ทหารถือธงยกธงขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้กองทัพทั้งหมดพุ่งเข้าโจมตี

เขาต้องการที่จะพังประตูเมืองในครั้งเดียว!

บนกำแพงเมือง เมื่อทุกคนเห็นกองทัพทหารจำนวน 50,000 นายเริ่มบุกเข้ามาใกล้ ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในใจของพวกเขาก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในทันที

“เตรียมตัวออกจากเมืองไปจับเชลยศึกกันได้แล้ว” ในขณะนี้ จู่ๆ ซุยเฮ็งก็พูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจได้ออกมา

อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็เข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้อย่างรวดเร็ว

ซุยเฮ็งโยนชามน้ำที่เขาเพิ่งจะได้รับมาขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ใส่ใจ

ละอองน้ำระยิบระยับกระจายตัวอยู่บนท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีสักหยดเดียวที่ตกลงมายังพื้น พวกมันทั้งหมดบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายเข้าไปในหมู่เมฆราวกับว่าพวกมันถูกนำทางโดยพลังประหลาดบางอย่าง

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดขึ้นข้างนอกเมืองจูเหอ ผงทรายและก้อนหินปลิวกันว่อน ท้องฟ้ามืดครึ้ม และดวงอาทิตย์ก็เริ่มมืดสลัวลง

และแล้ว-

บึ้มมมมมม!

เสียงฟ้าร้องฟ้าลั่นดังขึ้นราวกับเสียงเห่าของหมาบ้า ขณะเดียวกัน ห่าฝนก็กระหน่ำซัดตกลงมา!

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด