ตอนที่แล้วตอนที่ 475 สามเซียน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 477 เมืองอัลเคด

ตอนที่ 476 ข้ารู้ว่านี่ไม่สมควร


เสี่ยวเอ้อลอยเข้าหาถังเทียน

ถังเทียนเห็นได้ชัดว่ามันคือร่มแห่งดาวหมีใหญ่ แต่เขาเรียนรู้วิธีใช้ร่มแห่งดาวหมีใหญ่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?  ถังเทียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ถังเทียนจับเสี่ยวเอ้อมาข้างหน้าเขาและตรวจสอบอย่างรอบคอบ

ถังเทียนพบอย่างรวดเร็วว่ามีรัศมีพลังงานเลือนรางอยู่รอบตัวเสี่ยวเอ้อ  พลังงานนั้นบริสุทธิ์มาก และบริสุทธิ์มากกว่าปราณแท้ในร่างกายของเขาก่อนหน้านี้!

และพลังงานในอากาศรอบตัวจะรวมตัวเข้าหาเสี่ยวเอ้อโดยอัตโนมัติ  เสี่ยวเอ้อเหมือนกับแม่เหล็กที่ดึงดูดพลังงาน

น่าสนใจ!

ถังเทียนตื่นตัวทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องความสามารถลึกลับของเสี่ยวเอ้อเท่าใดนัก พอมีความคิด เสี่ยวเอ้อก็วูบเข้ามาในร่างของเขา

วิ้งงงงง!

พลังดวงดาวรายล้อมคลุมตัวถังเทียนอย่างรวดเร็วจนเขาตกใจ  ในเวลาอันรวดเร็วพลังดวงดาวลอยมารวมอยู่ที่ข้อมือของถังเทียนและเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง เกิดเป็นรูปร่มโปร่งแสงที่เต็มไปด้วยพลังงานดวงดาวเกิดอยู่บนมือของถังเทียน

ร่มกลุ่มดาวหมีใหญ่!

ถังเทียนตะลึง  หมายความว่ายังไง?

เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงร่มแห่งกลุ่มดาวหมีใหญ่ในมือของเขา  พลังงานมากมายน่าทึ่งสะสมอยู่ในนั้น  ดวงดาวบนร่มที่เป็นประกายระยิบระยับมีอันตรายมาก  เขาค่อยๆ เคลื่อนร่ม ทำให้ดวงดาวที่อยู่บนร่มกระพริบและไหลลงมาเหมือนหยดน้ำค้างหมุนวนเป็นเกลียวอยู่รอบตัวถังเทียน ดูดีมากเลยทีเดียว

ถังเทียนดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างและปล่อยหมัดออกไปทันที  เมื่อหมัดถังเทียนเพิ่งเคลื่อน กลุ่มดวงดาวดูเหมือนจะเคลื่อนไปตามลมหมัดของเขา ปะทะอยู่รอบหมัดของเขาและกลายสภาพเป็นหมัดแสงรังสีแพรวพราว  เมื่อถังเทียนปล่อยหมัด วูบบบ, รังสีหมัดกลายเป็นรังสีแสงสวยงามทะลักขึ้นไปในอากาศทันที

เป๊าะ!

เสียงเบาๆ ดังออกมา เมื่อดวงดาวในรังสีหมัดระเบิดออก กลุ่มประกายแสงพวยพุ่งกระจายทำให้ขนผมทั่วตัวของถังเทียนลุกชัน เขาสามารถรู้สึกได้ชัดถึงพลังทำลายล้างในมิติที่แฝงอยู่ภายในแสงรัศมี

น่ากลัวมาก!

ถังเทียนตะลึงกับพลังของหมัด

หลังจากผ่านไปชั่วขณะเขาก็รู้สึกตัว แค่เพียงคิด เสี่ยวเอ้อก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างของเขา เสี่ยวเอ้อยึดจับร่มที่เต็มไปด้วยดวงดาวไว้ หมอกลอยตามมากับเขา ใบหน้าน้อยๆ ที่เยือกเย็นยังคงไร้ความรู้สึกอารมณ์

“เสี่ยวเอ้อ เจ้าเรียนรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”  ถังเทียนคุกเข่าและชี้ไปที่ร่มดวงดาวในมือเสี่ยวเอ้อ

เสี่ยวเอ้อยังมองถังเทียนด้วยสีหน้าว่างเปล่า

ใช่แล้ว... ดูเหมือนชื่อที่ข้าตั้งให้ก็ถูกแล้ว

เอ้อ (โง่) ...

ถังเทียนเกาคางตนเอง พลังของหมัดนั้นทรงพลังมากมาย  แต่ถังเทียนไม่ได้ตื่นเต้นเรื่องนั้นมากมายเกินไป  เพราะมันเป็นพลังของร่มกลุ่มดาวหมีใหญ่ และร่มดาวหมีใหญ่ถูกเสี่ยวเอ้อสร้างขึ้นมา  เสี่ยวเอ้อเป็นจิตวิญญาณยุทธของเขาเอง  แต่ถังเทียนตระหนักได้ว่า เสี่ยวเอ้อสมบูรณ์ในตัวมันเอง แม้ว่ามันจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกของเขา แต่มันไม่ได้ถูกเขาควบคุมได้เต็มที่

ถ้าเขาไม่สามารถเข้าใจพลังของตัวเขาเองได้  อย่างนั้นเขาจะเรียกมันว่าเป็นของตัวเขาเองได้ยังไง?

ถังเทียนคัดค้านมัน  เขารู้สึกอิจฉาพี่จิ่งหาวและพวกที่เหลือมากมายที่ได้รับสนามพลังวิญญาณเป็นของตนเอง เมื่อไหร่เขาจะมีสนามพลังวิญญาณเป็นของตนเอง?

ทันใดนั้นถังเทียนรู้สึกว่าเขาควรคิดเรื่องวิถีวิทยายุทธของเขาในอนาคต การอ่อนแอชั่วคราวเป็นเรื่องดี  แต่ถ้าเขาไม่มีทิศทางมุ่งหน้าไปในอนาคต นั่นจะเป็นเรื่องน่ากลัวมาก  พลังของตัวเขาเองแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว  แต่ถ้าเขาไม่มีความคิดในการฝึกฝนของตัวเองในอนาคต อย่างนั้นเขาจะกลายเป็นคนที่ต้องกังวลอย่างแน่นอน

ถ้าคู่ต่อสู้ในอนาคตของข้าทุกคนเป็นนักสู้ชั้นเซียนกันหมด และถ้าข้าไม่รู้ให้แน่ชัดว่าข้าคือใคร

ไม่ ไม่มีทาง ข้าจำเป็นต้องแยกแยะออกมา

ถังเทียนให้คนไปตามเหลียงฟงมาพบ เมื่อเขามาถึง ถังเทียนพูดทันที “มาช่วยอธิบายเรื่องราวระดับเซียนให้ข้าฟังอย่างละเอียดที”

“ระดับเซียนและรายละเอียดทั้งหมดน่ะหรือ?”  เหลียงฟงเข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง แต่ในที่สุดเมื่อเขาได้รับโอกาสเอง เขาก็ต้องทำให้ดีเป็นธรรมดา  แต่เขาไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะพูด  “ในสวรรค์วิถี ระดับเซียนถือเป็นระดับสุดยอดของนักสู้ทั่วไป  แต่หลังจากบรรลุระดับเซียนแล้ว  จากนั้นท่านจะรู้ว่า ระดับเซียนเป็นเพียงย่างก้าวแรกเพื่อจะเข้าไปเห็นต้นกำเนิดโลกอย่างแท้จริง  โลกของระดับเซียนใหญ่กว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้”

“ระดับเซียนเป็นการเรียกกันแบบโลกๆ เราทุกคนถูกยกย่องเป็นระดับเซียนโดยปกติอยู่แล้ว  ในระหว่างเซียนยังมีระดับที่แตกต่างกันอีก และฝ่าบาทอาจจะยังไม่รู้  แต่การจำแนกของระดับเซียนจะเข้มงวดมากขึ้น เซียนไม่ฝึกกันในเรื่องของปราณแท้หรือวิทยายุทธ เนื่องจากเซียนฝึกกันแต่สนามพลังวิญญาณซึ่งก็ยังจัดออกเป็นระดับบรอนซ์ เงินและทอง เซียนมือใหม่ทั้งหมดจะมีสนามพลังวิญญาณระดับบรอนซ์และได้รับการขนานนามว่าเซียนบรอนซ์ (บรอนซ์เซนต์) พวกเราสองสามคนจัดเป็นเซียนบรอนซ์”

เหลียงฟงพูดประชดตัวเอง “เซียนส่วนใหญ่จากกลุ่มดาวเล็กๆ จะเป็นเซียนบรอนซ์ทั้งหมด”

“อย่างนั้นเซียนชั้นเงินและชั้นทองเล่า?”  ถังเทียนถาม

“สิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา, สมาพันธ์ชาวยุทธและองค์การวิญญาณมืดและสำนักยุทธเก่าแก่”  เหลียงฟงกล่าว “น่าเสียดายที่เราไม่เคยพบเซียนแบบนี้มาก่อน  พวกเซียนไม่ชอบไปสถานที่ซึ่งมีความหนาแน่นของพลังดวงดาวอ่อน  มีแต่เพียงเซียนระดับเรา ที่ความทะเยอทะยานไม่ค่อยมากยังคงรั้งอยู่ที่นี่”

“ทำไมเป็นเช่นนั้น?” ถังเทียนไม่เข้าใจเหตุผล

“เพราะสถานที่ที่มีพลังดวงดาวสูงกว่าจะช่วยให้พวกเขาค้นหากฎธรรมชาติได้มากขึ้นและพวกเขาจะเข้าใจได้ดีกว่า  นั่นยังเป็นสาเหตุให้สิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคามีนักสู้ไม่มาก  เพราะพลังดวงดาวส่วนใหญ่จัดสรรให้กับเซียนเหล่านี้  เจ้ากลุ่มดาวก็เก็บพลังไว้  นักสู้เซียนก็เก็บพลังเอาไว้สู้”  เหลียงฟงตอบ

“อย่างนั้นทำไมกลุ่มดาวราชสีห์ถึงไม่ส่งเซียนนักสู้ออกมาเพิ่ม?”  ถังเทียนไม่สามารถเข้าใจได้

“ข้าคิดว่ายังไม่คุ้มค่า”  เหลียงฟงหัวเราะลั่น  “บางทีในสายตาของเลโอน กลุ่มดาวนายพรานไม่ว่าจะคุ้มค่าให้เซียนนักสู้ลงมือหรือไม่ก็ตาม  และสมาพันธ์ชาวยุทธเองก็มีเซียนนักสู้ และเมื่อเซียนนักสู้จากทั้งสองฝ่ายขยายวงต่อสู้  สงครามจะเข้าสู่จุดสุดยอดอย่างแท้จริง  ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังเปรียบเทียบข้อจำกัดของพวกเขา”

และแล้วถังเทียนก็เข้าใจ และเขาถามคำถามที่ต้องการถามเสมอมา “อย่างนั้นท่านจะเอาชนะเซียนได้ยังไง?”

เหลียงฟงสะดุ้ง จากนั้นเขาส่ายศีรษะ  “มีแต่เซียนจึงจะสามารถเอาชนะเซียนอีกฝ่ายหนึ่งได้”

“ข้าไม่ใช่เซียน!”  ถังเทียนจ้องมองเหลียงฟง

จากนั้นเหลียงฟงระลึกได้  ตัวประหลาดที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งยังไม่มีสนามพลังวิญญาณเป็นของตนด้วยซ้ำ และนั่นทำให้เขาปวดหัวทันที จิตวิญญาณยุทธของถังเทียนอยู่ในรูปร่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อน และไม่ว่าจิตวิญญาณยุทธจะสามารถรู้วิธีสร้างสนามพลังวิญญาณได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้

ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าถังเทียนจะไม่สามารถกลายเป็นเซียนนักสู้ได้ตลอดกาลหรือ?

“พวกเซียนมีจุดอ่อนกันบ้างไหม?”  ถังเทียนไม่เชื่อเหลียงฟง  เขาไม่สนใจว่าจะได้เป็นเซียนหรือไม่  เขาสนใจแต่เพียงว่า ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาให้ได้

“จุดอ่อนของเซียน?”  เหลียงฟงสะดุ้งอีกครั้ง  “จุดอ่อนของเซียนมีอะไรบ้าง?”

ถังเทียนถามย้ำไม่ลดละ “อย่าคิดพูดดูแคลนข้า  ข้ากำลังวางแผนจะฆ่าเซียน”

เมื่อเห็นว่าเหลียงฟงมีท่าทีอ้ำอึ้ง ถังเทียนไม่ตั้งความหวังอะไรอีก  ดังนั้นในที่สุด ข้าคงต้องพึ่งตัวเองกระมัง?  เขาจ้องมองเหลียงฟงอย่างขึงขัง “งั้นเราก็ต้องค้นหาวิธีง่ายๆ”

ถังเทียนตะครุบเหลียงฟง

เจ็ดเซียน ไม่สิ เพิ่มจิ่งหาวและที่เหลือพวกเขามีสิบเซียนแล้ว  มีเซียนทั้งสิบเป็นคู่ซ้อมมือ  ถังเทียนไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถหาวิธีรับมือเซียนได้

ถังเทียนซึ่งเป็นเหมือนคนป่าเถื่อน กลายเป็นสัตว์ร้ายโดยปริยาย

เป็นเวลาสามวันเต็ม เจ็ดเซียนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาต่อสู้กับถังเทียนกันทุกคน และพลังบ้าทำให้พวกเขากลัวจนปางตาย  ร่างกายของถังเทียนนั้นผิดกับมนุษย์ปกติ เกินกว่าคนปกติในโลกนี้ไปมากมายนัก ด้วยเวลาเฉลี่ยสองชั่วโมงต่อรอบต่อคน ในสามวันมานี้ เขาไม่เคยได้หยุดพักเลยและสู้มาตลอดถึงสามสิบหกครั้ง

เจ็ดเซียนเหนื่อยจัด พวกเขากัดฟันสู้  ไม่ว่าเซียนจะแข็งแกร่งเพียงไหน  แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์

โดยเฉลี่ยแล้วในช่วงเวลาสามวัน เซียนทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้อย่างหนักหน่วงถึงห้าครั้ง  เหลียงฟงและเซียนที่เหลือแทบอยากร้องไห้  จำนวนครั้งต่อสู้ที่พวกเขามีส่วนร่วมในช่วงเวลาที่ผ่านมาสิบห้าปีรวมกันทั้งหมดก็ยังไม่เท่าจำนวนการต่อสู้ในช่วงสามวันมานี้

โรคจิต! ตัวประหลาด! บ้าระห่ำชัดๆ!

สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยากจะทรุดลงเสียให้ได้ก็คือ หยาหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างจะเล่นเพลงเศร้าโศกเยาะเย้ย (ประมาณว่าธรณีกรรแสง)

อยากจะหนีไปให้พ้นเสียจริงๆ...

แต่น่าเสียดาย เผชิญหน้ากับถังเทียนผู้โหดร้าย.. เอ๊ย.. ผู้ทรงพลังและบ้าบิ่น  ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเขาเลย

ในที่สุดจิ่งหาวและพวกอีกสองคนก็ออกมาจากการขังตัวฝึกฝน  เซียนทั้งเจ็ดรอดตัวแล้ว เนื่องจากพวกเขาจะมุ่งหน้าไปเจ็ดดาวเหนือ

มีแต่ถังเทียนที่เป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยพอใจนักก่อนจะเดินออกไปทำให้ใจของทุกคนสั่นสะท้านพร้อมกัน  เมื่อถังเทียนออกไปจากลานฝึกทุกคนทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นพร้อมกัน

“นี่เราทำอะไรกันอยู่กันแน่?” เหลียงฟงอยากร้องไห้

“พวกเจ้าเป็นผู้ใหญ่กันกว่านี้ได้ไหม?  เราเป็นเซียนกันทุกคนแล้วนะ!” โต้วหย่งทำท่าเหยียดหยาม

“อย่างนั้นเจ้าจะรับผิดชอบซ้อมมือกับเขาเองไหมเล่า?”  เหออี้หมิงพูดทันที

“เซียนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน  ไม่ควรเอามนุษย์ไปเทียบกับสัตว์ร้าย!” โต้วหย่งตอบอย่างไม่ลังเล

“ซือซือกับติงม่านพักก่อนก็แล้วกัน พวกนางก็ต้องติดตามไปด้วยและเมื่อพวกนางกลับมา อย่างน้อยพวกนางก็มีข้ออ้างไม่ต้องเข้าร่วมซ้อมฝีมือ  ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด พวกนางจะปิดประตูขังตัวเองฝึกฝนทันทีที่กลับมา!  เป็นสตรีนี่ก็ดีเหมือนกันนะ”

ทุกคนหันมามองหน้าเหออี้หมิง

โต้วหย่งถูมือ “เป็นผู้หญิงง่ายกว่าเป็นเซียนเยอะ มา..เราจะช่วยเจ้า”

เมื่อเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของพวกเขา เหออี้หมิงหน้าถอดสี  “เฮ้ เฮ้ เฮ้ ถ้าข้ากลายเป็นผู้หญิงกำลังจะขาดไปหนึ่งคน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจทุกคนกลับเยือกเย็น  เซียนทั้งเจ็ดต้องเผชิญหน้ากับถังเทียนพวกเขาก็เหนื่อยหนักพอแรงอยู่แล้ว  ถ้าเหลือสี่คนต้องมารับมือถังเทียน...

ความคิดเช่นนั้นทำให้พวกเขาสั่นกันทุกคน

“แล้วปิดประตูฝึกฝนจะเป็นยังไง?”  เหลียงฟงถามอย่างอ่อนแรง

ทุกคนไม่สนใจเขา  ไป๋ซือซือและติงม่านมีข้ออ้าง  แต่พวกเขาไม่มี

สายลมกระโชกแรง ใบไม้ร่วงหล่น ร่างทั้งห้ายังคงนั่งอยู่เหมือนกับว่าเป็นอัมพาต  เป็นความเศร้าใจที่พวกเขามิอาจพูดออกมาได้ เนื่องจากใจของพวกเขาเริ่มระลึกถึงจังหวะทำนองที่คุ้นเคยพร้อมกัน

ทั้งห้าคนถอนหายใจพร้อมกัน  จากนั้นหงายหลังผึ่ง ทุกคนนอนแผ่หลาอยู่กับพื้น

*************

กลุ่มของถังเทียนมาถึงประตูดวงดาวเข้าเจ็ดดาวเหนือ  เขาไม่ได้พาเหลียงฟงและพวกที่เหลือมาด้วย เนื่องจากกลุ่มดาวหมีใหญ่ต้องมีคนปกป้อง และในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ยังไม่คุ้นเคยพอ และไม่มีความคุ้นเคยกับพวกเขามากพอ  แต่เขา, จิ่งหาว, อาเฮ่อและหลิงซิ่วมีความคุ้นเคยกันมากพอ  สำหรับไป๋ซือซือ นางเชี่ยวชาญสายดนตรี ไม่ว่าอสูรดวงดาวชนิดใด นางพิสูจน์ตนเองได้ว่ามีประโยชน์  คุณชายขลุ่ยวิเศษแข็งแกร่งมากกว่าไป๋ซือซือ แต่เนื่องจากเขาเป็นขุนพลวิญญาณ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานที่พิเศษ  เขาจะอ่อนแอลงได้ง่ายๆ และติงม่านเป็นเซียนเภสัช ดังนั้นการมีนางอยู่ด้วยไม่จำเป็นต้องพูดถึงเหตุผลเลย

“ไปกันเถอะ”

ไม่ต้องพูดอะไรมาก  ถังเทียนวิ่งเข้าไปเป็นคนแรก

ติงม่านไม่มีแม้แต่เวลาจะพูด เมื่อร่างถังเทียนหายไปในประตูดวงดาว  สองวินาทีต่อมา เหลือแต่นางกับไป๋ซือซือยืนอยู่หน้าประตูดวงดาว

ทั้งสองคนมองหน้ากันเอง พวกนางพูดไม่ออก

พวกเจ้าอย่างน้อยน่าจะหันหน้าพูดคุยวางแผนกันก่อนไม่ใช่หรือ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด