ตอนที่แล้วยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 469 กลิ่นไอที่คุ้นเคย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 471 หักหลัง

ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 470 ศัตรูที่แอบแฝง (ฟรี)


มีสี่ตัวตนที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าซู่เสี่ยวไป่ ทั้งหมดนั้นแผ่กระแสพลังและกลิ่นไอดูร้อนแรงจนทำให้พื้นที่รอบๆ ร้อนขึ้นเล็กน้อยราวกับการมาถึงของดวงตะวันของเช้าวันใหม่ มันเป็นลักษณะเด่นของวิชาประจำนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพ

กลุ่มนี้ได้ทำการออกล่ากันเป็นทีมและมีรูปแบบ มีคนหนึ่งคอยสนับสนุนและรักษาผู้บาดเจ็บจากการต่อสู้ และที่สำคัญเขารักษาทุกคนแม้ว่าจะอยู่ต่างนิกายก็ตาม

อีกคนที่ปรากฏขึ้นเป็นเจ้าของการโจมตีที่รุนแรงเมื่อครู่ เขาดูทรงพลังที่สุดในกลุ่มนี้ และรอบๆ ตัวก็มีกระแสสายฟ้านับพันๆ เส้นกำลังวิ่งพล่านออกมาจากตัวของเขา พลังการโจมตีของเขานั้นไม่อาจมองข้ามได้!

และอีกตัวตนที่ปรากฏขึ้นดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่จากสายตาของซู่เสี่ยวไป่แล้ว เขาเห็นว่าตัวตนนี้ได้บรรลุเส้นทางแห่งมหาญาณ และเส้นทางแห่งมหามายา ด้วยสองสิ่งนี้ก็พอที่จะทำให้เขาอยู่ในกลุ่มอัจฉริยะบรรพชนบรรพกาลได้

“กลุ่มนี้ดูสู้เป็นรูปแบบและมีแบบแผนต่างจากที่เราเคยเห็นมาทั้งหมด”

ซู่เสี่ยวไป่นั้นพึ่งจะได้เห็นการต่อสู้ที่มีรูปแบบเป็นกลุ่มแบบนี้ครั้งแรก ทำให้เขานั้นได้แนวความคิดว่าจะนำวิธีการแบบนี้ไปใช้กับกองทัพเงาของเขาบ้าง

กลุ่มนี้เป็นอัจฉริยะจากนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพมีเป้าหมายเหมือนกับซู่เสี่ยวไป่คือเลือกปล้นผู้อ่อนแอกว่าในสถานที่แห่งนี้

และที่ใกล้ซากโบราณสถานตรงนี้นั้นก็มีเหล่าอัจฉริยะระดับบรรพชนบรรพกาลหลายคนกำลังเฝ้ามองอยู่

โดยปกติแล้วผู้ที่แข็งแกร่งจะไม่เกาะกลุ่มกับใคร หากมีการเกาะกลุ่มกันของบรรพชนบรรพกาลนั้นแปลว่ายังมีขอบเขตพลังที่ต่ำอยู่ในก้าวแรกๆ เท่านั้น

ปกติแล้วศิษผู้ที่มีขอบเขตพลังเท่ากับบรรพชนบรรพกาลนั้นจะมีอยู่มากมายหลายร้อยคน แต่จะมีขอบเขตพลังแค่ก้าวต้นๆ  มีเพียงส่วนน้อยมากๆ ที่จะมีขอบพลังอยู่กลางๆ หรือสูง และตัวตนพวกนี้มักจะแยกตัวสันโดษไม่กลับเข้ามาในนิกายเท่าไร เลยไม่ค่อยเป็นที่เห็นหน้าเห็นตานัก แต่ก็ยังถูกกล่าวขานถึงอยู่บ้าง

ตอนนี้ศิษบรรพชนบรรพกาลที่เสียเพื่อนไปแล้วจากการลอบโจมตีของศิษนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพเมื่อครู่ เหมือนว่าเขาก็รู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางหนีพ้นจากสี่คนนี้ เวลานี้เขาก็ถูกตัดขาจากกลุ่มของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้วมีทางเดียวคือต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้น ก่อนที่ศิษที่มีรัศมีร้อนแรงจะพุ่งเข้าใส่ พร้อมกับเปลี่ยนกระแสพลังให้มาห่อหุ้มร่าง กลายเป็นร่างพลังของสัตว์ที่มีเขาขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ และหลังจากนั้นก็ตามด้วยเสียงกึกก้องกัมปนาถ พร้อมกับประกายแสงวูบวาบขึ้นเป็นระยะๆ

ตอนแรกซู่เสี่ยวไป่เองก็จะไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเห็นว่าศิษของนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพที่พุ่งเข้าไปนั้น ถูกกำแพงที่มองไม่เห็นหยุดเอาไว้ ก่อนที่จะสะท้อนออกไปอย่างรุนแรง กำแพงที่มองไม่เห็นนั้นเมื่อถูกกระทบมันก็เกิดกระเพื่อมเหมือนผิวน้ำ ทำให้เห็นว่ามีกำแพงอยู่ตรงนั้น

“เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจดูการต่อสู้ระดับบรรพชนบรรพกาลจริงๆ พอเห็นกับตาแล้ว และลองสัมผัสด้วยขอบเขตพลังของบรรพชนสูงสุด สิ่งที่เปิดขึ้นนั้นไม่อาจะเข้าใจอะไรได้เลย…ถึงจะเห็นแต่ไม่สามารถรับรู้เข้าใจอะไรได้เลย ราวกับโลกของทั้งสองเขตแดนถูกแยกออกจากกันอย่างงั้น”

ซู่เสี่ยวไป่นั้นรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่คิดจะไปท้าทายพลังระดับนี้ในเวลานี้ แต่ไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับตัวตนพวกนี้เลย

แล้วมีศิษคนหนึ่งที่ซู่เสี่ยวไป่พอรู้จักนามชิงเหล่ย เขาได้สร้างสายฟ้ามากมายขึ้น พร้อมกับเปลี่ยนให้พื้นที่รอบๆ กลายเป็นสนามสายฟ้า เกิดเสียงคำรามของฟ้าผ่าดังไปทั่ว

ตอนนี้พลังของบรรพชนบรรพกาลได้ถูกระเบิดออกมาต่อหน้าซู่เสี่ยวไป่ และดูเหมือนว่าชิงเหล่ยนั้นจะเข้าช่วยศิษผู้มีรัศมีร้อนแรงเพื่อฆ่าเหยื่อในครั้งนี้

รูปแบบการโจมตีของทั้งสองคนนั้นผสานเข้ากันอย่างดี หากเป็นผู้มีขอบเขตพลังเท่ากันโดนการโจมตีของทั้งสองคนนี้เข้าคงมีแต่ความตายที่รออยู่

ศิษผู้โชคร้ายคนนั้นทำการเผาแก่นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ทันที และใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเอาตัวรอด

เขาพยายามที่จะสวนการโจมตีนี้ออกไป แต่ดูท่าแล้วจะไม่ได้ผล

“นี้หรอการต่อสู้เป็นรูปแบบของบรรพชนบรรพกาล….หากตั้งใจจะฆ่าผู้มีขอบเขตพลังใกล้เคียงกันก็จะง่ายขึ้น”

“ถ้าแบบนี้เราเอารูปแบบการต่อสู้ให้พวกกองทัพเงาได้เรียนรู้ มันจะสามารถฆ่าบรรพชนสูงสุดก้าวที่ 10 ได้เร็วขึ้นอีก!”

ซู่เสี่ยวไป่นั้นจดจำและศึกษารูปแบบของการโจมตีเมื่อครู่เอาไว้ ก่อนที่จะสั่งให้ร่างเงาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะทักทายศิษจากนิกายเดียวกัน

เมื่อศิษอัจฉริยะทั้งสี่ของนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพจัดการกับเหยื่อได้แล้ว และทำการแบ่งสมบัติกันเรียบร้อย พวกเขาก็ชะงักไปเมื่อเห็นผู้ที่โด่งดังกำลังใกล้เข้ามา

“ศิษน้องไป่หยิงงั้นหรอ?!  โอ้เจ้าเติบโตได้รวดเร็วจริงๆ ไม่ทันไรก็มีขอบเขตพลังเท่ากับบรรพชนสูงสุดก้าวที่ 7 แล้ว”

หลังจากที่ร่างเงาของซู่เสี่ยวไป่เข้าไปใกล้ ศิษทั้งสี่ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้มีดาราจักรชีวิตที่ 12 ผู้ซึ่งเป็นศิษน้องของพวกเขา มันเป็นเรื่องที่เกินสามัญสำนึกของพวกเขาไปมากๆ ที่จะได้เห็นความเร็วในการเติบโตเช่นนี้

ซู่เสี่ยวไป่ได้คำนับทักทายศิษอัจฉริยะทั้งสี่คน เพราะในการประลองอัจฉริยะจักรวาลนั้นผู้ที่มาจากนิกายเดียวกันถือว่าไว้ใจได้มากที่สุดแล้ว ว่าพวกเขาจะไม่ลงมือทำร้ายกันเอง

เมื่อซู่เสี่ยวไป่ได้แสดงตัวตนและได้รับการทักทายจากศิษอัจฉริยะทั้งสี่ ทำให้เหล่าศิษบรรพชนบรรพกาลที่้จ้องมองอยู่นั้นไม่กล้าทำอะไร ทำให้ซู่เสี่ยวไป่นั้นสามารถที่จะส่งพลังวิญญาณเข้าไปสำรวจรอบๆ ซากโบราณสถานได้

แต่แล้วในขณะที่ทุกคนกำลังไม่ระวังตัวชิงเหล่ยนั้นกลับเป็นคนเดียวที่แสดงสีหน้าไม่เป็นมิตร ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าที่ดุร้ายพร้อมกับปล่อยพลังของบรรพชนบรรกาลออกมาอย่างรุนแรง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด