ตอนที่แล้วตอนที่ 6 : การยอมรับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8 : ความปรารถนา

ตอนที่ 7 : เรื่องประหลาดใจ


ดาวิสลืมตาหลังจากไม่กี่นาที เขามิอาจเข้าใจในสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้เลย แต่เขารู้สึกอย่างแน่นอนว่ามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากภายใน ราวกับว่าดวงวิญญาณของเขาเริ่มเปล่งแสงและมีรูปร่างขึ้นมา

เขายังบอกได้อีกว่าเขาเรียกความทรงจำเก่ามาได้อย่างสมจริงราวกับกำลังเผชิญมันอยู่ มันทำให้เขาทึ่ง

แคลเช็ดน้ำตาของดาวิสและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“เจ้าทำให้แม่ภูมิใจยิ่งนัก ดาวิส!”

‘เดี๋ยวสิ? เราร้องไห้เหรอ?’

ดาวิสมิอาจเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงวิญญาณเขาและกำลังจะถามด้วยความอยากรู้

“ทะ…ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับข้ารึ?”

“ดาวิส เจ้าเพิ่งจะข้ามมาเป็นขั้นก่อวิญญาณ!”

แคลอุทานอย่างมีความสุข น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันเสียงก็ฟังดูปลื้มใจด้วย

“ขั้นก่อวิญญาณ? มันคืออะไรกัน?”

ดาวิสเริ่มจะเกิดความคิดเรื่องนี้เพราะเขาได้ยินมาขณะที่เรียนแต่ก็ถามออกไปอยู่ดี

แคลหัวเราะชอบใจ

“เจ้าโง่ เรื่องนี้น่ะเจ้าต้องรู้เรื่องระบบบ่มเพาะก่อน แม่จะอธิบายช้า ๆ นะ”

ดาวิสตื่นเต้นที่จะรู้เรื่องนี้ เขาเคยเห็นสัตว์อสูรอย่างไวเวิร์นและสัตว์อสูรตัวอื่นและแม้แต่คนที่บินนอกราชปราสาท คงเป็นเรื่องโกหกถ้าบอกว่าเขาไม่สนใจเลย

“ระบบบ่มเพาะน่ะมีสามประเภท”

แคลเริ่มอธิบาย

“อย่างแรกคือการบ่มเพาะรวมแก่นแท้ อย่างที่สองคือการบ่มเพาะกาย และสามคือบ่มเพาะวิญญาณ”

แคลยิ้มและชี้ที่หน้าผากของเขา

“ที่เจ้าเพิ่งจะสำเร็จนั่นคือการบ่มเพาะวิญญาณขั้นแรกหรือก็คือขั้นก่อวิญญาณ เจ้าทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแล้วล่ะดาวิส ตามปกติมีแค่คนที่ถึงระบบบ่มเพาะรวมแก่นแท้ขั้นสามหรือเรียกว่าขั้นหมุนเวียนแก่นแท้ที่จะพัฒนาการบ่มเพาะวิญญาณขึ้นได้เพราะดวงวิญญาณมนุษย์นั้นอ่อนแอ”

“เจ้ายังรับรู้ไม่ได้ จนกระทั่งถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้…”

ดาวิสรู้สึกยากที่เขาจะทำสิ่งนี้ได้ด้วยอายุเท่าเขาในคำพูดของนาง แต่ดูจากอายุจริงแล้ว บางทีอาจจะเป็นอายุของดวงวิญญาณ เขารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเขา

แต่ถึงแม้ว่าจะมีอายุร้อยปีแบบมนุษย์ธรรมดา มนุษย์คนนั้นก็มิอาจสัมผัสดวงวิญญาณได้ ดาวิสเดาเรื่องนี้ได้แต่ก็ลืมที่จะคิดถึงมัน

ที่จริงแล้วดาวิสมาถึงขั้นก่อวิญญาณได้เพราะสองเงื่อนไข หนึ่งคือดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นเพราะศิลาข้ามโลกและเรื่องที่เขาสยบอสูรดวงใจที่เขาไม่รู้ตัวเลย

ดาวิสใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจที่นางพูด

“ดาวิส!”

แคลเรียกเขาด้วยใบหน้าจริงจัง

“แม่?”

เขาตื่นจากภวังค์

“เจ้าเรียกความทรงจำจากชาติที่แล้วได้รึเปล่า?”

*ตู้ม!*

ดาวิสเหมือนกับแมวที่โดนเหยียบหาง! เขาก้าวถอยหลังทันทีเพราะเขาไม่คาดคิดเรื่องนี้มาก่อน หรือจะบอกว่าเขาลืมคิดเรื่องนี้เพราะความรู้เก่าจนเผลอลืมตัว

แคลกอดเข้าอีกครั้งในทันทีไม่ปล่อยให้เขาไปไหน

“ไม่เป็นไรนะดาวิส เจ้าไม่ต้องพูดอะไร เจ้ายังเป็นลูกแม่อยู่ เรื่องนี้ไม่แปรเปลี่ยนไปเลย”

นางรีบพูดปลอบเขา

“ท่านแม่ ข้าขอโทษ…”

ดาวิสเริ่มร้องไห้น้ำตานองแก้ม เขาทำได้แค่ให้นางเข้าใจผิดต่อไป จะโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะนางสงสัยเขาแล้ว เขาเลยปล่อยเลยตามเลย

แคลยิ้มเมื่อเห็นดาวิสร้องไห้ นางมั่นใจว่าเขายังคงเป็นลูกชายนางและไม่ใช่อสูรโบราณกาล ด้วยความบริสุทธิ์ของภาวะอารมณ์ นางรู้สึกว่าสิ่งนี้มิใช่ของปลอม มิได้ปลอมได้โดยง่าย

พวกเขาอยู่ด้วยกันแบบนี้ในระยะเวลาหนึ่ง บางทีอาจจะเพราะทั้งคู่ที่รู้สึกหวั่นใจ

หลังจากเวลาที่แม่ลูกได้อยู่ร่วมกัน ดาวิสก็ตัดสินใจด้วยหัวใจทั้งดวงว่าจะเป็นลูกของนางทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะมันไม่ดีถ้าหากเขาจะโกงความรู้สึกอันบริสุทธิ์นี้

อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำได้น้อยที่สุดเพื่อดาวิสที่ตายไป

“ดาวิส เรียกพ่อเจ้ามาที่นี่แล้วเล่าเรื่องของเรากันดีไหม?”

แคลนับตัวเองรวมไปกับเรื่องของดาวิส

แต่ถ้าเขาอยากจะปิดบังความจริงจนชั่วชีวิต นางก็อยากจะเคารพความเป็นตัวตนของเขา

“ท่านแม่ จะไม่เป็นไรรึ? ท่านพ่อจะโกรธรึเปล่า?”

ดาวิสวิตก

ถ้าหากมีคนรู้ความจริงนี้ ชีวิตเขาจะตกอยู่ในอันตราย

โลแกนพ่อของดาวิสได้ชวนเขาไปเล่นด้วยหลายครั้ง แม้จะเข้มงวดกว่า มันเป็นเพราะเขาอยากให้ลูกชายเข้มแข็งเมื่อเจอความยากลำบาก

ดาวิสนั้นรู้สึกว่าพ่อของเขามีภาระมากมายบนบ่า พวกเขาจึงไม่ได้ผูกพันกันในระดับของเขาและแคล

“พ่อเจ้าต้องโกรธแน่ถ้าเจ้าไม่บอก ถ้าเจ้าเป็นคนพูดเขาจะเริ่มเชื่อและไว้ใจเจ้าเลยล่ะ ที่จริงพ่อน่ะเป็นคนง่าย ๆ ไม่ได้เข้มงวดเลย ถ้าเจ้าไม่บอก เขาอาจจะไม่เชื่อใจเจ้าเพราะไม่มีทางที่เจ้าจะปิดบังพลังที่เจ้าบ่มเพาะได้ในตอนนี้”

แคลอธิบายด้วยความตั้งใจดีที่สุด

นางยังเชื่อว่าโลแกนจะเชื่อคำพูดของนางและไม่อันตรายกับดาวิส

“อืม ข้าเชื่อท่านแม่นะ…”

ดาวิสพูดอย่างเศร้าหมองด้วยสีหน้าน่าทนุถนอม เขาเชื่อว่าแม้เรื่องราวจะพลิกผันไป บางทีแม่ก็อาจจะปกป้องเขาได้

ที่เขาเห็น แม้จักรพรรดิจะดูเป็นคนที่มีสถานะสูงที่สุด เขาก็ปฏิบัติต่อราชินีซึ่งเป็นแม่ของเขาอย่างเท่าเทียม และบางครั้งก็ใจอ่อนให้นางด้วย

“น่ารักจริง ๆ…”

แคลหยิกแก้มเขาราวกับอดไม่ได้กับความน่ารักนี้

แคลติดต่อสามีผ่านคริสตัลขนาดเท่ากำปั้น บอกเขาว่านางต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้

“ท่านแม่ นั่นอะไรน่ะ?”

“นี่เหรอ? มันคือคริสตัลสื่อสาร มันใช้ติดต่อใครก็ได้ที่มีคริสตัลอีกครึ่งหนึ่ง คริสตัลมีหลายประเภท แม่จะเล่าให้ฟังทีหลังนะ”

ดาวิสพยักหน้าเมื่อนางอธิบาย

ไม่กี่วินาทีต่อมา

โลแกนเปิดประตูห้่องเรียนและปิดประตู เขามีสีหน้าดุดัน แต่จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็ร่าเริงขึ้นมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า มีอะไรเหรอที่รัก? มีเรื่องสำคัญอะไรที่ทำให้ข้าต้องรีบมาที่นี่ตามลำพัง?”

โลแกนเห็นแววตาประหลาดของลูกชายและตกตะลึง

“ขั้นก่อวิญญาณ!?”

เขาไม่อยากจะเชื่อสัมผัสของตัวเอง!

ดาวิสกับแคลมองหน้ากันและพยักหน้า

โลแกนเริ่มสังเกตเห็นความตึงเครียดในห้อง

“โลแกน ดาวิสกับข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า”

แคลบอกด้วยสีหน้าสงบ

“หืม? เจ้ากับดาวิสรึ? พูดให้ข้าฟังสิ…”

โลแกนเปิดม่านพลังที่สร้างจากพลังวิญญาณเมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ

พลังวิญญาณนั้นเป็นพลังประเภทหนึ่งที่มาจากแก่นของวิญญาณ ยิ่งบ่มเพาะวิญญาณมากเท่าใดก็จะยิ่งมีพลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น

แคลอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“เจ้าจะบอกว่าลูกของเราได้รับความทรงจำจากชาติที่แล้วรึ?”

โลแกนทำหน้าประหลาด

“รวม ๆ แล้วก็ใช่…”

แคลทำหน้าสิ้นหวัง

เป็นบรรยากาศแห่งความเงียบ แทบจะอึดอัด

โลแกนหายใจเข้าลึกมองดาวิส แต่สายตานั้นไม่ใช่สายตาที่มองลูกชายอีกต่อไป เขาปล่อยแรงกดันรุนแรงออกมาจากดวงวิญญาณ

ดาวิสตัวสั่น สายตาของพ่อเขานั้นเฉียบคม และทันใดนั้นแรงกดดันก็ปกคลุมเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณในระหว่างคิ้วกำลังถูกกดทับทำให้เขาขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วมือ!

“โลแกน!”

แคลปกป้องลูกชายโดยการก้าวมาข้างหน้า

“เงียบก่อน! ข้าแค่อยากจะถามเขาในตอนนี้”

สีหน้าโลแกนไม่มั่นคง เขาเหวี่ยงแขน แคลตกใจอย่างมาก

“แกเป็นใคร?”

โลแกนถามด้วยเสียงน่ากลัว

“ดาวิส…”

ดาวิสตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้ามากนัก

เขาคาดเดาเรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้ว เขารู้สึกว่าถ้าเป็นเขาเองก็คงจะทำแบบเดียวกันเพื่อยืนยันความสงสัยด้วยวิธีการหนึ่ง

“โกหก! แกต้องการอะไร?”

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้โกหกนะ!”

ดาวิสน้ำตาไหลอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้ต้องการอะไรเลยและร่างกายที่ยังไม่ทันเติบโตก็มิอาจควบคุมอารมณ์ได้เมื่อโดนตำหนิและใส่ร้ายโดยคนที่เขานับว่าเป็นพ่อ

“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อ!”

โลแกนสีหน้าหนักใจ

“ท่านพ่อ ได้โปรด…”

ดาวิสพูดเบา ๆ

เขาไม่อยากจะสร้างความเหินห่างระหว่างพวกเขาสามคน เขาใบสีหน้าเศร้าหมอง เขารู้สึกราวกับว่าทนไม่ไหวอีกแล้ว

“โลแกน! เจ้าทำเกินไปแล้ว”

แคลตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว

โลแกนถอนหายใจและถอนแรงกดดันออก เขามองลูกอีกครั้ง สายตานั้นกลับมาเป็นสายตาที่พ่อมองลูกแล้ว

“อย่างน้อยก็เล่าให้ข้าฟังว่าเจ้าเป็นแค่คนธรรมดาหรือตัวตนที่สูงกว่าอย่างผู้บ่มเพาะพลังหรือมากว่านั้นมาที?”

“ข้าเป็นคนธรรมดา”

หลังจากความเงียบ ดาวิสก็เลือกตอบโดยไม่ละสายตา สายตาเขาเปล่งประกายความบริสุทธิ์อย่างไร้ความคิดร้าย

โลแกนรู้สึกได้ถึงดวงวิญญาณที่สั่นไหวขณะที่ดาวิสพูด ถ้าเขาโกหกโลแกนจะต้องรู้แน่ มันไม่มีการสั่นไหวแปลก ๆ ในดวงวิญญาณ อย่างน้อยเขาก็ยืนยันได้ว่าลูกชายไม่ได้โกหก

บางทีอาจจะมีแค่คนที่โกหกอย่างเชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะควบคุมการสั่นไหววิญญาณได้ แต่เขาไม่เห็นว่าลูกชายเป็นคนเช่นนั้น

โลแกนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขาอุ้มดาวิสสู่อ้อมแขนและกระซิบ

“พ่อขอโทษ”

“ข้าต้องทำแบบนี้เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวเรา”

ดาวิสพยักหน้าและไม่เก็บมันใส่ใจ เขารู้ว่าพ่อทำลงไปเพราะห่วงความปลอดภัยของครอบครัวและจะต้องเป็นห่วงลูกชายมาก เขารู้อดีตของพ่อและมันเป็นเรื่องซับซ้อนหนักหนา หากจะอธิบายเพียงเท่านี้

แคลเดินมาหาพวกเขาด้วยความชื่นใจ

ครอบครัวได้สวมกอดกัน บางทีอาจเพราะไม่รู้สึกหวั่นไหวอีกแล้ว พวกเขากอดกันอย่างอบอุ่นหัวใจ มันเป็นความรู้สึกดีที่สุดที่พวกเขาเคยรู้สึกมา

“โลแกน เจ้าแกล้งกันเกินไปแล้ว…”

แคลแหย่โลแกนเพื่อพยายามจะลดบรรยากาศที่ตึงเครียดให้น้อยลง

“ข้ารู้ ข้าขอโทษ”

โลแกนเลือกที่จะจบเรื่องน่าอายแต่ก็สำคัญนี้ไว้

มีตำนานมากมายเกินไปบนโลกที่เขาจะเมินความประหลาดของลูกชายได้ เท่าที่เขารู้มานั้นไม่มีใครเลยที่ทะลวงพลังเป็นขั้นก่อวิญญาณเมื่ออายุเพียงสามปี และโดยที่ไม่ได้มีพลังในขั้นหมุนเวียนแก่นแท้ด้วย

เขารู้สึกว่าลูกชายเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดบนโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะมั่นใจว่าลูกของเขาที่ดูเหมือนจะได้ความทรงจำจากชาติที่แล้วมาไม่เป็นภัย!

อันที่จริง เขาไม่รู้ว่าจะมองหน้าลูกชายอย่างไรอีก เขาถึงกับอึดอัดเมื่อได้เจอลูกชายเพราะคิดว่าลูกชายอาจจะเคยเป็นชายแก่มาก่อน

แต่เมื่อมองใบหน้าและดวงตาของลูกชายที่ละม้ายคล้ายกับเขาและมีเส้นผมบลอนด์เหมือนกับแม่ เขาก็ไม่มีข้อกังขาอีก เพราะดาวิสคือลูกของเขา ลูกของพวกเขา

และเขาเองก็ยืนยันไปห้องสายโลหิตไปแล้วด้วยหลังจากที่ลูกชายกลับมา

ดาวิสหัวเราะเบา ๆ ทำให้พวกเขาหัวเราะไปด้วยด้วยความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไปอีกแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า~”

ทั้งสามหัวเราะกันราวครอบครัวปกติ แต่เสียงหัวเราะนั้นก็ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจางหายไป

ดาวิสรู้สึกเขินอายที่หลั่งน้ำตาออกมาแต่ก็คิดว่ามันเป็นเพราะร่างของเด็กที่ยังไม่โต และมันก็สมเหตุสมผลเพราะเขายังมีความเป็นเด็กอยู่

‘ครั้งสุดท้ายที่เราร้องไห้บนโลกมันเมื่อไหร่กันนะ? สิบปีก่อน? สิบห้าปีก่อน?’

เขาตลกตัวเอง

แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกความจริงที่แบกรับว่าเขาฆ่าลูกชายของพ่อและแม่ เขาก็มีความสุขตราบเท่าที่พ่อและแม่คิดว่ามี ‘ดาวิส’ อีกคนอยู่ในตัวลูกชาย นี่ทำให้เขาขจัดความรู้สึกผิดที่เก็บซ่อนเอาไว้ได้ทั้งหมด

แม้พวกเขาจะเข้าใจผิด แต่มันก็เหมือนกับว่าพวกเขาเข้าใจในส่วนอื่นที่เขาไม่รู้ว่าดาวิสเป็นคนฆ่าดาวิสคนแรกโดยบังเอิญและสิงร่างนี้มา

ซึ่งที่จริงแล้วเขาก็อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป

แคลสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีราวกับว่าทนบางอย่างไม่ไหว นางรีบไปที่ห้องน้ำขณะที่ปิดปากไว้ด้วยมือ

“ท่านแม่!”

“แคล!”

ทั้งสองตะโกนพร้อมกันด้วยความเป็นห่วง

เสียงอาเจียนดังมาจากในห้องน้ำและเมื่อผ่านเวลาไปครู่หนึ่ง…แคลก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเขินอาย

“...ดูเหมือนว่าข้าจะท้องน่ะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด